หิมะรอบแรกในเมืองจางจิงมาอย่างรวดเร็ว หยุดลงอย่างรวดเร็ว จู๋หลินนั่งอยู่บนหลังคาของอารามดอกท้อ มองลงไปยังภูเขาที่ขาวโพลนจากที่สูง
ปลายพู่กันที่ถืออยู่ในมือถูกแช่แข็ง จู๋หลินยังคงคิดไม่ออกว่าจะลงพู่กันอย่างไร นึกย้อนไปถึงเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้ อารมณ์ไม่ได้มีการขึ้นลงมากเกินไป
ชินชาเสียแล้ว
เขาบุกเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยน อีกทั้งยังลงไม้ลงมือกับเหล่านักเรียน บางทีอาจมีสักวัน เขาอาจบุกเข้าพระราชวังตามคุณหนูตันจู ยืนตะโกนอยู่ด้านหน้าพระตำหนักราชสำนัก
ไม่ใช่เป็นไม่ได้ คุณหนูสี่ตระกูลเหยายังหลบอยู่ในพระราชวัง
แปลกเสียจริง คุณหนูตันจูปล่อยศัตรูเอาไว้ไม่สนใจ เหตุใดจึงก่อเรื่องจนกลายเป็นเช่นนี้ เฮ้อ เขาไม่เข้าใจเสียจริง
ระยะไกลมีเสียงนกร้องดังขึ้น จู๋หลินเงี่ยหูฟัง มันเป็นสัญญาณว่ามีคนเดินทางมา หากไม่ใช่การเตือน แต่เป็นสัญญาณของคนคุ้นเคย ไม่มีอันตราย จู๋หลินเงยหน้ามองไป พบเห็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งเดินอยู่บนทางขึ้นเขาท่ามกล่ามหิมะ
หลิวเวยเดินอย่างรีบร้อนจึงลื่น โชคดีแค่เพียงเซไปเล็กน้อย จางเหยารีบยื่นมือออกมาพยุงไว้ด้านหลัง
“เจ้าช้าหน่อย” เขาพูด หากแต่คำพูดนั้นมีนัยยะ “อย่ารีบร้อน”
หลิวเวยรับคำ “ข้าไม่รีบ ตันจูนางกระทำสิ่งใดล้วนมีเหตุผล” หันหน้ากลับไปมองจางเหยา ทำท่าราวกับต้องการพูดบางสิ่ง “ท่านก็อย่ารีบร้อน”
เมื่อเทียบกับนาง จางเหยาเป็นคนที่สมควรร้อนใจมากกว่า เวลานี้ทั่วทั้งเมือง ผู้ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือชายหนุ่มของเฉินตันจู…จางเหยา
สำหรับนักเรียนผู้หนึ่งแล้ว ชื่อเสียงของเขาถือว่าเสื่อมเสียไปแล้ว
เขาคงทั้งร้อนใจทั้งแค้น ถูกขับไล่ออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนก็ถือว่าโชคร้ายมากแล้ว เวลานี้ถูกผลักให้ขึ้นมาอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอีก
อารมณ์ของหลิวเวยซับซ้อนอย่างมาก นางคิดว่าจางเหยาเป็นโชคร้ายของนางเสมอมา เวลานี้ดูท่าทางจะเป็นจางเหยาที่โชคร้ายตั้งแต่รู้จักนาง
จางเหยาเข้าใจถึงความกังวลของนาง เขาส่ายหัว “น้องสาวอย่ากังวล ข้าไม่ร้อนใจ รอพบคุณหนูตันจูก่อนค่อยหารือกันอย่างละเอียดเถิด”
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงอารามดอกท้ออย่างรวดเร็ว เฉินตันจูรู้ว่าพวกเขาเดินทางมาก่อนหน้านี้ เวลานี้จึงยืนรออยู่บริเวณใต้ทางเดิน
“ขอเตาอุ่นมือให้ข้าสักอัน หนาวมาก” หลิวเวยเอ่ยปากพูดขึ้นก่อน
เฉินตันจูปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า หยิบเตาอุ่นมือที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ อันหนึ่งให้หลิวเวย อีกอันให้จางเหยา
“ข้ากำลังจะไปพบพวกเจ้า” นางพูด “พวกเจ้าก็มาพอดี”
หลิวเวยพูด “พวกข้าได้ยินว่าบนถนนมีองครักษ์หลวงวิ่งวุ่น เหล่าบ่าวรับใช้บอกว่าองค์ชายและองค์หญิงเสด็จออกมา เดิมทีไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่”
ผู้ใดจะคิดว่าสาเหตุการเสด็จขององค์ชายและองค์หญิงจะเกี่ยวข้องกับพวกเขา
เนื่องจากรู้จักเฉินตันจู หลิวจั่งกุ้ยและเด็กในร้านของหุยชุนถังต่างระมัดระวังมากขึ้น พวกเขามักสังเกตความคึกคักอันผิดปกติบนท้องถนน เมื่อสืบทราบ จึงพบว่าความคึกคักอันผิดปกตินั้นเกี่ยวข้องกับคุณหนูตันจู อีกทั้งครั้งนี้เกี่ยวข้องกับพวกเขาด้วย
หลิวจั่งกุ้ยกลัวจนปิดประตูของหุยชุนถัง กลับจวนมาบอกหลิวเวยและจางเหยาอย่างรีบร้อน คนทั้งตระกูลต่างตื่นตระหนก แต่ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ…คุณหนูตันจูยอมเสียเปรียบที่ใดกัน นางเดินทางไปปั่นป่วนที่กั๋วจื่อเจี้ยนตามคาด เพียงแต่จางเหยาจะทำอย่างไร
คนทั้งตระกูลนั่งหารือกัน หากไปอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างจางเหยาและตระกูลหลิว ความสัมพันธ์ระหว่างหลิวเวยและเฉินตันจูกับทุกคน แต่เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว อธิบายเวลานี้ก็ราวกับไร้ประโยน์สุดท้าย
หลิวจั่งกุ้ยเสนอให้จางเหยาออกจากเมืองหลวงไป เดินทางจากไปทันทีในเวลานี้…
เมื่อจางเหยาจากไปแล้ว เรื่องการประลองความรู้ระหว่างชนชั้นสูงและสามัญชนย่อมไม่เกิด
หากคุณหนูตันจูโกรธขึ้นมา อย่างมากพวกเขาก็แค่ปิดหุยชุนถัง กลับบ้านเก่าของหลิวจั่งกุ้ยไป
แต่จางเหยาปฏิเสธ พร้อมทั้งยืนกรานมาพบคุณหนูตันจู
เฉินตันจูได้ยินพวกเขาพูดจบ มองไปยังจางเหยา พูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอย่ากังวล เจ้าจากไปข้าก็ไม่มีทางโกรธตระกูลของเวยเวย”
เพราะว่าการกระทำนั้นจะทำให้จางเหยาไม่สบายใจ นางจะยอมให้จางเหยาเป็นกังวลได้อย่างไร
“ตันจู…” หลิวเวยเรียกด้วยความเขินอาย “คำพูดนี้ยังต้องให้เจ้าพูดอีก ข้าไม่รู้หรืออย่างไร”
คุณหนูตันจูไม่ใช่ผู้ที่รังแกคนอย่างไม่มีเหตุผลเช่นนั้น…เฮ้อ ปรากฏคำพูดนี้ออกมา ตัวนางเองยังอยากหัวเราะ หากพูดออกไป คงไม่มีผู้ใดเชื่อ
จางเหยาส่ายหัวให้เฉินตันจู “ไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะข้า ข้าจะทิ้งคุณหนูตันจูจากไปได้อย่างไร”
เฉินตันจูปรากฏรอยยิ้มในดวงตา ดู นี่คือจางเหยา เขาไม่คู่ควรที่คนทั่วทั้งแผ่นดินกระทำดีกับเขาหรือ
“ข้าจะไม่พูดว่าตนเองเป็นคนลากเจ้าลงมา” นางพูด พลางมองจางเหยา “ข้าต้องการผลักดันเจ้าให้อยู่ต่อหน้าผู้คน จางเหยา ความสามารถของเจ้าต้องให้คนได้ชื่นชม สำหรับคำสบประมาทเหล่านั้น เจ้าอย่ากลัว”
นางยิ้มรู้ว่าการที่นางบุกเข้าไปในกั๋วจื่อเจี้ยน ทำให้เกิดการประลองนี้ขึ้น คือการผลักให้จางเหยาอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก อีกทั้งยังผูกเข้ากับนาง
เมื่ออดีตชาติ นางกังวลว่าจางเหยาจะเสื่อมเสียเพราะชื่อเสียงของหลี่เหลียง ไม่รั้งไม่เสนอเขา มองดูจางเหยาจากไปอย่างโศกเศร้า จนกระทั่งตายไปกับตาของตนเอง
ชาตินี้ ไม่มีหลี่เหลียงแล้ว แต่นางกลายเป็นคนชั่วที่ทุกคนเกรงกลัวและรังเกียจนางทำให้จางเหยาเข้ากั๋วจื่อเจี้ยนได้อย่างราบรื่น แต่ก็เป็นเพราะนาง ทำให้จางเหยาถูกขับไล่ออกมา
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจะใช้ชื่อเสียงอันเลวร้ายของตนเอง ทำให้จางเหยาเป็นที่รู้จัก ไม่ว่าอย่างไร นางไม่มีทางให้เขาจากไปอย่างโศกเศร้าในชาตินี้
จางเหยาเพียงแค่ขาดโอกาสเท่านั้น แค่เพียงเขามีโอกาส เขาย่อมทำให้คนตกตะลึงได้ เขาสามารถสร้างความสำเร็จ บรรลุจุดประสงค์ของตนเอง ชื่อเสียงเสื่อมเสียเหล่านี้ย่อมสลายไป ไม่สำคัญ
ถึงแม้จะไม่เข้าใจสายตาของคุณหนูตันจูนัก แต่จางเหยายังคงพยักหน้า “ข้ามาเพื่อบอกคุณหนูตันจู ข้าไม่เกรงกลัว คุณหนูตันจูกล้าออกมาทวงความยุติธรรมให้ข้า ข้าย่อมกล้าทวงความยุติธรรมให้แก่ตนเอง คุณหนูตันจูคิดว่าข้าไม่โกรธที่ถูกสวีซินแสขับไล่ออกมาเช่นนี้หรือ”
หลิวเวยมองเขา “ท่านโกรธหรือ”
“ข้าย่อมโกรธ” จางเหยาพูด ก่อนจะถอนหายใจ “เพียงแต่ใต้หล้านี้ มีคนบางกลุ่มที่เกิดมาไม่มีแม้แต่โอกาสโกรธ คนอย่างข้า โกรธแล้วจะได้อันใด ถึงแม้ข้าจะตะโกนโหวกเหวกเหมือนหยางจิ้ง อย่างมากก็แค่ถูกกั๋วจื่อเจี้ยนส่งไปลงโทษเท่านั้น ไม่มีแม้แต่น้ำกระเซ็นขึ้นมา แต่เมื่อมีคุณหนูตันจูย่อมแตกต่างไป…”
เขายืนพูดอย่างสง่าอยู่กลางโถง หลิวเวยและเฉินตันจูถลึงตาโตมองเขา
“คุณหนูตันจูเก่งกาจ เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ น้ำที่กระเซ็นขึ้นมาไม่ได้เกิดแค่ภายในกั๋วจื่อเจี้ยน หากแต่เกิดขึ้นทั้งเมืองหลวง ทั่วทั้งแผ่นดินย่อมต้องเกิดการเคลื่อนไหว”
“เวลานี้ข้าจางเหยาโกรธขึ้นมา ย่อมถือเป็นการโกรธเคืองของนักรบ!”
หลิวเวยและเฉินตันจูตกตะลึง ก่อนจะหัวเราะร่าออกมา
“ท่านพี่” หลิวเวยทั้งโกรธทั้งขบขัน “เหตุใดท่านจึงเป็นคนเช่นนี้กัน”
เฉินตันจูก็หัวเราะเช่นเดียวกัน เพียงแค่เสียงหัวเราะนั้นทำให้น้ำตารื้นขึ้นมา จางเหยาเป็นคนเช่นนี้ ชาตินี้นางทำให้เขามีโอกาสเป็นนักรบที่มีความโกรธ ทำให้ความโกรธของเขาถูกคนทั่วทั้งแผ่นดินรับรู้
หลังจากเปิดใจแล้ว จางเหยามองคนทั้งสองที่หัวเราะออกมา เขินอายเล็กน้อย
“แต่ว่า คุณหนูตันจู” เขากระแอมไอเสียงเบา พูดขึ้น “มีเรื่องหนึ่งข้าต้องบอกท่านก่อน”
เฉินตันจูพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดเถิด”
จางเหยาพูด “ความรู้ของข้าไม่ดีนัก ตำราที่อ่านไม่มากนัก ข้าตัวคนเดียวประลองกับคนจำนวนมาก อาจประลองไม่ถึงครึ่ง…ข้าพูดเวลานี้สายไปหรือไม่”
พูดพลางยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า
เฉินตันจูและหลิวเวยผงะ ก่อนจะหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้หลิวเวยหัวเราะอย่างร้อนใจเล็กน้อย นางรู้ว่าจางเหยาไม่พูดโกหก อีกทั้งได้ยินท่านพ่อบอกว่าหลายปีนี้ จางเหยาเดินทางอยู่ด้านนอกตลอดเวลา ไม่มีทางศึกษาอย่างตั้งใจได้
เฉินตันจูหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องกังวล เดิมทีข้าก็ไม่ต้องการให้เจ้าคนเดียวประลองกับคนจำนวนมากมายเช่นนี้ บอกแล้วว่าเป็นนักเรียนสามัญชน ข้าย่อมต้องรวบรวมคนจำนวนมาก”
พูดพลางเรียกขานจู๋หลิน
จู๋หลินยืนอยู่หน้าประตูอย่างเฉยชา
“โจวเสวียนกำลังทำอันใด” เฉินตันจูถาม
ในเมื่อเป็นการประลองทั้งสองฝ่าย เฉินตันจูย่อมต้องให้คนไปจับตาดูโจวเสวียนเอาไว้
“โจวเสวียนเหมาหอเหยาเย่ว์ เชิญบัณฑิตผู้มีความสามารถมากมายถกเถียงวิชา เวลานี้มีบัณฑิตจากชนชั้นสูงจำนวนมากหลั่งไหลไป” จู๋หลินรายงานข่าวล่าสุดแก่นาง
หอเหยาเย่ว์หรือ เฉินตันจูคุ้นชิน หอนั้นถือเป็นหอสุราที่ดีที่สุดในเมืองอู๋ แต่บังเอิญ ตรงข้ามหอเหยาเย่ว์คือคู่แข่ง หอไจซิง หอสุราทั้งสองแย่งชิงอยู่ในเมืองอู๋มาหลายปีแล้ว
“ดี” นางปรบมือ พลางกำชับ “ข้าจะเหมาหอไจซิง แจกจ่ายจดหมายเชิญให้ผู้กล้าทั้งหลาย ให้เหล่าผู้กล้าที่ไม่สนใจชาติกำเนิดเดินทางมาถกเถียงหลักการนักปราชญ์!”
…
หลังจากนั้นสามวัน หอไจซิงว่างเปล่า มีเพียงจางเหยานั่งอยู่คนเดียว