“เด็กอย่างเธอกล้าเรียกตำรวจได้ยังไง! ทำไมลูกชายของฉันถึงได้ยุ่งเกี่ยวกับตำรวจอยู่เรื่อย!”
แล้วอินซอบก็ได้รู้ ว่าเธอไม่ได้โกรธ แต่กำลังกลัวอยู่ต่างหาก ก่อนหน้านี้ลูกชายของเธอก็สร้างเรื่อยหลายเรื่องที่เกือบจะทำให้ตำรวจมา ดังนั้นคราวนี้เธอจึงวิ่งมาหาโดยไม่คิดชีวิต เพราะกลัวว่าตำรวจจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชีวิตของลูกชายของตนอย่างแน่นอน
“รู้ไหมว่าเด็กนั่นต้องเจอกับเรื่องยากๆ และต้องตั้งใจเรียนขนาดไหน”
แม้ลูกชายของเจ้าของบ้านจะเป็นคนที่ดูน่ากลัว และเป็นคนมีปัญหา แต่คุณป้าเจ้าของบ้านกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอจะทักทายอย่างพอเป็นพิธีเมื่อเจออินซอบ และถามว่าการอยู่คนเดียวนั้นไม่ลำบากเหรอ พอเห็นว่าเธอคนนั้นตัวสั่นและขึ้นเสียง เขาก็รู้สึกไม่ดี
“ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี ทำไมถึงมาพูดให้ลูกชายฉันเป็นคนไม่ดีล่ะ!”
ดูเหมือนเธอจะเชื่อใจลูกชายจริงๆ อินซอบพูดอะไรไม่ออก ตอนที่เห็นความรักของแม่ที่ไม่มีเงื่อนไขของเจ้าของบ้าน เขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
เธอเป็นคนธรรมดา เป็นคนปกติทั่วไป เพราะแบบนั้นหรือเปล่านะ ทุกครั้งที่เห็นคุณป้าเจ้าของบ้าน อินซอบถึงได้นึกถึงแม่ที่ทิ้งตนไป แม่ก็คงอาศัยอยู่ที่ไหนสักแห่งด้วยท่าทางธรรมดาๆ แบบนั้น และเขาจึงสงสัยทุกครั้ง
แม่ไม่คิดถึงเราบ้างเหรอ ไม่เสียใจกับทางเลิกนั้นเลยเหรอ…แล้วไม่รู้สึกเสียใจบ้างหรือไง
เพราะเขามีสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจลึกๆ ว่า ถึงแม่จะทิ้งเขาไว้ที่หน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่จะไม่มีความรักให้ลูกที่อุ้มท้องมาเกือบสิบเดือนเลยเหรอ
แต่พอเห็นคุณป้าที่ตะคอกใส่เขาทั้งที่ใบหน้าซีดเผือด อินซอบก็ได้แต่หวัง
หวังว่าแม่ของเขาไม่ต้องคิดถึงเขาก็ได้ และหวังว่าแม่จะไม่รู้สึกเศร้าต่อไปเรื่อยๆ
“มีหลักฐานอื่นที่บอกว่าลูกชายของฉันทำแบบนั้นไหม”
“…ไม่มีครับ”
ท่าทีของเจ้าของบ้านฮึกเหิมขึ้นมาทันที เธอเหลือบตามองบน และตะโกนว่าเพราะสงสารเด็กนักเรียนอย่างเขา ถึงได้ให้บ้านที่ดีแบบนี้ในราคาที่ถูก แต่เขากลับตอบแทนบุญคุณด้วยการเป็นศัตรู อินซอบฟังคำพูดหยาบคายของเธอนิ่งๆ
“ยิ่งไปกว่านั้นนักเรียนก็เลี้ยงแมวด้วย! ฉันบอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าห้ามเลี้ยงสัตว์! นี่มันผิดสัญญานะ”
“ขอโทษครับ”
แม้จะไม่ได้เลี้ยงแมว แต่เรื่องที่เขาเอาข้าวไปให้ที่ดาดฟ้าก็เป็นความจริง
เจ้าของบ้านกอดอกและเชิดคาง เพราะคิดว่าชนะแล้ว
“นักเรียนนี่แย่มากเลยนะ เก็บข้าวของออกไปพรุ่งนี้เลย”
“ครับ? พรุ่งนี้เหรอครับ”
“ใช่ ส่วนเงินค่ามัดจำฉันจะให้พรุ่งนี้ แล้วฉันก็จะไม่หักค่าย้ายออกก่อนกำหนดด้วย ไม่มีอะไรที่นักเรียนต้องขาดทุนเลย”
“แต่…”
“พอแล้ว ฉันไม่อยากคุยด้วยอีกต่อไปแล้ว เก็บข้าวของออกไปพรุ่งนี้เลย เข้าใจนะ”
เจ้าของบ้านไม่ให้โอกาสอินซอบพูดต่อ และเปิดประตูออกไป อินซอบมองประตูบ้านที่ปิดลงด้วยสีหน้างุนงง
อะไรเนี่ย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
สิ่งที่โผล่เข้าในสายตาของอินซอบเป็นอย่างแรกในระหว่างที่กำลังสับสนคือข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับอีอูยอนที่เขาจัดเรียงไว้ที่ด้านหนึ่งของชั้นวางหนังสือ อินซอบทำหน้ามึนงง และเอาลังกระดาษที่วางอยู่ข้างห้องเก็บของมาก่อนจะค่อยๆ เก็บของพวกนั้นลงไป พอเก็บของที่เกี่ยวกับอีอูยอนเสร็จเป็นจำนวนสามกล่อง อินซอบก็นั่งลงบนเตียง และทึ้งผม
ตอนนั้นเองความเครียดก็ล้นทะลักออกมา
***
“งั้นถ้าได้วันที่จะย้ายแล้วช่วยติดต่อมาด้วยนะคะ”
“ครับ ขอบคุณครับ”
อินซอบก้มหัวและเอ่ยขอบคุณพนักงานของบริษัทขนของ พอรถที่บรรทุกข้าวของเคลื่อนตัวออกไป เขาก็ถอนหายใจ
เขาเก็บของที่สำคัญลงกล่องตลอดทั้งคืน และโทรศัพท์หาบริษัทขนของเพื่อหาที่ที่สามารถจองบริการค้นย้ายได้ทันทีที่เช้า โชคดีที่ต่อสายหาบริษัทที่สามารถมาวันนี้ และสามารถเก็บรักษาของไว้ให้ได้สำเร็จ
พอเขาขนของออกไปจนหมด เจ้าของบ้านก็มาตรวจเช็กสภาพบ้านก่อนจะโอนเงินมัดจำให้ ในที่สุดอินซอบก็ถูกทิ้งไว้คนเดียวในสภาพถือกระเป๋าเดินทางใบเดียวที่ใส่ของสำคัญกับกางเกงชั้นในไว้
“จะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่”
เมื่อวานขณะเก็บของ อินซอบได้ลองค้นหาวิธีที่ผู้เช่าบ้านรับมือกับสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ และผลสรุปก็คล้ายกัน ถ้าได้รับเงินคืนจากเจ้าของบ้านอย่างครบถ้วนก็ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ดีแล้ว อินซอบคิดว่ายังไงก็จะออกอยู่แล้ว แค่เลื่อนเข้ามาเร็วหน่อยเท่านั้น และพยายามปลอบใจตัวเอง
ปัญหาก็คือ
“…แล้วตอนนี้จะไปที่ไหนล่ะ”
เขาไม่ได้คิดถึงที่ที่จะไปอยู่ชั่วคราวเลย เพราะมัวแต่เก็บของ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงจะติดต่ออีอูยอนไปโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่หลังจากที่เกิดเรื่องแบบนั้น เขาก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูด
ถ้าโชคดี หลังสุดสัปดาห์นี้เขาอาจจะได้เข้าไปอยู่ที่บ้านใหม่ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำสัญญาเช่าห้องพักแบบประหยัดสำหรับนักศึกษาหรือห้องเช่ารายเดือนได้ และถึงแม้ว่าการไปพักที่ซาวน่าสักวันสองวันจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่เขาก็ไม่อยากทำ เพราะตอนที่มาเกาหลีครั้งแรก เขาเคยใช้บริการที่นั่นอยู่พักหนึ่ง และมีความทรงจำที่ถูกคนลามกลวนลาม ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่สามารถพักที่โรงแรมราคาแพงได้ เพราะไม่รู้ว่าจะหาบ้านได้เมื่อไร
เขาไม่มีคนที่จะขอไปพักด้วยได้สักคืน กับเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย ก็อยู่ในระดับที่ติดต่อกันระหว่างภาคเรียนเท่านั้น และตัดยุนอารึมออกไปได้เลย นอกเหนือจากคนพวกนี้แล้ว คนที่เขาสนิทด้วยก็มีแค่หัวหน้าทีมชาและคิมคังอู แต่หัวหน้าทีมชาก็บอกว่าเขาไม่สามารถไปนอนได้อีกแล้ว เพราะเจ้าของบ้านเรื่องมาก แล้วก็ไม่สามารถไปพักกับคิมคังอูได้เพราะอีกฝ่ายอยู่กับพี่สาว
อินซอบไล่มองประวัติการโทรในโทรศัพท์มือถือ หัวหน้าทีมชา อีอูยอน บริษัท อีอูยอน อีอูยอน คิมคังอู คิมคังอู กรรมการผู้จัดการ อีอูยอน บริษัท อีอูยอน อีอูยอน อีอูยอน…
ในขณะที่เห็นประวัติการโทรที่มีแต่ชื่อของอีอูยอนเรียงต่อกันไม่หยุด อินซอบก็ได้รู้ว่าชีวิตของตนหมุนรอบอีอูยอนโดยสมบูรณ์
เป็นแบบนี้ได้เหรอ
เขานึกถึงคำพูดที่หัวหน้าทีมชาเคยพูดเอาไว้ว่า ‘ต้นไม้ต้องมีรากเยอะถึงจะแข็งแรง’ หรือเปล่านะ แล้วรากที่เราฝังไว้กับอีอูยอนจะแตะถึงตรงไหนนะ
อินซอบก้มลงมองปลายเท้าก่อนจะทำจิตใจให้ผ่อนคลายและเงยหน้าขึ้น นี่เป็นเวลาที่เขาจะต้องยอมรับกับความเป็นจริง
***
“ค้างคืน หรือเข้าพักชั่วคราวครับ”
“คะ ค้างคืนครับ”
อินซอบรีบยื่นเงินให้ แม้การเข้าพักที่โมเต็ล[1]จะไม่ใช่การกระทำที่ไม่ดี แต่เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองทำความผิดอย่างน่าประหลาด
“ชั้นสี่ครับ”
คุณลุงที่นั่งอยู่ตรงเคาท์เตอร์ยื่นกุญแจกับกระเป๋าซิปล็อกที่บรรจุอุปกรณ์ทำความสะอาดแบบใช้แล้วทิ้งมาให้ อินซอบก้มหัวขอบคุณและรีบรับของนั้นไป คู่รักที่เจอหน้าลิฟต์เหลือบมองอินซอบที่ถือกระเป๋าเดินทางใบใหญ่อยู่ด้วยแววตาสงสัย และกระซิบกระซาบกัน
“ทำไมถึงมาในที่แบบนี้คนเดียวล่ะ”
“เป็นพวกโรคจิตหรือเปล่า ต้องมีศพอยู่ในกระเป๋านั้นแน่เลย”
เขาคิดว่าจะบอกออกไปดีไหมว่าในกระเป๋าเดินทางมีแต่เสื้อผ้ากับของที่สำคัญไม่กี่ชิ้น แต่ก็ไม่ทำ เพราะถ้าเขาทำแบบนั้น ก็อาจจะถูกมองว่าเป็นคนที่ประหลาดมากกว่าเดิมก็ได้
ในลิฟต์ที่คับแคบนั้น อินซอบไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่จำเป็น พอประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสี่ เขาก็รีบลากกระเป๋าออกไปจากลิฟต์
“ห้อง 408 ห้อง 408…”
ห้องนั้นเป็นห้องที่อยู่สุดทางเดิน พอเขาใช้กุญแจเปิดประตูห้องเข้าไป กลิ่นอับๆ ของเครื่องนอนกับกลิ่นเครื่องหอมราคาถูกก็ลอยมาแตะจมูก อินซอบจึงเปิดหน้าต่างเพื่อระบายอากาศก่อนจะนอนลงบนเตียง
“เหนื่อยจัง”
วินาทีที่คำนั้นหลุดออกมาจากปาก ความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามาราวกับเป็นเรื่องโกหก แต่จะโทษตัวเองก็ไม่ได้ ในเมื่อช่วงนี้เกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นอย่างไม่หยุดพัก ทั้งเรื่องของคังยองโม เรื่องการใช้ความรุนแรงตรงถนน เรื่องรถที่เกิดอุบัติเหตุกับบ้านใหม่ของอีอูยอน และเรื่องที่ต้องย้ายบ้านภายในวันเดียวด้วย ช่างเป็นคืนวันที่เหมือนละครจนดูไม่เหมือนเรื่องจริง
แต่มันก็ดูไม่เหมือนเรื่องจริงตั้งแต่เรื่องที่เขากำลังคบกับอีอูยอนแล้วนี่นา
“ฮ่าฮ่า…ใครจะไปเชื่อ”
ตัวเขาเองยังไม่เชื่อความจริงนั้นจนต้องเช็กข้อความที่ส่งคุยกับอีอูยอนในทุกเช้าที่ตื่นนอนเลย
“อ๊ะ จริงด้วย”
อินซอบดีดตัวขึ้นจากเตียง เขาจะต้องติดต่ออีอูยอน แม้จะไม่สามารถเล่าเรื่องทั้งหมดอย่างละเอียดได้ แต่เขาจะต้องบอกอีกฝ่ายก่อนว่าตนออกมาจากบ้านหลังนั้นแล้ว เพราะถ้าอีอูยอนไปหาเขาที่หน้าบ้านแล้วเจอกับลูกชายเจ้าของบ้าน อาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้
อินซอบหายใจเข้าลึกๆ แต่เขากลับเอาแต่มองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่พักใหญ่ และไม่สามารถขยับนิ้วได้แม้แต่นิ้วเดียว
แล้วฝ่ามือของเขาก็ชื้นเหงื่ออย่างไม่รู้ตัว ดูเหมือนเขาจะประหม่ากว่าตอนที่จะโทรศัพท์หาอีอูยอนในสมัยที่ยังกลัวอีกฝ่ายหลายเท่า
“…ไว้ค่อยทำแล้วกัน”
ความรู้สึกอับอายถาโถมเข้ามาในตอนที่เขาเอาโทรศัพท์ลง เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่ผัดวันประกันพรุ่งกับการบ้านที่ไม่อยากทำ
นี่มันอะไรกันเนี่ย
เขาหัวเราะเยาะตัวเอง ช่วงนี้เขาเพิ่งได้รู้ว่าตัวเองมีมุมที่มีความโลภและเห็นแก่ตัวมากถึงขนาดนี้ แม้จะทำผิด แต่เขาก็หวังให้อีอูยอนชอบตนไปตลอด
อินซอบกลัวว่าถ้าอีอูยอนรู้ในส่วนที่บกพร่องของตนแล้ว อีกฝ่ายจะเบื่อเขา ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และแกล้งทำเป็นว่าไม่เป็นไรต่อหน้าอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขารู้สึกอยากจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้และร้องไห้งอแง
เขาจำเป็นต้องปรับอารมณ์ อินซอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และไล่ดูรูปของอีอูยอนที่เซฟเก็บไว้ในแกลอลี่ทีละรูป เป็นรูปที่รวมรูปถ่ายตอนที่อีกฝ่ายถ่ายนิตยสาร และถ่ายโฆษณาไว้ด้วยกัน อีกฝ่ายดูสมบูรณ์แบบจนเขารู้สึกว่ามันดูไม่เป็นความจริงเลยสักนิด
“…”
แปลก
หากเป็นเมื่อก่อน แค่ดูรูปที่ออกมาสวยของอีอูยอน เขาก็จะอารมณ์ดีแล้ว แต่ตอนนี้ยิ่งเลื่อนดูรูปเยอะมากเท่าไร หัวใจของเขาก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดมากเท่านั้น อินซอบกลั้นหายใจ และเข้าไปในอัลบั้มที่สอง ในนั้นเต็มไปด้วยรูปภาพส่วนตัวที่ไม่สามารถเอาให้ใครดูได้
อีอูยอนมักจะฉวยโอกาสตอนที่อินซอบหลับถ่ายรูปของตัวเอง หรือรูปของอินซอบไว้เสมอ แม้ทุกครั้งที่อีกฝ่ายทำแบบนั้น อินซอบจะลบรูปของตัวเอง เพราะกลัวว่าใครจะมาเห็น แต่เขากลับหวงรูปของอีอูยอนจนถึงขนาดที่สร้างอัลบั้มแยกเอาไว้ และเอารูปของอีกฝ่ายไปเก็บไว้ในนั้นพร้อมกับตั้งรหัสผ่าน
อีอูยอนในภาพถ่ายนั้นขี้แกล้งเหมือนกันหมด ภาพที่ถูกถ่ายไว้เป็นภาพที่เขาดึงแก้มของอินซอบเล่น หรือไม่ก็กำลังขยิบตา แม้กระทั่งภาพที่เขานอนหลับตาข้างๆ อินซอบที่กำลังหลับก็ถูกถ่ายไว้ด้วย เป็นภาพที่แค่มองเฉยๆ ก็หัวเราะออกมาแล้ว
“ถ้าทำโทรศัพท์หายจะต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ”
แม้สมองของเขาจะรู้ว่าต้องเตรียมการเผื่อเอาไว้ และลบรูปทิ้ง แต่เขากลับไม่สามารถลบได้ อินซอบมองอีอูยอนในภาพอย่างเหม่อลอย
บางครั้งเขาก็รู้สึกผิดกับหัวใจตัวเองเหมือนกันที่ชอบอีอูยอน เพราะเขาไม่รู้เลยว่าเขาจะทิ้งเหล่าคนที่คิดว่าเขาสำคัญไว้ข้างหลัง และมีชีวิตอยู่ตามหัวใจของตัวเองได้หรือเปล่า เขากลัวว่าพ่อกับแม่จะคิดว่าตนเป็นเด็กอกตัญญูหรือเปล่า และกลัวว่าจะทำให้เจนนี่ที่อยู่บนสวรรค์เสียใจหรือเปล่า
แต่ถึงอย่างนั้น
“…ชอบนะครับ”
เขาลองทิ้งความรู้สึกผิดไว้ข้างหลัง และพึมพำความรู้สึกที่ล้นทะลักออกมา พอมาคิดดูแล้ว เขาจำแทบไม่ได้เลยว่าตนได้สบตาอีกฝ่ายและพูดว่าชอบออกไปครั้งสุดท้ายเมื่อไร แต่ถ้าพูดเรื่องแบบนั้นออกไปตอนนี้ เขากลัวว่าจะมันอาจจะดูเหมือนแผนการที่ทำเพื่อปกปิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ตัวเองทำให้เกิด และทำได้แค่ระมัดระวังการกระทำ
อินซอบเอามือก่ายหน้าผากพร้อมกับถอนหายใจยาว แล้วตอนนั้นเขาก็เริ่มได้ยินเสียงครางที่ดังมาจากห้องข้างๆ อย่างกะทันหัน อินซอบรีบหยิบรีโมทขึ้นมาเปิดทีวี แต่โชคร้ายที่เสียงออดอ้อนของผู้หญิงที่รุนแรงกว่าเมื่อกี้ดังออกมาจากทีวีที่เปิดถูกช่องพอดี
[1] โมเต็ลในเกาหลีจะเป็นห้องพักเล็กๆ ที่ให้เช่าเป็นรายวัน หรือรายชั่วโมงได้ คนหนุ่มสาวทั่วไปนิยมใช้สถานที่นี้ในการมีเซ็กซ์