สวีลั่วจือสามคำดังก้องอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยน นักเรียนและผู้ช่วยที่เดินผ่านไปมาต่างมีสีหน้าตกตะลึง
เหตุใดจึงมีคนมาก่นด่าแบบออกนามต่อท่านจี้จิ่วอีกแล้ว
เมื่อมีหยางจิ้งผู้บ้าคลั่งเป็นแบบอย่าง ผู้อื่นต่างเลียนแบบตามหรือ
“เป็นหญิงสาว”
มีคนตั้งสติได้ ตะโกน
ใช่ เป็นเสียงหญิงสาว หญิงสาวบังอาจวิ่งมาตะโกนภายในกั๋วจื่อเจี้ยน ทุกคนต่างเดินมาทางประตูอย่างตกตะลึงยิ่งขึ้น
หญิงสาวหน้าประตูพุ่งตรงเข้าไปด้านใน เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่ นางยังไม่ลืมเก็บเก้าอี้ที่รองเท้าขึ้นมาถือไว้ในมือ
ผู้เฝ้าประตูก่อนหน้านี้นั่งลงหลบหลีก ผู้เฝ้าประตูคนอื่นตั้งสติกลับมาได้ ตะโกน “หยุด!”
“อย่าได้บังอาจ!” พร้อมทั้งเดินขึ้นหน้ากีดขวางเอาไว้
หญิงสาวนั้นไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย เก้าอี้ภายในมือเหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวาดุจดั่งมีดดาบ ผู้เฝ้าประตูสองสามคนถูกกระแทกออกไป
“สวีลั่วจือ ท่านออกมา!” นางตะโกน แต่ฝีเท้าพุ่งตรงเข้าไปไม่หยุดนิ่ง
ด้านหน้ามีนายทหารและผู้ช่วยหลั่งไหลมามากยิ่งขึ้น หลังจากผ่านเรื่องของหยางจิ้ง ทุกคนต่างไม่ได้หมดความระวัง
ท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย หญิงสาวถือเก้าอี้รองเท้า สวมผ้าคลุมบุกรุกเข้ามา ผมของนางดำขลับ ใบหน้างดงามแต่ดุร้าย ผู้ช่วยที่นำขบวนทั้งตกตะลึงทั้งโกรธ เหลวไหล กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นสถานที่ใด ให้หญิงสาวนี้มากระทำการเหิมเกริมเช่นนี้ได้อย่างไร เขาตะโกน “จับเอาไว้”
องครักษ์ของกั๋วจื่อเจี้ยนถือไม้กระบองตอบรับอย่างพร้อมเพรียง
หญิงสาวนั้นไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย นางถือเก้าอี้รองเท้าไว้ด้านหน้าลำตัว ด้านหลังมีหญิงสาวอีกคนวิ่งมา นางไม่มีเก้าอี้รองเท้าอยู่ในมือ หากแต่มัดกระโปรงและแขนเสื้อเอาไว้ ยกแขนทั้งสองข้าง พุ่งตัวเข้ามาดุจดั่งกระทิง ทำท่าทางราวกับต้องการปะทะมือเปล่า…
การปะทะยังไม่ทันได้เริ่มขึ้น เนื่องจากบนหลังคาทั้งสี่ด้านมีชายหนุ่มห้าคนกระโดดลงมา พวกเขามีความว่องไว ล้อมรอบหญิงสาวสองคนเอาไว้ดุจดั่งเกราะกำบัง มีหนึ่งคนอยู่ด้านหน้าคนทั้งสี่ ดุจดั่งพัดที่กางออก จู่โจมให้องครักษ์ของกั๋วจื่อเจี้ยนที่หลั่งไหลมากระเด็นออกไป…
เหล่าองครักษ์ของกั๋วจื่อเจี้ยนส่งเสียงร้องโอดครวญ ก่อนจะล้มลงไปทางด้านหลัง กลิ้งอยู่บนพื้น
หญิงสาวนั้นเดินผ่านพวกเขาไปอย่างไม่หยุดหย่อน นางเดินเข้าใกล้ผู้ช่วยนั้น
ผู้ช่วยมองหญิงสาวที่เข้าใกล้ท่ามกลางหิมะ ทั้งกลัวทั้งโกรธ “เจ้าคือผู้ใด บังอาจมาตะโกนในกั๋วจื่อเจี้ยน!”
หญิงสาวนั้นหยุดลงต่อหน้าเขา ตอบ “ข้าคือเฉินตันจู”
เฉินตันจู…เป็นนางจริงด้วย! ผู้ช่วยก้าวถอยหลังไป เฉินตันจูบุกเข้ามาแล้ว
หลังจากที่บัณฑิตผู้นั้นถูกขับไล่ออกไป ภายในใจของเขาอดคิดไม่ได้ หากเฉินตันจูรู้เข้าจะทำอย่างไร
“ให้สวีลั่วจือออกมาพบข้า” เฉินตันจูมองผู้ช่วยพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “มิฉะนั้น วันนี้ข้าจะพัง
กั๋วจื่อเจี้ยนของพวกเจ้าทิ้ง”
นางพูดพลางโยนเก้าอี้รองเท้าในมือไปด้านหน้าอย่างแรง เก้าอี้รองเท้ากระแทกเข้ากับบันไดด้านหน้าเสียงดัง ก่อนจะกลิ้งเข้าไปยังโถงหลักของกั๋วจื่อเจี้ยน
นักเรียนและผู้ช่วยที่หลั่งไหลมาเห็นเหตุการณ์ ต่างส่งเสียงฮือฮา ด้านหลังถัดไปอีกเป็นอาจารย์ทั้งหลาย เมื่อพวกเขาเห็นเหตุการณ์จึงขุ่นเคืองอย่างมาก
“ท่านจี้จิ่วเล่า?”
“ท่านจี้จิ่วอยู่ในพระราชวัง”
“ดี รีบไปรายงานใต้เท้าในพระราชวัง ให้ฝ่าบาทรับรู้ด้วย เฉินตันจูกระทำการผิดร้ายแรง!”
คนและม้าเดินทางออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนมุ่งหน้าสู่พระราชวังอย่างรวดเร็ว
เหยาฝูยืนอยู่ภายใต้ทางเดินแห่งหนึ่งในพระราชวัง มองสายลมและหิมะที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้น สีหน้าร้อนใจเป็นกังวล
“มีข่าวใหม่หรือไม่” นางซักถามขันทีผู้หนึ่ง “เฉินตันจูเข้าเมืองแล้ว จากนั้นเล่า?”
ขันทีพูดอย่างระอา “ข่าวล่าสุดบอกว่านางเดินทางไปตระกูลหลิวขอรับ”
เหยาฝูขมวดคิ้ว “ไปตระกูลหลิวเพื่ออันใดกัน เหตุใดจึงไม่บุกไปกั๋วจื่อเจี้ยน”
ขันทียิ้ม “คุณหนูสี่อย่ารีบร้อน เฉินตันจูเดินทางไปถามสาเหตุที่ตระกูลหลิวก่อน จากนั้นเดินทางไปแก้แค้นที่กั๋วจื่อเจี้ยนก็ยังไม่สาย”
เกรงแค่ว่าเฉินตันจูจะถูกปลอบประโลม
ได้ยินมาว่าบัณฑิตผู้นั้นยอมรับว่ารู้จักกับเฉินตันจูอย่างไม่ลังเลในกั๋วจื่อเจี้ยน ไม่โต้แย้งไม่ถกเถียง ไม่พูดคำให้ร้ายต่อเฉินตันจูแม้แต่คำเดียว
คุณหนูตระกูลหลิวที่เกาะเกี่ยวเฉินตันจูก็ไม่เดินทางไปร้องทุกข์ที่ภูเขาดอกท้อในทันที คนทั้งตระกูลหลบซ่อนเอาไว้ดุจดั่งไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น
คนไร้ความสามารถ ทำอันใดก็ไม่สำเร็จ เหยาฝูด่าพวกเขาภายในใจเป็นเวลาหลายวัน
เวลานี้เฉินตันจูเดินทางไปตระกูลหลิวก่อน หากผู้ไร้ความสามารถสองคนรั้งเฉินตันจูจะทำอย่างไร หากไม่ปะทะกับกั๋วจื่อเจี้ยน นางจะเห็นความโชคร้ายของเฉินตันจูได้อย่างไร
เหยาฝูร้อนใจ ลูกมือที่องค์รัชทายาทให้นางในเวลานั้นถูกพระชายาผู้โง่เขลาเรียกกลับไปเกือบทั้งหมด เหลือเพียงคนสองคนเอาไว้ โชคดีที่ตอนนั้นนางแอบซ่อนอยู่ในเมืองอู๋หลายคน แต่ยังคงไม่พอใช้ นางถูกขังไว้ในพระราชวัง ข่าวส่งกลับมาได้อย่างเชื่องช้า
นางแทบอยากจะวิ่งออกไปดูด้วยตนเอง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกพบเข้า นางจึงไม่อาจออกไปได้ ในขณะที่กำลังชะเง้อมองออกไปด้านนอก นางก็เห็นมีคนวิ่งวุ่นอยู่ภายในพระราชวัง…
เหยาฝูให้ความสนใจกับเรื่องภายในพระราชวังมากกว่า นางให้ขันทีรีบไปสืบ ไม่นานนักขันทีก็วิ่งกลับมาอย่างรีบร้อน
“คุณหนูสี่ ไม่ต้องรอข่าวจากด้านนอกแล้ว” เขาถลึงตาพูดเสียงเบา “เฉินตันจูพังกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว เวลานี้ทูลไปถึงฝ่าบาทแล้ว”
เหยาฝูรู้สึกเพียงขนลุกไปทั่วทั้งตัว มือทั้งสองข้างกุมไว้ด้านหน้า หัวเราะร่าออกมา เฉินตันจู ไม่ทำให้นางผิดหวังเสียจริง เฉินตันจูสมกับเป็นเฉินตันจู เหิมเกริมอุกอาจไม่เกรงกลัวสิ่งใด
…
มีคนจำนวนมากของพระตำหนักในวังหลังวิ่งวุ่น
องค์หญิงจินเหยายกกระโปรงพุ่งออกจากพระตำหนัก ด้านหลังตามด้วยนางในขบวนหนึ่ง ภายในมือถือเครื่องประดับ เครื่องแต่งกาย
อาเซียงถือหวีเอาไว้ในมือ ตะโกนอย่างสิ้นหวัง “องค์หญิงเพคะ ยังสางพระเกศาไม่เสร็จเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาเดินอย่างรวดเร็ว ยื่นมือมัดผมที่กระจัดกระจายขึ้น ก่อนจะโยนปิ่นปักผมที่ห้อยระย้าลงกับพื้น
“เกะกะเสียจริง” นางพูด “เช่นนี้ก็พอแล้ว”
นางในคนอื่นถือชุดเอาไว้ “องค์หญิง อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนชุดเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาก้มมองกระโปรงของตนเอง ชุดที่สวมอยู่เป็นชุดกระโปรงรัดอกขนาดยาว มีดอกไม้ปักที่สวยงาม ผ้าคลุมไหล่ที่พลิ้วไหว นางหยุดฝีเท้าลง มองเครื่องแต่งกายหลากหลายในมือของนางใน ยื่นนิ้วชี้อย่างรวดเร็ว “ตัวนี้ ตัวนี้ หยิบผ้ารัดแขนอีกสองชิ้น”
เหล่านางในฟังอย่างสิ้นหวัง “องค์หญิง พระองค์แต่งกายอันใดกันเพคะ พระองค์จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทมิใช่หรือ ใต้เท้าสวีอยู่ด้วยเพคะ พระองค์บอกจะปรึกษาความรู้ การแต่งกายนี้จะไปได้อย่างไรเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาพูดอย่างจริงจัง “ข้าต้องการถามสวีซินแสเรื่องนี้ เกี่ยวกับความหมายของการแต่งกาย”
การแต่งกายยังมีความหมาย? เหล่านางในไม่รู้
“เอาเถิด พวกเจ้าหยิบชุดมาให้ข้า” องค์หญิงจินเหยาชี้นางในสองคน ก่อนจะโบกมือให้พวกนาง “คนอื่นไม่ต้องตามข้ามา”
เหล่านางในทำได้เพียงหยุดลง มององค์หญิงจินเหยาสวมผ้าคลุม พานางในสองคนเดินทางไปตำหนักด้านหน้า
เมื่อกำลังจะเดินไปถึงพระตำหนักของฮ่องเต้นั้น มีนางในคนหนึ่งรออยู่ทางนั้น เมื่อเห็นองค์หญิงมาถึงจึงรีบกวักมือ
องค์หญิงจินเหยาเดินขึ้นหน้าถามสถานการณ์เสียงเบา
นางในพยักหน้า “รถม้าเตรียมไว้แล้วเพคะ องค์หญิง มีรถจำนวนมากออกจากพระราชวัง พวกเรารีบแทรกออกไป”
องค์หญิงจินเหยาโยกมือให้นาง ทั้งสองคนเดินอ้อมพระตำหนักไปอย่างรวดเร็ว…
“องค์หญิง” นางในสองคนที่เดินตามอยู่ด้านหลังตะโกนด้วยความหวาดกลัว “ไม่ได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทหรือเพคะ”
องค์หญิงจินเหยาหันหน้ากลับมา บอกให้พวกนางเงียบเสียง “ย่อมไม่ใช่ มิฉะนั้นข้าจะพาพวกเจ้ามาได้อย่างไร”
อา เพราะเห็นความสำคัญของพวกนางหรือเพราะพวกนางโง่เขลา? นางในทั้งสองผงะ
องค์หญิงจินเหยาไม่สนใจพวกนาง มองออกไปนอกพระราชวัง สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาลุกวาว เครื่องแต่งกายมีความหมายอันใด ความหมายอันยิ่งใหญ่ที่สุดของเครื่องแต่งกายนี้คือสะดวกต่อการปะทะ
เฉินตันจูกำลังปะทะกับนักเรียนหยูในกั๋วจื่อเจี้ยน กั๋วจื่อเจี้ยนมีนักเรียนนับพัน นางในฐานะสหายไม่อาจนิ่งเฉยได้ นางไม่อาจปะทะหนึ่งต่อสิบ แต่ฝึกฝนมาเป็นเวลานานเพียงนี้ นางหนึ่งคนปะทะกับสามคนคงไม่ใช่ปัญหา?
รถม้าที่ออกจากพระราชวังมีไม่น้อย รถใหญ่รถเล็กเคลื่อนตัว อีกทั้งยังมีคนที่ขี่ม้า หน้าประตูพระราชวังคึกคักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์ ยื่นมือกุมขมับ ราวกับเหน็ดเหนื่อย ภายในตำหนักเงียบสงัด เบาะรองนั่งหลายใบกระจัดกระจาย บนโต๊ะยังมีน้ำชาที่ยังดื่มไม่หมด ไอร้อนกำลังลอยขึ้นอย่างช้าๆ
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท” ขันทีคนหนึ่งวิ่งพร้อมตะโกน
ขันทีใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างบัลลังก์ส่งสัญญาณให้เขาเงียบเสียง
ฮ่องเต้หลับตาถาม “สวีซินแสไปแล้ว?”
ขันทีพยักหน้า “ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ลังเลเล็กน้อย “คุณชายอาเสวียนก็ออกจากพระราชวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่งเสียงหัวเราะออกมา “เขาไม่ออกจากวังถึงจะประหลาด”
ขันทีลังเลเล็กน้อย “องค์ องค์ชายสามก็นั่งรถม้าไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว มือกดไว้บนหน้าผาก ไม่พูด
ขันทีลังเลอีกครั้ง “องค์หญิงจินเหยาก็…”
ฮ่องเต้ลืมตาหัวเราะเสียงเย็น “ไปกันทั้งหมด?” หันหน้าไปมองขันทีจิ้นจง “ข้าต้องไปดูความสนุกด้วยหรือไม่”
ขันทีจิ้นจงยิ้มขมขื่นปลอมประโลม “ฝ่าบาทไม่ต้องเสด็จไปพ่ะย่ะค่ะ แต่ต้องคิดว่าจะจัดการความสนุกในครั้งนี้อย่างไร”
ฮ่องเต้ยื่นมือตบโต๊ะด้านหน้า ตะโกนออกมาด้วยความขุ่นเคือง “ข้าไม่สนใจ ครานี้ ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับสวีซินแส!”
สวีซินแสต้องการให้เฉินตันจูตาย เฉินตันจูก็ไปตายเถิด!
หิมะกลายเป็นเกล็ดที่แผ่วเบา โบยบินอยู่ภายในกั๋วจื่อเจี้ยน ร่วงหล่นอยู่บนต้นไม้ บนหลังคา บนพื้น
หิมะตกลงบนชุดคลุมใหญ่ หมวกสูง และเคราสีขาวของของสวีลั่วจือ ข้างตัวของเขาคือนักเรียนและผู้ช่วยที่หลั่งไหลเข้ามา บนตัวของพวกเขาเต็มไปด้วยหิมะ เวลานี้กำลังมองดูด้านหน้าอย่างขุ่นเคือง
ด้านหน้าคือโถงที่แขวนป้ายทางแห่งนักปราชญ์ ชายคาที่เชิดและหนากีดกันหิมะเอาไว้ด้านนอก องครักษ์ห้าคนยืนอยู่ภายใต้ทางเดิน ภายในมีหญิงสาวหนึ่งคนนั่งอยู่ นางหลุบตาต่ำเล่นเตาอุ่นมือขนาดเล็กในมือ รองเท้าหนังกวางเหยียบอยู่บนเก้าอี้ ด้านข้างมีสาวรับใช้หนึ่งคนกำลังจับจ้องมองคนด้านนอกอย่างดุร้าย
“เฉินตันจู” สวีลั่วจือพูดขึ้นอย่างช้าๆ “เจ้าจะพบข้า มีเรื่องอันใด”
เฉินตันจูเงยหน้าขึ้น ราวกับเพิ่งเห็นว่าสวีลั่วจือมาถึง
“ท่านคือสวีจี้จิ่วหรือ” นางถาม “ขอโทษ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยเห็นท่าน ไม่รู้จัก”
คำพูดที่ท้าทายหยาบคายเช่นนี้ไม่ได้ทำให้สวีลั่วจือแสดงความโกรธออกมา ตอนที่ได้ยินว่าเฉินตันจูนี้บุกเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ภายในพระราชวัง เขาวางชาที่ยังดื่มไม่หมดลงก็เพียงพอที่จะแสดงความขุ่นเคืองแล้ว
“ผู้ไม่รู้ไม่ผิด” เขาพูดอย่างเรียบเฉย
เฉินตันจูเหยียบเก้าอี้รองเท้าลุกขึ้น ก่อนจะเดินมาทางหน้าประตู “สวีซินแสรู้ว่าผู้ไม่รู้ไม่ผิด แต่ท่านรู้หรือไม่ว่าไม่เกรงกลัวผู้อื่นไม่รู้จักตน เกรงว่าตนจะไม่รู้จักผู้อื่น”
สวีลั่วจือหัวเราะร่า สีหน้าเหยียดหยาม “เฉินตันจู เจ้าจะถกเถียงหลักการกับข้า?”
ตามเสียงพูดและเสียงหัวเราะของเขา ผู้ช่วยและนักเรียนที่อยู่ล้อมรอบตัวพวกเขาต่างหัวเราะตามขึ้นมา
เฉินตันจูมองคนที่ยืนอยู่อย่างหนาแน่นท่ามกลางหิมะ สัมผัสได้ถึงสายตาเหยียดหยามมากมาย “ไม่ใช่หลักการ หากแต่คือหลักแห่งความเป็นมนุษย์ พวกท่านรู้จักข้าหรือ พวกท่านไม่รู้จักข้า เพียงแค่ฟังคำพูดของผู้อื่น ลงโทษคนที่บริสุทธิ์ พวกท่านคู่ควรกับป้ายแผ่นนี้หรือ”
นางชี้นิ้วไปยังด้านบนประตู
เหมือนดั่งหญิงสาวที่ถูกรังแกวิ่งมาทะเลาะกับผู้อื่น แม้จะยกเหตุผลยิ่งใหญ่เพียงใด สวีลั่วจือก็ไม่ทะเลาะกับหญิงสาว เพราะเป็นความดูถูกอันยิ่งใหญ่ เขาพูดเสียงเบา “คุณหนูตันจูหมายถึงสิ่งที่หยางจิ้งพูดในกั๋วจื่อเจี้ยนหรือ เจ้าคิดมากไปแล้ว พวกข้าไม่ได้ถือเป็นเรื่องจริง หยางจิ้งถูกพวกเราส่งไปรับโทษแล้ว เจ้ามีสิ่งใดไม่พอใจ เจ้าไปถามที่ว่าการได้”
“ข้าไม่ได้พูดถึงหยางจิ้ง” เฉินตันจูตะโกน นางย่อมมองออกถึงความเหยียดหยามของสวีลั่วจือที่มีต่อนาง ดังนั้นจึงไม่สนใจ ไม่ถกเถียง “ข้ากำลังพูดถึงจางเหยา ข้าคือข้า จางเหยาคือจางเหยา ท่านเพียงแค่อาศัยว่าจางเหยารู้จักกับข้า จึงขับไล่เขาออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน ถึงแม้ข้าจะไม่เคยศึกษาหลักการของนักปราชญ์ แต่ก็รู้ว่านักปราชญ์เคยกล่าวไว้ การสั่งสอนไม่แบ่งแยก พวกท่านขับไล่คนไปเช่นนี้ การกระทำนี้คือหลักการของนักปราชญ์ที่พวกท่านศึกษา?”
หิมะที่ปลิวว่อนทำให้ใบหน้าของหญิงสาวเลือนราง มีเพียงน้ำเสียงที่ชัดเจน น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเคือง องค์หญิงจินเหยาที่ยืนอยู่ไกลออกไปทำท่าจะพุ่งตัวเข้าไป องค์ชายสามที่อยู่ด้านข้างยื่นมือรั้งนางเอาไว้ พูดเสียงเบา “เจ้าไปทำอันใด”
องค์หญิงจินเหยาถลึงตามองเขา “ลงมืออย่างไรเล่า ยังต้องพูดสิ่งใดกับพวกเขาอีก”
องค์ชายสามยิ้มพลันส่ายหัว “อย่ารีบ รอก่อน” พูดพลางมองไปอีกด้าน หัวเราะเสียงเบา “อาเสวียนยังไม่รีบ”
องค์หญิงจินเหยามองไป เห็นโจวเสวียนยืนอยู่อีกด้านขององค์ชายสาม เขาออกมาก่อนพวกนาง อีกทั้งเร่งรีบเสียยิ่งกว่า ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักแม้แต่ผ้าคลุมยังไม่ได้สวมใส่ แต่เวลานี้เขายืนอยู่ด้านหน้าประตู มีรอยยิ้มที่มุมปาก มองดูอย่างสนุกสนาน อีกทั้งไม่ได้พุ่งตัวเข้าไปลากเฉินตันจูออกมาจากด้านใน…
บิดาของเขาเคยรับตำแหน่งเป็นจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจี้ยน ป้ายแผ่นนี้เป็นฝีมือของบิดาเขา
“ผู้ใดจะรู้ว่าเขากำลังวางแผนอันใด” องค์หญิงจินเหยาพูดเสียงเบาด้วยความขุ่นเคือง
องค์ชายสามทำท่าเบาเสียง “ดังนั้น อย่าวู่วาม ดูก่อน”
องค์หญิงจินเหยากำมือแน่น มองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าผ่านฝูงคนและหิมะ
พวกเขาเดินทางมาหลังจากสวีลั่วจือไม่นาน แต่ไม่ได้เป็นที่สนใจมากนัก สำหรับกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว เวลานี้ถึงแม้ฮ่องเต้เดินทางมาก็ไม่มีผู้ใดสนใจ
องค์ชายสามและองค์หญิงจินเหยาไม่ได้เดินขึ้นหน้า เพียงแต่ยืนมองอยู่หน้าประตูอย่างเงียบสงบ
เผชิญหน้าต่อคำถามหลักการนักปราชญ์ของเฉินตันจู สวีลั่วจือยังคงเรียบเฉย อธิบายอย่างสงบ “คุณหนูตันจูเข้าใจผิดแล้ว กั๋วจื่อเจี้ยนไม่รับจางเหยา ไม่เกี่ยวกับคุณหนูท่าน เป็นเพียงเพราะกฎระเบียบ”
ไม่ว่าอดีตชาติหรือชาติปัจจุบัน เฉินตันจูเคยพบเห็นท่าทีมากมาย ก่นด่า เสียดสี เกรงกลัว โกรธเคือง ใช้คำพูด ใช้สายตา ใช้การกระทำ สำหรับนางล้วนไม่เกรงกลัว แต่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นการดูถูกที่เรียบเฉยจากอาจารย์หยูเช่นนี้ ทั้งสงบและสง่า แต่แหลมคมดุจดั่งมีดหรือคันธนูที่ปักเข้าที่ตัวของนาง
“กฎระเบียบ” เฉินตันจูกำเตาอุ่นมือในมือแน่น “กฎระเบียบอันใด”
ผู้ช่วยด้านข้างสวีลั่วจือคนหนึ่งพูดเสียงเย็น “การเข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน ต้องมีทะเบียนเหลือง ต้องมีจดหมายแนะนำจากผู้ควบคุมในพื้นที่ กฎระเบียบนี้ตกทอดมารุ่นต่อรุ่น เสียดาย จางเหยาไม่มี”
จางเหยาเป็นสามัญชนไม่มีสิ่งที่เขาพูดจริง แต่เหตุผลนี้ไม่ใช่เหตุผล เฉินตันจูหัวเราะเยาะ “กฎระเบียบของกั๋วจื่อเจี้ยน แต่ไม่ใช่กฎระเบียบของสวีซินแส มิฉะนั้นท่านคงไม่รับจางเหยาไว้แต่แรก ถึงแม้เขาจะไม่มีทะเบียนเหลือง แต่เขามีจดหมายแนะนำจากสหายที่ท่านเชื่อมั่นที่สุด”
เรื่องนี้มีคนรู้ไม่มาก มีเพียงสวีลั่วจือและผู้ช่วยสองคนที่รู้ วันนั้นขับไล่จางเหยา สวีลั่วจือไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่น้อย ทุกคนจึงไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงในการเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนของจางเหยา เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ เหล่านักเรียนที่จับจ้องเฉินตันจูอย่างเงียบๆ ต่างเคลื่อนไหวขึ้นมา เสียงฮือฮาดังก้อง
“สวีลั่วจือ” เฉินตันจูถามเสียงเย็น “ท่านแม้แต่ยอมรับว่าขับไล่จางเหยาเพราะชื่อเสียงของข้าก็ยังไม่กล้า กั๋วจื่อเจี้ยนของพวกท่านไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับว่าตนเองทรยศต่อคำสอนของนักปราชญ์ที่ว่าการศึกษาไม่แบ่งแยก!”
ข้อหานี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก ราวกับกำลังซักถามว่าฮ่องเต้ใช่ผู้เที่ยงธรรมหรือไม่ แต่ฮ่องเต้ซักถามได้ ผู้คนของกั๋วจื่อเจี้ยนด้านหน้านี้ไม่เกรงกลัวสิ่งนี้…
องค์ชายสามถอนหายใจเสียงเบา “พวกเขาเป็นผู้กำหนดหลักการซักถามประเภทต่างๆ”
คุณหนูตันจู ท่านถกเถียงหลักการกับพวกเขา จะถกเถียงชนะได้อย่างไร พวกเขาคือบรรพบุรุษ
สวีลั่วจือหัวเราะออกมา
“คุณหนูตันจู เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” เขาพูดอย่างเรียบเฉย “ทะเบียนเหลืองไม่ใช่กฎของข้า ข้ารับจางเหยาเพราะคำขอของสหาย ทดสอบความรู้ของเขา หลังจากผ่านการทดสอบระยะหนึ่ง ความรู้ของเขาไม่เพียงพอที่จะศึกษากับข้าไม่เพียงพอศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน ดังนั้นจึงเชิญเขาจากไป หาสถานที่เหมาะสมกับการศึกษาของเขา การกระทำเช่นนี้จึงจะเหมาะสมสำหรับเขา”
เขามองเฉินตันจู สีหน้าเคร่งขรึม
“เฉินตันจู การกระทำนี้จึงจะเป็นการศึกษาไม่แบ่งแยก การถ่ายทอดความรู้ตามบุคคล การให้ต้นอ่อนที่คุณภาพไม่ดีอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยน ดึงต้นอ่อนให้โต ไม่ใช่หลักการสอนของนักปราชญ์”
“เฉินตันจู เรื่องความรู้ของนักปราชญ์ เจ้ายังมีข้อสงสัยหรือไม่”
เขาไม่ได้กล่าวถึงความรังเกียจต่อชื่อเสียงของเฉินตันจู ไม่กล่าวถึงการดูถูกที่จางเหยาและเฉินตันจูรู้จักกัน เขาไม่โต้เถียงความถูกผิดด้านการกระทำกับเฉินตันจู
เขากล่าวถึงแค่ความรู้
เรื่องของความรู้ เฉินตันจู เจ้ามีสิทธิ์ใดในการถกเถียง
เหล่าผู้คนที่สวมชุดนักเรียนจำนวนมากต่างมองหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าโถงด้วยสายตาเย็นยะเยือกดุจดั่งหิมะ