“ลูกพี่ พวกเราจะเข้าไปด้านในกันจริงๆ หรือ” เฉินอีเฟิงมองดูผู้คนที่อยู่ไกลออกไปอย่างลังเล ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่มีเงิน แต่เพราะเขากลัวว่าคนอื่นๆ จะพูดจายั่วยุลูกพี่ของตนเองอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าที่นั่งในงานประมูลของเวยเจ๋อจะเป็นที่นิยมอย่างมาก เมื่อไม่นานมานี้ ท่านพ่อของเขาก็ยังบอกให้เขาหาวิธีให้ได้ตั๋วมาด้วยเช่นกัน เขาคิดว่าลูกพี่ของเขาแข็งแกร่งมากพอแล้ว และไม่จำเป็นต้องมาหาคนอื่นๆ ที่นี่อีก แม้ว่าอาวุธที่เวยเจ๋อจะมีคุณภาพดีอย่างมากก็จริง แต่การสร้างอาวุธเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอย่างอดไม่ได้ การจะสร้างพวกมันขึ้นมาได้นั้นต้องแข็งแกร่งอย่างมาก ถึงทำให้เจ้าของเวยเจ๋อนั้นเป็นคนแรกที่สามารถสร้างได้ในรอบหลายปี ท่านพ่อของเขายังบอกอีกว่ามันคือ “เครื่องหมายทางการค้า”
เขาไม่เข้าใจมันด้วยซ้ำ แต่เขารู้เพียงว่าเจ้าของเวยเจ๋อจะต้องแข็งแกร่งอย่างมาก จึงทำให้ผู้คนทั่วทั้งจักรวรรดิจ้านหลงต่างก็ปรารถนาที่จะครอบครองอาวุธจากที่นั่นอย่างแรงกล้า และทำให้พวกเขารู้สึกว่าการมีอาวุธที่เวยเจ๋อเป็นคนสร้างขึ้น จะทำให้พวกเขาโดดเด่นจากคนอื่นๆ
ดังนั้น ทุกคนจึงต้องการที่จะเข้าไปในงานประมูลนี้ เพราะนอกจากจะไปดูอาวุธแล้ว ก็ยังเป็นโอกาสในการแสดงยศถาบรรดาศักดิ์ของพวกเขาอีกด้วย หากลูกพี่ของพวกเขาเข้าไปด้านในแล้ว ก็มีแต่จะทำให้ถูกคนเหล่านั้นเยาะเย้ยนางเท่านั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยฉลาดพอที่จะรู้ความกังวลของเฉินอีเฟิง นางจึงยิ้มให้ “ไม่ต้องกังวลหรอก เฉินอีเฟิง การเข้าไปในเวยเจ๋อนั้นไม่ได้ยากอย่างที่เจ้าคิด”
เฉินอีเฟิงเกาศีรษะ และไม่สามารถแสดงสีหน้าหมดหนทางออกมาได้ ลูกพี่ มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ท่านคิดต่างหากเล่า! แต่สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ มีคนไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา
“ใช่ มันเข้าไปไม่ยากจริงๆ” น่าหลานหงเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง และหยิบตั๋วสีเงินออกมาสองใบ ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่จริงแล้ว ข้าก็มีตั๋วสองที่นั่ง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยใช้เวลาไม่นานในการคิดว่าตั๋วสีเงินนี้มาจากที่ใด ใครบางคนไม่รอจนถึงวันพรุ่งนี้ก็อดที่จะเผยตัวตนออกมาไม่ได้แล้ว [โธ่ เฮยเจ๋อ เจ้าซ่อนตัวลึกลับจริงๆ]
“ตั๋วสีเงิน” เฉินอีเฟิงมองอย่างงุนงง “เจ้ามีตั๋วสีเงินของเวยเจ๋อจริงๆ ตระกูลน่าหลานมีอิทธิพลมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แม้แต่คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ก็ยังไม่มีตั๋วสีเงินเลย”
น่าหลานหงเย่ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “มันยากขนาดนั้นเชียวหรือ เฮยเจ๋อเอาตั๋วนี้มาให้ข้าถึงห้าใบในคราวเดียว” อย่างไรก็ตาม ตอนที่นางออกมา นางก็หยิบออกมาเพียงแค่ใบเดียวที่สามารถนั่งได้สองคนเท่านั้น
“ไม่ มันไม่ยากเลย” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มบางๆ แต่นางต้องเพิ่มยอดเงินในส่วนนี้ลงในชื่อของเขา การลงโทษเช่นนี้ยังน้อยเกินไป นางดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก ก่อนจะยกริมฝีปากขึ้นและพูดว่า “หงเย่ หากพวกเราเปลี่ยนที่นั่งกัน เจ้าจะรังเกียจหรือไม่”
น่าหลานหงเย่พูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าไม่ถือ ไม่ว่าอย่างไร เฮยเจ๋อก็เพิ่งถูกท่านพ่อของเขากักบริเวณเอาไว้ ข้ายังสงสัยอยู่ว่าเขาจะสามารถออกมาข้างนอกได้หรือไม่”
หึหึ เพื่อที่จะได้มาดูการทดสอบอาวุธกับเจ้า แม้ว่าเขาจะต้องคลานออกมาจากกรง เขาก็จะทำ เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างชั่วร้าย ลูกน้องที่ไม่เชื่อฟังมักจะต้องเฆี่ยนตีจนกว่าเขาจะอ้อนวอนขอชีวิต เขาต้องการที่จะใกล้ชิดกับหงเย่เป็นครั้งคราว นางไม่ใช่คนโง่ เพียงเพราะว่านางไม่ได้พูด ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่รู้
ในอดีต เฮยเจ๋อตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากนาง ในช่วงแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามาในสำนักไท่ไป๋ เขาก็เข้าหานาง เขาไม่รู้กฎระเบียบของสำนักไท่ไป๋เลย ผนวกกับเรื่องที่มีหญิงสาวมากมายรายล้อมเขา จึงมักจะหลีกเลี่ยงความหึงหวงที่เกิดจากความรักไม่ได้ เฮยเจ๋อจึงพยายามมองหาใครสักคนที่จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากคนเหล่านี้
นางจึงตกเป็นเป้าหมายโดยบังเอิญ ตัวอย่างเช่น เสิ่นเวินหว่านที่ตกหลุมรักเฮยเจ๋ออย่างเห็นได้ชัด นางจึงวางแผนใส่ร้ายนาง ดังนั้น ผู้หญิงคนนั้นจึงพบเจอหายนะที่เลวร้ายยิ่งกว่า ด้วยเหตุนี้ เฮยเจ๋อจึงจงใจทำให้น่าหลานหงเย่ปลีกตัวออกห่าง และเบนความสนใจไปที่นาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองแผนการนี้ออกมานานแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะอย่างแรก นางรู้สึกว่าความรักในวัยเด็กนั้นมีค่ามาก แม้ว่านางจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเฮยเจ๋อ แต่นางก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันช่วยปกป้องคนๆ นั้นได้อย่างดีจริงๆ แน่นอนว่านางไม่ใช่พระแม่มารีย์ที่จะเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องผู้อื่น แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็อยู่ในช่วงเวลาอันยากลำบากอยู่แล้ว นางไม่สนใจหากจะมีความลำบากเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย อย่างที่สองคือเฮยเจ๋อดีกับนาง และนางก็ไม่ใช่คนเนรคุณ หลังจากสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันแล้ว ก็จะเป็นพี่น้องกันตลอดไป
อย่างไรก็ตาม การลงโทษเขาเพียงเล็กน้อยนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำให้เขาได้รู้ว่านางมีอำนาจเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น นางก็อยากจะเห็นว่าคุณชายของตระกูลเฮยที่ปกติเป็นคนเย่อหยิ่ง จะกลายเป็นคนขี้หึงได้เพียงใดกัน
น่าหลานหงเย่ไม่รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดอะไรอยู่ และเฉินอีเฟิงกับศิษย์จากสำนักไท่ไป๋อีกสองคนก็พูดคุยกันอย่างตื่นเต้นแบบไม่หยุดหายใจ
เห็นได้ชัดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับตั๋วสีเงินพวกนั้นมา
แต่น่าหลานหงเย่กลับมีถึงห้าใบ
นั่นถือว่านางได้รับการดูแลที่ดีกว่าราชวงศ์ด้วยซ้ำ!
“ทำไมคุณชายเฮยถึงมีตั๋วหลายใบนักเล่า” แม้ว่าเฉินอีเฟิงจะเป็นคนมุทะลุ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ “เขามีความสัมพันธ์อะไรกับเจ้าของของเวยเจ๋อหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยมองเขาโดยไม่ตั้งใจ และยิ้มออกมาเล็กน้อย “หากมีโอกาส เจ้าก็ลองไปถามเฮยเจ๋อด้วยตัวเอง นี่เกือบจะถึงเวลาที่พวกเราต้องเข้าไปด้านในแล้ว เข้าไปกันก่อนเถอะ”
เฉินอีเฟิงยังคงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในใจของเขาสับสน ก่อนจะเดินตามเฮ่อเหลียนเวยเวยและคนอื่นๆ เข้าไปในฝูงชนจำนวนมาก
“พวกเจ้าดูสิว่าใครมา”
“นางมาที่นี่ได้ยังไง”
“อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้ก็มาที่นี่เพื่อชมการประมูลด้วย”
ศิษย์จากสำนักไท่ไป๋กลุ่มเดียวกันกับก่อนหน้านี้มองมาทางพวกเขาด้วยแววตาขบขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพวกเขามองเฮ่อเหลียนเวยเวย สายตาคู่นั้นก็เผยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็เห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยและกลุ่มของนางเช่นกัน ก่อนจะขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่หรือ” นังแพศยานั่นมาทำอะไรที่นี่
“พี่ใหญ่เช่นนั้นหรือ” เหล่าคุณหนูที่ยืนอยู่รอบข้างได้ยินคำพูดที่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เรียกเฮ่อเหลียนเวยเวย พวกเขาทุกคนก็หันไปมองทางนั้น แต่ก็เห็นเพียงแค่หญิงสาวใบหน้าดำคล้ำที่กำลังยืนอยู่ในชุดที่ทำมาจากผ้าธรรมดาทั่วไป ไม่มีการใช้ของที่มีราคาอะไรทั้งสิ้น
“พี่ซู คนที่เข้ามานั่นคือลูกสาวบุญธรรมของท่านหรือ รูปลักษณ์ของนางนั้น นางช่างดู… หึหึ”
‘หึหึ’ ช่างเป็นคำพูดที่ฟังดูคลุมเครือจริงๆ ไม่เพียงแค่ในยุคสมัยใหม่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสมัยโบราณด้วยเช่นกัน
ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าซูเหยียนโม่ดูถูกเฮ่อเหลียนเวยเวย ความงดงามของท่านแม่ของหญิงสาวนั้นโด่งดังไปทั่วทั้งจักรวรรดิจ้านหลง และยังมีแม้กระทั่งข่าวลือว่านางจะได้แต่งงานกับผู้ครองแคว้นใกล้เคียงอีกด้วย แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น หลังจากนั้นเฮ่อเหลียนกวงเย่าก็กลายเป็นลูกเขยที่ได้แต่งงานเข้ามาในตระกูลเฮ่อเหลียน
ในตอนนั้น ไม่มีใครรู้จักตระกูลซู หากไม่ใช่เพราะการเปลี่ยนแปลงภายในตระกูลเฮ่อเหลียน ซูเหยียนโม่ก็ยังคงเป็นคนที่ไม่มีใครรู้จัก…