เอ้อร์เป่าส่งเสียงชมจ้าวอวี้หลัวอย่างตื่นเต้น “เจ้าสายตาไม่เลว ท่านแม่ข้าสวย และมีความสามารถมาก ที่สำคัญคือนางรักลูกมาก”
จ้าวอวี้หลัวแทบหยุดปากที่จะโพล่งออกไปว่าข้าสวยกว่าน้าลู่ แต่เพื่อเอ้อร์เป่า นางยอมเสียสละตนเองสักหน่อยก็แล้วกัน
“ใช่ เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง”
ต้าเป่า ซานเป่า ซื่อเป่าด้านหลังส่งค้อนขวับให้ทันที ถลึงตาใส่คนโง่เง่าสองคนด้านหน้า
ลู่เจียวเล่นได้ครู่หนึ่งส่งเชือกในมือให้เอ้อร์เป่า กำชับเขาให้ระวัง
ในบรรดาเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ สภาพร่างกายเอ้อร์เป่าดีที่สุด วิ่งตามนางมาได้พักหนึ่ง ยังคงยืนหยัดต่อได้ ส่วนเด็กคนอื่นไม่ค่อยไหวแล้ว โดยเฉพาะต้าเป่าวิ่งจนหอบหายใจไม่ทัน
ลู่เจียวมองต้าเป่ากำชับว่า “วันหน้าต้องออกกำลังกายให้มากๆ เวลาว่างก็ไปฝึกเพลงหมัดกับท่านอา หลี่ สุขภาพดีจึงจะได้ทำสิ่งที่ตนเองต้องการได้ รู้ไหม”
ต้าเป่ารีบพยักหน้า “ท่านแม่ ข้าทราบแล้ว”
เอ้อร์เป่าเล่นจนเหนื่อยแล้ว เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับจ้าวหลิงเฟิงก็มา พอมีผู้ชายสองคนมานำเด็กๆ เล่นว่าว สองตระกูลเล่นกันจนเย็นจึงได้กลับบ้าน
พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่กลับถึงบ้าน ไม่ทันได้กินอาหารเย็นก็ง่วงนอน ลู่เจียวรีบให้พวกเขาฝืนกินไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ให้พวกเขาไปอาบน้ำเข้านอน
ลู่เจียวจัดการเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เข้านอนเสร็จ นางก็อยากนอนแล้ว วันนี้ทั้งวันนางก็เหนื่อยมากเช่นกัน
แต่เซี่ยซิ่วไฉอัดอั้นตันใจมาทั้งวัน เขาดึงดันตามลู่เจียวไปพลางบ่นไม่หยุด
“เจียวเจียว วันนี้เดิมเป็นวันครอบครัวของพวกเราเที่ยวกันให้เบิกบาน ปรากฏกลับถูกจ้าวหลิงเฟิงสองพ่อลูกนั้นมาแทรก เจ้าหมอนี่น่ารังเกียจจริง”
ที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือวันนี้พอจ้าวหลิงเฟิงมีเวลาก็เอาแต่เข้าใกล้เจียวเจียว
ลู่เจียวหาวหวอดแสดงท่าทางว่านางง่วงแล้ว
เซี่ยอวิ๋นจิ่นรีบเอ่ยอย่างรวดเร็ว “เจียวเจียว เจ้าง่วงแล้วกระมัง เช่นนั้นเจ้าก็ไปอาบน้ำนอนเถอะ”
กล่าวจบไม่รอให้ลู่เจียวกล่าวอันใดก็กอดลู่เจียวขึ้นมา ก้มหน้าลงหอมแก้มนาง
“ราตรีสวัสดิ์”
เซี่ยซิ่วไฉหอมได้รวดเร็วก่อนจะรีบก้าวออกไป ใบหน้าลู่เจียวด้านหลังราวกับมีแสงสีดำพาดผ่าน เห็นคนที่ออกไปด้วยรอยยิ้มแย้มบาน ที่มาพูดมากมายเช่นนี้ ความจริงก็เพื่อต้องการหอมแก้มแล้วค่อยไปสินะ
ลู่เจียวยกมือลูบหน้าผากตนเอง ก็รู้สึกเบิกบานใจมาก
วันรุ่งขึ้นตอนลู่เจียวตื่นนอน เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ไปอ่านตำราที่สำนักศึกษาประจำอำเภอแล้ว
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เองก็กินอาหารเช้าแล้ว แต่เอ้อร์เป่าไม่ได้ไปเรียนที่เรือนด้านหน้า เอาแต่นั่งอยู่ในห้องรอนาง
ลู่เจียวลืมตามาก็เห็นเจ้าหนูน้อยประคองหนังสือนั่งอ่านอย่างเรียบร้อยอยู่บนเก้าอี้ตัวกลม
แสงอาทิตย์รำไรส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาอาบร่างน้อยของเขาให้ยิ่งงามราวกับภาพวาด
พอเขาเห็นลู่เจียวตื่นแล้วก็ยิ้มกว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความเบิกบาน
ลู่เจียวเห็นท่าทางของเอ้อร์เป่าก็ใจอ่อน แทบอยากจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ให้กับเขา
“เอ้อร์เป่าทำไมยังไม่ไปเข้าเรียน”
เอ้อร์เป่าเดินเข้ามามองลู่เจียวทันที “ท่านแม่ ข้าไม่อยากแต่งภรรยา ข้าจะเป็นแม่ทัพ ท่านแม่อย่าได้ตอบตกลงท่านลุงจ้าว อย่าให้ข้าต้องรับจ้าวอวี้หลัวเป็นภรรยา ข้าไม่ชอบนาง”
ลู่เจียวอดยิ้มไม่ได้ ดังนั้นที่มารออยู่ตอนนี้ก็เพื่อบอกนางเรื่องนี้หรือ
ลู่เจียวยกมือลูบศีรษะเจ้าตัวน้อย “แม่รับปากเจ้า จะไม่บีบบังคับให้เจ้าแต่งกับผู้ใดทั้งสิ้น วันหน้าเจ้าเจอคนที่ชอบก็ค่อยมาบอกแม่ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยแต่งภรรยาให้เอ้อร์เป่าดีไหม”
เอ้อร์เป่าพลันดีใจขึ้นมาทันที เขย่งตัวขึ้นหอมแก้มลู่เจียวทีหนึ่ง “ท่านแม่ เช่นนั้นข้าไปเข้าเรียนแล้ว”
“ไปเถอะๆ”
เจ้าตัวน้อยหันหลังวิ่งออกไป เห็นได้ชัดว่าร่างเล็กสูงขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ลู่เจียวกินอาหารเช้าแล้ว ลู่กุ้ยก็มาบอกนางว่า “เมื่อวานท่านอาหลี่เจอร้านสองร้านบนถนนเหอผิง ให้คนไปเจรจาราคาได้ราคามาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้กำลังรอพี่เจียวไปดูว่าได้หรือไม่ หากได้ วันนี้พวกเราก็ลงนามในสัญญาจากนั้นก็ไปจดทะเบียนที่ที่ว่าการอำเภอ”
ลู่เจียวพอได้ฟังเรื่องนี้ก็กระตือรือร้นขึ้นมา แต่พลันคิดถึงลูกไม้ตระกูลจางครั้งก่อนขึ้นมา นางถามอย่างไม่วางใจว่า “ท่านอาหลี่ตรวจสอบละเอียดหรือยัง ร้านนั้นเป็นอย่างไร คงไม่ได้มีลูกไม้อะไรอีกกระมัง”
ครั้งก่อนตระกูลจางมอบร้านให้ลู่เจียว ลู่เจียวบอกกับหลี่หนานเทียนไปแล้ว ให้เขาระวังเรื่องนี้ จะต้องสืบให้ละเอียดก่อนว่าผู้ใดเป็นเจ้าของตัวจริง
หลี่หนานเทียนไปตรวจสอบร้านค้าที่จะซื้อนี้มาอย่างละเอียดแล้ว
“ร้านนี้มีทั้งหมดสองห้อง บรรพชนพวกเขาเปิดร้านอาหาร แต่เพราะรอบด้านมีแต่คนจน ไม่มีคนมากินข้าวร้านเขา สุดท้ายร้านก็ไปต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ เจ้าของร้านจึงคิดขายทิ้งไปหาร้านใหม่ในพื้นที่ที่มีคนรวย”
ลู่เจียวได้ฟังก็พยักหน้าเล็กน้อย พาเฝิงจือกับหร่วนจู๋ไปเรือนด้านหน้า
หลี่หนานเทียนกำลังรอลู่เจียวอยู่ที่เรือนด้านหน้า หลังซักถามเรื่องราวของร้านอย่างละเอียดแล้ว สุดท้ายก็สนใจ น้ำมันจากโรงหีบน้ำมันได้เปิดขายอย่างเป็นทางการแล้ว ร้านนางก็ควรเริ่มเปิดกิจการได้แล้ว
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วก็สั่งการหลี่หนานเทียน “ไป พวกเราไปดูกันหน่อย”
หลี่หนานเทียนพยักหน้า นำลู่เจียวกับพวกเฝิงจือตรงไปยังถนนเหอผิง
เจ้าของร้านค้าแห่งนี้กำลังรออยู่พอดี เมื่อวานหลี่หนานเทียนมาเจรจาราคากับพวกเขาแล้ว บอกว่า วันนี้จะเชิญเจ้านายมาดูสักหน่อย
เจ้าของร้านรออยู่นานแล้ว สาเหตุหลักก็คือร้านค้านี้ไม่อาจทำเงินได้ พวกเขามีรายรับไม่พอรายจ่าย หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมไม่อาจรอต่อไปได้ ได้แต่รีบขายร้านทิ้ง แล้วหาซื้อร้านใหม่ เช่นนี้จึงจะหาเงินเลี้ยงครอบครัวได้อีกครั้ง
พอลู่เจียวปรากฏตัว หลี่หนานเทียนก็แนะนำนางให้รู้จักกับเจ้าของร้าน “ท่านอาหลิน นี่คือเหนียงจื่อเรา เหนียงจื่ออยากซื้อร้านของท่าน ดังนั้นข้าจึงเชิญมาดู หากพอใจก็ค่อยเจรจาราคากันดีไหม”
“ตกลง”
เจ้าของแซ่หลินรีบพยักหน้า เชิญลู่เจียวเข้าไปด้านใน
ร้านค้าสองห้อง ด้านหลังมีพื้นที่ลานกว้างไม่น้อย
แต่เพราะเป็นสมบัติบรรพชน ดังนั้นร้านจึงดูเก่า แต่ละแห่งในร้านล้วนเต็มไปด้วยคราบน้ำมัน มองแล้วสกปรกเละเทะไปหมด
ลู่เจียวมองดูทั้งด้านในและด้านนอกแล้วก็เงียบไปเป็นนาน เจ้าของแซ่หลินยังคิดว่าลู่เจียวเงียบไปเพราะไม่พอใจ
แต่ความจริงลู่เจียวพอใจกับสถานที่นี้มาก ที่ไม่พูดก็เพราะกำลังคิดว่าจะตกแต่งซ่อมแซมอย่างไร
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง กำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังจากนอกประตู
ลู่เจียวหันไปมองเห็นคนที่มาเป็นเสิ่นซิ่วที่พวกนางคิดตามจับตัวมาโดยตลอดแต่จับไม่ได้
พอเสิ่นซิ่วเห็นลู่เจียว แววตาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ราวกับพบเจอศัตรู
ลู่เจียวกลับเริ่มระวังตัวอย่างมาก ตามหลักการแล้วเสิ่นซิ่วไม่ควรมาปรากฏตัวต่อหน้านางในตอนนี้ได้ นางฆ่าคนตาย หากปรากฏตัวก็ย่อมมีแต่ตายสถานเดียว แต่ตอนนี้นางกลับปรากฏตัวเปิดเผย และยังมาพบนาง
หญิงผู้นี้คิดทำร้ายนางหรือ
ลู่เจียวแอบคาดเดา พร้อมกับมองเสิ่นซิ่วไม่วางตา
เสิ่นซิ่วเองก็มองลู่เจียวด้วยแววตาประสงค์ร้าย ค่อยๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “ลู่เจียว พวกเจ้าหาตัวข้ามาตลอดไม่ใช่หรือ ตอนนี้ข้าออกมาแล้ว”
“เจ้ารู้ไหม ข้าตกต่ำถึงวันนี้ได้ ล้วนเพราะเจ้าทำร้ายข้า ล้วนเป็นเพราะเจ้า”
ลู่เจียวไร้วาจาจะกล่าว มองเสิ่นซิ่วกล่าวว่า “สมองเจ้าผิดปกติใช่หรือไม่ เจ้าตกต่ำถึงวันนี้ได้ก็เพราะข้า? ข้าทำร้ายอะไรเจ้า”
เสิ่นซิ่วกล่าวอย่างเจ็บแค้นว่า “หากไม่ใช่เจ้าแต่งกับเซี่ยอวิ๋นจิ่น เขาก็เป็นของข้า หากข้าแต่งกับเขา จะมีเรื่องราวไม่ดีเหล่านี้ตามมาหรือ”