หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 819 ช่วยข้าด้วย ท่านพ่อตา!

บทที่ 819 ช่วยข้าด้วย ท่านพ่อตา!

ร่างอวตารหลักของหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ทำตัวกลมกลืนเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกายอย่างแนบเนียน ขณะที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นกระจายตัวออกไล่ตามหนึ่งในร่างอวตารของเขา ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ถอยหนีอย่างเงียบเชียบ เฝ้ารอจังหวะเหมาะๆ ที่จะแปลงกายอีกครั้งและหนีออกจากที่แห่งนี้ไป

เขารู้ดีว่าแม้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจะได้รับบาดเจ็บและถูกพิษ แต่อาการบาดเจ็บเหล่านั้นก็ยังถือว่าน้อยนิดนัก อีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่จะเอาชนะได้โดยง่าย

ต่อให้หวังเป่าเล่อใช้คำสาปที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ ก็ยังยากที่จะโค่นผู้อาวุโสผู้นี้ลงได้อยู่ดี ชายหนุ่มวิเคราะห์ทางหนีทีไล่ของตนเอง ก่อนจะหันไปมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของศัตรูข้างกาย สีหน้าของผู้อาวุโสเหมือนจะกินเขาเข้าไปทั้งเป็น ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจไม่เสี่ยงจะดีกว่า แม้จะยังสังหารเป้าหมายไปได้ไม่มากพอกับจำนวนที่วิชาดวงเนตรปีศาจต้องการก็ตาม ทั้งยังมีทรัพยากรมหาศาลของของคลังอาวุธที่เขาเก็บไว้กับตัวให้ต้องคอยรักษาอีก สุดท้ายแล้ว หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจจากไปพร้อมสิ่งที่ตนเองมี ซึ่งเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าแล้วกันคราวนี้!” ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนเองกำลังหนีการต่อสู้ ไม่ใช่เลย แต่ในตอนที่เขากำลังจะหนีไปนั้นเอง ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ใช้สัมผัสสวรรค์สำรวจจากระยะไกล สัมผัสสวรรค์ไหลเข้าท่วมทั่วบริเวณ สร้างพลังกดดันท่วมท้นที่ทำให้หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ชั่วคราว

ผู้อาวุโสส่งหมัดกระแทกลงพื้น กระแทกร่างอวตารที่ห้าของหวังเป่าเล่อแหลกสลาย จากนั้นเขาก็เหลียวมองมาทางด้านหลังขณะลอยค้างอยู่กลางอากาศ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความต้องการสังหาร กวาดตามองกองทัพผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นของตนเอง

เหล่าทหารพากันตัวสั่นเมื่อเห็นประกายความบ้าคลั่งในดวงตาของผู้อาวุโส พวกเขาต่างคิดเหมือนกันว่าผู้บัญชาการของตนกำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างความปกติกับความวิกลจริตไปเสียแล้ว ต่างคนต่างหายใจสะดุดกับสิ่งที่เห็น รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังหายใจรดต้นคอ

ลางสังหรณ์ของพวกเขาถูกต้องเสียด้วย ผู้อาวุโสผู้นี้ไม่สามารถแยกระหว่างมิตรกับศัตรูได้อีกต่อไป เขาบอกไม่ได้ว่าใครคือผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่แท้จริง และใครคือตัวปลอมที่แฝงกายปะปนเข้ามา ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่ามีร่างอวตารกี่ร่างที่ไอ้หัวหมูทิ้งไว้ในกองทัพของเขา

แต่สัญชาตญาณก็บอกชายชราว่า ศัตรูตัวจริง…ซ่อนอยู่ในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอง!

ทางออกดีที่สุดที่จะทำให้เขากำจัดมันได้ คือการสังหารทุกคนในที่แห่งนี้เสีย นั่นคือหนทางที่แน่นอนที่สุดในการกำจัดไอ้หัวหมูให้สิ้นซาก แต่การกระทำเช่นนั้น…ก็บ้าระห่ำเกินไป แม้เขาจะโกรธเลือดขึ้นหน้าจนแทบคลั่ง แต่การสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนเพียงเพื่อกำจัดศัตรูคนเดียว ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาพร้อมกระทำในตอนนี้

นอกจากนี้ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง ศัตรูของเขาสามารถแปลงกายเป็นคนตายได้ด้วย ซึ่งแปลว่า…ต่อให้ฆ่าทุกคนทิ้งเรียบร้อย เขาก็อาจจะจับมันไม่ได้อยู่ดี

นอกเสียจากว่า…เขาจะทำลายทุกอย่างทิ้งให้ไม่เหลือแม้แต่ศพ ทำลายมันทิ้งให้หมดทั้งฐานทัพและทุกสิ่งในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร เท่านี้ก็แน่ใจได้แล้วว่าไอ้หัวหมูนี่มันตายจริง!

ความคิดนี้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในสมองของผู้อาวุโส ประกายความโหดเหี้ยมลุกโชนในดวงตา รังสีสังหารรอบกายเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นการตอบรับ ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นรอบกายเริ่มตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ต่างรู้สึกได้ว่าหายนะกำลังจะบังเกิด พวกเขาทั้งโกรธและรู้สึกอับจนหนทาง หวังเป่าเล่อยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศนี้ด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอก

เป็นไปไม่ได้ ไอ้แก่นี่เป็นบ้าไปแล้วรึ มันคงไม่ฆ่าทหารตัวเองทิ้งทั้งกองทัพเพียงเพื่อจะกำจัดข้าหรอกกระมัง… ข้าไม่ได้ทำอะไรชั่วช้าถึงขนาดต้องทำเช่นนั้นสักหน่อย… แต่เขาก็เริ่มไม่มั่นใจการอ่านสถานการณ์ของตนเองเสียแล้ว ดวงตาของชายหนุ่มฉายความกลัวจับใจอย่างแท้จริง ฟันเฟืองในหัวหมุนอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาทางหนีทีไล่ ว่าตนเองจะออกไปจากที่แห่งนี้ชนิดยังหายใจอยู่ได้อย่างไรดี

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังอกสั่นขวัญแขวน และขณะที่ผู้ฝึกตนรอบกายกำลังตัวสั่นด้วยความกลัว ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะก็กู่ร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่ง พร้อมยื่นแขนขวาขึ้นด้านบน

ไม่นะ! ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกคนรอบกายมีสีหน้าตื่นกลัวถึงขีดสุด พวกเขาพากันถอยหนีในทันที หลายคนเริ่มร้องตะโกนเรียกสตินายตน

“ท่านผู้บังคับบัญชา ใจเย็นก่อนขอรับ!”

“ท่านผู้อาวุโส เราเพียงต้องรออีกสองชั่วโมงเท่านั้น เดี๋ยวผู้มาจุติก็จะจากไปแล้ว ได้โปรด…อย่าวู่วามเลยขอรับ!”

แต่คำพูดเหล่านั้นไม่อยู่ในการรับรู้ของผู้อาวุโสอีกต่อไป ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความบ้าคลั่ง ใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยโทสะ สีหน้าบ่งบอกว่าความอดทนหมดลงแล้ว จนถึงขั้นที่ทำให้เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อประหัตประหารศัตรู ชายชรายกมือขึ้นวาดในอากาศ ส่งรอยประทับฝ่ามือให้กระแทกลงบนพื้นดิน

การโจมตีนั้นไม่ได้ส่งไปยังผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นโดยตรง หากแต่กระแทกลงไปยังใจกลางของค่ายทหาร ส่งผลให้พื้นดินปริแตก ลมพัดโหมกรรโชก ผู้ฝึกตนทั้งหมดเซถลาไปด้านหลังตามแรงปะทะ พื้นดินที่ยุบลงนั้นเผยให้เห็น…โลงศพโลงหนึ่ง!

โลงศพนั้นดูเป็นสีดำในคราแรก แต่เมื่อมองใกล้ๆ ก็พบว่าผิวของโลงไม่ได้เป็นสีดำแต่อย่างใด หากแต่เป็นสีของเลือดที่แห้งกรังจนม่วงดำคล้ำ ทั้งฝาและตัวโลงเริ่มมีรอยแยกที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็แตกสลายออกมาภายในชั่วอึดใจ!

เสียงสายฟ้าฟาดดังสนั่นสะท้อนก้องในอากาศ ตามมาด้วยซากศพไร้หนังหุ้มกายที่ค่อยๆ คลานออกจากโลง!

“พรแห่งเต๋าสวรรค์!”

“นั่นมัน…พรแห่งเต๋าสวรรค์ประจำค่ายทหารของเรามิใช่รึ!” เสียงอุทานด้วยความตกใจอุบัติขึ้นทันทีที่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเห็นศพเดินได้ ผู้อาวุโสอาจจะเสียสติไปชั่วขณะ แต่ก็ยังไม่ได้คลั่งถึงขนาดสังหารหมู่กองทหารของตน เขารู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับขุดหลุมฝังตัวเอง

ตระกูลไม่รู้สิ้นย่อมตีตราว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอาชญากรรมที่ยากเกินให้อภัย ราคาที่เขาต้องจ่ายเมื่อเทียบกับการสังหารชายเพียงคนเดียวนั้นแน่นอนว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย แต่ความเกลียดชังที่มีต่อหวังเป่าเล่อก็มากเกินกว่าที่จิตใจจะต้านทานไหวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายผู้นี้จึงตัดสินใจทำลายพรแห่งเต๋าสวรรค์ของค่ายทหารตนเองแทน!

ค่ายทหารของตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ทุกฐานล้วนมีโลงศพเป็นของตนเอง การทำลายโลงศพในยามคับขันจะปล่อยพลังเวทที่มีผลต่อสมาชิกทุกคนในสำนักออกมา โดยจะมีอำนาจภายในรัศมีที่กำหนดเอาไว้ พลังเวทนี้เปรียบเสมือนพรที่คอยปกป้อง ทั้งยังเป็นพลังที่ช่วยในการเคลื่อนย้ายไปในตัว โดยจะส่งทุกคนไปยังอาณาเขตของตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อความปลอดภัย

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าพลังเวทนี้มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งใด มีเพียงนามของมันเท่านั้นที่เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน…พรแห่งเต๋าสวรรค์!

พลังนี้เป็นสิ่งที่ควรนำออกมาใช้เมื่อถึงยามจำเป็นจริงๆ เท่านั้น!

ผู้อาวุโสประจำกองทหารแน่ใจว่าสถานการณ์เช่นนี้ คือสถานการณ์คับขันที่เหมาะกับการนำอำนาจของสิ่งนี้ออกมาใช้ที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็ต้องสังหารไอ้บ้าที่บังอาจมาขโมยทรัพยากรของกองทหารตน ทั้งยังทำลายค่ายทหารของเขาเสียย่อยยับถึงเพียงนี้ให้จงได้

เขาตั้งใจจะใช้พลังพิเศษของพรแห่งเต๋าสวรรค์ในการพลิกแผ่นดินตรวจตราทั้งบริเวณให้ราบคาบ…เพื่อหาคนที่พรแห่งเต๋าสวรรค์ไม่นับว่าเป็นสมาชิกสำนัก และผู้ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของโลงศพ ก็ย่อมเป็นไอ้โจรชั่วที่แฝงตัวเป็นหนึ่งในพวกเขานั่นเอง สุดท้ายหากไม่มีใครตกการทดสอบ เขาก็จะทำลายทุกสิ่งให้หมดสิ้นเสีย หลังจากที่ใช้พลังของโลงศพเคลื่อนย้ายสมาชิกทุกคนไปยังจุดปลอดภัยแล้ว

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่ตอนที่ผู้อาวุโสวางหมากในหัว ตอนที่เขาเรียกโลงศพออกมา จนถึงตอนที่ศพคลานออกจากโลงและแตกตัวออก แสงสีแดงสาดส่องออกจากร่างศพที่แตกสลาย เข้าอาบร่างกายผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รายรอบทันที

ลำแสงสีแดงเคลื่อนที่เร็วมากจนไม่มีใครในหมู่ทหารหลบทัน ภายในไม่กี่วินาที ลำแสงก็ตกกระทบลงบนหน้าผากของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคน ลำแสงนั้นแปรสภาพกลายเป็นตราประทับบนหน้าผาก และปล่อยพลังเคลื่อนย้ายออกมาส่งทุกคนให้ออกไปจากที่แห่งนั้น

ปรากฏการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ใช้พลังของตนยับยั้งการเคลื่อนย้ายได้ทัน เขาปล่อยสัมผัสสวรรค์ให้ไหลท่วมทั่วบริเวณ ผนึกพื้นที่แห่งนั้นไว้ขณะตรวจหาผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

ความตกใจเข้าเกาะกุมจิตใจของหวังเป่าเล่อทันที ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดว่าศัตรูจะมีพลังนี้ในครอบครอง เขาไม่มีเวลาคิดแม้แต่นิด ทำได้เพียงปลุกกระบวนท่าสารัตถะของตนเองขึ้น เพื่อสร้างตราประทับสีแดงบนหน้าผากเท่านั้น แต่คราวนี้…กระบวนท่าสารัตถะกลับไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าของ จึงไม่เกิดสิ่งใดขึ้นตามที่ชายหนุ่มปรารถนา… วิชาของเขาเทียบกับอำนาจของศพนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย นับเป็นครั้งแรกที่มันช่วยอะไรเขาไม่ได้!

หวังเป่าเล่อถอยกรูดด้วยความตกใจ เขาไม่มีเวลาคิดกลยุทธ์ตอบโต้ จึงเริ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจทันที!

พลันสายตาของผู้อาวุโสก็สบลงที่หวังเป่าเล่อพอดิบพอดี!

ดวงตาของทั้งสองประสานกัน หากสายตานั้นประหัตประหารคนได้ หวังเป่าเล่อคงสิ้นชีพลงแล้วในวินาทีนั้น พลังที่แผ่ออกจากร่างของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและความอำมหิต

“เจ้านี่เอง!” เสียงของเขากังวานไปในอากาศ ความเร็วจากการกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มก่อให้เกิดพายุที่อุบัติขึ้นเบื้องหลัง กวาดล้างพื้นดินทั้งหมดให้ราบเป็นหน้ากลอง เช่นเดียวกับความเกลียดชังแค้นเคืองเข้ากระดูกดำที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มมีสีหน้าบูดบึ้ง แต่ก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยในยามที่ต้องเผชิญอันตรายใหญ่หลวง เขาถอยหนีศัตรูที่กำลังพุ่งเข้าใส่ตนในทันที เสี้ยววินาทีที่ถอยหนีนั้น พลังจากบทสวดแห่งเต๋า…ก็ตกลงบนดวงดาวแห่งนั้นพอดิบพอดี!

หวังเป่าเล่อหันไปมองผู้อาวุโส ดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและไม่ยอมคน ชายหนุ่มตะโกนใส่ท้องฟ้า

“ช่วยข้าด้วย ท่านพ่อตา!”

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยน สายลมพัดกรรโชกแรง เมฆเคลื่อนหมุนย้อนกลับ ในวินาทีนั้น ดาวเคราะห์ทั้งดวงก็ถึงกับสั่นสะท้าน ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นถอยกรูดด้วยความตกใจ ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังดูการต่อสู้นี้อยู่ในห้วงอวกาศไกลโพ้นเกือบสำลักผลไม้เพลิงจนติดคอ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาผุดลุกขึ้นยืนทันที อุทานด้วยความตกใจ สายตาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

“พลังนี้มัน…”

…………………………..

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท