“เจียวเอ๋อร์เข้าใจในคำสอนของท่านแม่ แต่นังแพศยาคนนั้นช่างหยิ่งผยองยิ่งนัก” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กำมือแน่น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “นางก็แค่เกิดมาพร้อมใบหน้าอันงดงามเท่านั้น ฮึ่ม รอให้ข้าข่วนหน้านางให้เหมือนกีบเท้าก่อนเถอะ”
ซูเหยียนโม่ดึงนางออกมาด้านข้าง และหยิกนาง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เจียวเอ๋อร์ แม่บอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าให้ระวังกิริยามารยาททั้งคำพูดและการกระทำของตัวเองให้ดี เจ้าเป็นลูกสาวสุดที่รักในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ ในสายตาของท่านพ่อ เขามองว่าเจ้าเป็นดั่งไข่มุกในฝ่ามือ และในอนาคต เจ้าก็จะเป็นนายของตำหนักบูรพา ทุกสายตาต่างจับตาดูเจ้าและพยายามมองหาความผิดพลาดของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ เจ้าจะต้องจำเอาไว้ แม้ว่าจะรู้สึกโกรธเคืองเพียงใด แต่เจ้าก็ต้องไม่เปิดเผยความรู้สึกนั้นต่อหน้าคนอื่นๆ เข้าใจหรือไม่”
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้ว่าใบหน้าของตนเองเผยให้เห็นความขุ่นเคือง และแม้ว่านางจะขุ่นเคือง แต่นางก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของท่านแม่ นางเขย่าแขนของฮูหยินซู ก่อนจะทำหน้าน่ารักน่าเอ็นดู พร้อมกับพูดขึ้น “ลูกเข้าใจแล้ว”
ฮูหยินซูลูบผมยาวของลูกสาวด้วยดวงตาเป็นประกาย “เจ้าไม่ต้องไปอิจฉารูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนั้นหรอก สุดท้ายแล้ว นางก็เป็นแค่เด็กสาวบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น พรุ่งนี้ พวกเราจะไปสืบดูว่านางเป็นใคร และทำลายใบหน้าของนางเสีย”
ไม่ใช่แค่ข่วนหน้านาง แต่ทำลายใบหน้าของนางเลยทีเดียว มันเป็นวิธีที่โหดเหี้ยมยิ่งกว่าเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เสียอีก
“ท่านแม่พูดถูก ข้าจะไม่สร้างปัญหาอีกต่อไป” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยกริมฝีปากเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย นางรู้จักวิธีการของท่านแม่ดีกว่าใคร หากท่านแม่บอกว่าจะทำลายใครสักคน ก็ไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตของคนๆ นั้นได้
แต่สองแม่ลูกไม่ได้ตระหนักถึงคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่บอกว่าเพียงแค่มีเงินและอำนาจ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถปิดแผ่นฟ้าด้วยมือเดียวได้ ในโลกใบนี้ยังมีตัวแปรและปัจจัยอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้ ตัวตนที่แท้จริงของเฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นหนึ่งในตัวแปรเหล่านี้
ท้องฟ้าแจ่มใส ไร้เมฆบดบัง ลมพัดเบาๆ มีหยดน้ำบนต้นสนสีเขียวมรกต และกิ่งก้านที่สั่นไหว… เมื่อกิ่งไม้ไม่สามารถรับน้ำหนักของหยดน้ำได้อีกต่อไป มันก็ค่อยๆ โน้มกิ่งลงมาเล็กน้อย
แปะ…
หยาดดน้ำค้างหยดใส่ใบหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวย ในตอนนี้ นางแต่งหน้าใหม่แล้ว และได้เปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบที่สำนักไท่ไป๋กำหนด นางมองไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่เห็นคนสองคนที่นางกำลังตามหาอยู่ น่าแปลก พวกเขาลาหยุดกันเช่นนั้นหรือ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับมาอย่างผิดหวัง แต่ก็ไม่เสียเวลากับเรื่องนี้ เมื่อนางเห็นว่าไม่มีใครอยู่ นางจึงหมุนตัวและเดินจากไป การเข้าออกอย่างรวดเร็วของนางทำให้หลายคนต่างก็คาดเดากันว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ดูสิ นางกลับมาแล้ว”
“นางจะต้องลืมอะไรบางอย่างเอาไว้ แล้วกลับมาเอาไปอย่างแน่นอน”
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่คนพวกนั้นก็พูดเกินจริงไปมาก ถึงกับเรียกนางว่า ‘ลูกพี่’ เลยทีเดียว”
“ก็แค่พวกบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกเท่านั้น พวกเขาเพียงรวมกลุ่มกันเพื่อความสนุกสนาน ทั้งชีวิตของบางคน อาจจะยังไม่เคยถูกประจบประแจงเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น พวกเขาจึงตั้งใจทำเรื่องเหล่านี้เพื่อเสแสร้งว่าพวกเขามีอำนาจและเป็นที่นิยมอย่างมากก็เท่านั้น”
ตอนแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นศิษย์น้องเหล่านั้น นางก็หยุดเดิน และต้องการจะมอบตั๋วสองใบที่อยู่ในมือให้พวกเขา แต่ก่อนที่จะได้คุยกัน เหล่าคุณหนูที่กำลังฝึกปราณอยู่ด้วยกันนั้น กลับมองนางอย่างไม่ชอบใจ ราวกับว่านางพยายามที่จะไต่เต้าขึ้นมา พวกนางดูถูกเฮ่อเหลียนเวยเวย และคิดว่าพวกตนมีดีกว่าอีกฝ่าย
ผู้หญิงคนนี้มีการพัฒนาในเรื่องอาวุธก็จริง แต่จะไปมีประโยชน์อะไรเล่า ในเมื่อนางไม่ได้มาจากตระกูลที่ดี และไม่มีพลังปราณในร่างกาย กลุ่มคนเหล่านั้นควรรายล้อมพวกนาง ไม่ใช่เฮ่อเหลียนเวยเวย พวกนางอยากจะเปิดหูเปิดตาให้พวกเขารับรู้ว่าหญิงสาวคนนี้เป็นเพียงแค่คนบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจว่ามันเป็นเพียงความอิจฉาในใจของพวกนาง นางจึงกอดอกและยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเย้ยหยัน
คนที่ยืนอยู่ข้างๆ เฮ่อเหลียนเวยเวย มีชื่อว่าเฉินอีเฟิง เขาเป็นคนเถรตรง และเกิดในตระกูลแม่ทัพ เขาพูดขึ้นอย่างไม่ระมัดระวัง “พวกเจ้าทุกคนพูดจบแล้วหรือยัง สิ่งที่พวกเจ้าทำก็แค่นินทาว่าร้ายคนอื่นทั้งวันเท่านั้น พวกเจ้าไม่มีอะไรทำแล้วหรืออย่างไร แค่เรื่องนี้ เจ้าก็ไม่สามารถเทียบกับลูกพี่ได้แล้ว”
“ใช่ๆๆ ลูกพี่ของเจ้าช่างเป็นคนที่มีอำนาจยิ่งนัก” หนึ่งในคนกลุ่มนั้นพูดจาเหน็บแนมประชดประชัน “ต่างจากคนอื่นๆ ในชั้นเรียนพลังปราณที่ไม่สามารถทำคะแนนได้เลย แม้แต่ตระกูลเฮ่อเหลียนก็ยังขับไล่นางออกจากตระกูล นางคิดว่าตัวเองมีความรู้ด้านอาวุธเพียงเล็กน้อย แล้วจะไม่มีใครเอาชนะนางได้ แต่สุดท้ายแล้ว นางก็เผยธาตุแท้ออกมาในการทดสอบพลังปราณ ข้าไม่เข้าใจเลย นางเองก็มาจากคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ แต่เจียวเอ๋อร์กลับมีจิตใจดีและเห็นอกเห็นใจผู้อื่นยิ่งนัก แม้แต่ตอนที่นางอยู่ที่งานประมูลของเวยเจ๋อ นางก็ยังไม่ทำตัวโดดเด่นเลย หากลูกพี่ของพวกเจ้ามีดีกว่านั้น แล้วทำไมนางถึงไม่ไปที่งานประมูล แล้วเดินเล่นที่นั่นเล่า”
“น้องสาว เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน เจ้ากำลังทำให้ลูกพี่ของพวกเขาต้องอึดอัดใจ แม้ว่านางจะใช้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างของนาง ก็อาจจะยังไม่สามารถซื้อที่นั่งแถวสุดท้ายในงานประมูลได้เลยด้วยซ้ำ อย่าทำให้ศิษย์ที่ยากจนคนหนึ่งต้องลำบากใจเลย”
เหล่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายต่างพูดคุยกันในกลุ่มและโบกพัดไปมา ใบหน้าของพวกนางเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“พวกเจ้าทุกคนหุบปากซะ!” ยิ่งเฉินอีเฟิงรับฟังมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธเคืองมากขึ้นเท่านั้น เขาเองก็ศึกษาเรื่องอาวุธ และหลังจากที่เขาพ่ายแพ้ให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย เขาก็ยอมรับความพ่ายแพ้ของตนเอง นอกจากอาวุธแล้ว เขายังศึกษาศาสตร์ของพลังจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนรู้ได้ นับประสาอะไรกับความยากลำบากในการหาซื้อวัสดุที่จำเป็นทุกอย่าง
สิ่งที่ลูกพี่ของพวกเขาเก่งที่สุดก็คือ ต่อให้จะเป็นวัสดุธรรมดาแค่ไหน แต่ถ้าอยู่ในมือของนางแล้ว มันก็สามารถกลายเป็นอาวุธชั้นหนึ่งได้ พวกคนหัวสูงเหล่านั้นไม่เข้าใจโลกของอาวุธเลย พวกเขาเพียงแค่เย้ยหยันที่ลูกพี่ของพวกเขาไม่มีเงิน หากลูกพี่ของพวกเขามีเงิน อาวุธทุกชิ้นที่นางสร้างขึ้นก็คงจะขายจนหมดเกลี้ยงอย่างแน่นอน
“ไม่จริงน่า คุณชายเฉินต้องการจะทะเลาะกับพวกเราเพื่อปกป้องนางเช่นนั้นหรือ” มีใครบางคนมองเขาหัวจรดเท้า “คุณชายเฉิน อย่าบอกนะว่าเจ้ามีความรู้สึกต่อลูกพี่ของเจ้า เช่น อยากจะแต่งงานกับนางอะไรพวกนั้น”
หลังจากพูดจบ ก็เกิดเสียงหัวเราะขบขันดังขึ้น คุณหนูหนึ่งในนั้นหัวเราะอย่างหนักจนน้ำตาไหล นางชี้ไปทางเฉินอีเฟิงและเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทำเป็นพูดเล่นไป พวกเจ้าสองคนมีสีผิวที่คล้ายคลึงกัน ไม่รู้ว่าลูกๆ ของพวกเจ้าจะออกมาหน้าตาเป็นเช่นไร ข้าไม่อยากจะนึกเลย มันจะไม่เห็นเป็นถ่านก้อนเล็กๆ เลยหรือ”
เฉินอีเฟิงรู้สึกเดือดดาล และสีหน้าของเขาก็บ่งบอกว่าพร้อมเข้าไปต่อสู้เต็มที่ เฮ่อเหลียนเวยเวยจับข้อมือของเขา ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ใช้กำลังมากมายนัก แต่กลับทำให้เฉินอีเฟิงหยุดฝีเท้าและหันกลับมามองได้ แววตาของเขาดูประหลาดใจ เขารู้ว่าลูกพี่ของเขามีความสามารถก็จริง แต่ยังขาดพื้นฐานอีกมาก และนางก็แค่โชคดีที่เป็นฝ่ายชนะประลองตอนที่นางเพิ่งมาถึงสำนักไท่ไป๋ เพราะเฮ่อเหลียนเหมยไม่ได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ก็เท่านั้น
แน่นอนว่าเขาไม่รู้ว่าการทดสอบครั้งนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะท้ายที่สุดแล้วก็มีเพียงผู้แข่งขันเท่านั้นที่รู้ แต่ในตอนที่ทดสอบลูกแก้วนั้น เห็นได้ชัดว่าลูกพี่ของเขายังไม่มีความสามารถในการจุดไฟให้กับลูกแก้วเลย แล้วทำไมตอนนี้ นางถึงสามารถจับข้อมือของเขาอย่างแผ่วเบา แต่กลับทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเช่นนี้ได้ นี่…ไม่น่าจะใช่พลังจากคนที่ไม่มีพลังปราณเลยด้วยซ้ำ