“สวัสดีครับ”
“ไม่ได้มานานเลยนะคะ วันนี้เป็นวันที่คุณอีอูยอนมีพิธีมอบรางวัลใช่ไหมคะ”
“ครับ ใช่ครับ”
“รอนานๆ คงจะเหนื่อยแย่เลยสินะครับ ถ้าต้องการอะไรสั่งเด็กๆ ได้เลยนะคะ”
แฮร์ดีไซเนอร์ที่มีความคุ้นเคยกันเอ่ยทักอินซอบ อินซอบพยักหน้าพลางยิ้มให้เธอ
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในวันที่มีพิธีมอบรางวัล ผู้จัดการส่วนตัวจะต้องรอนานเป็นพิเศษ หากเป็นเวลาปกติ เขาคงจะเอาหนังสือสักเล่มมาอ่าน แต่วันนี้ตัวหนังสือไม่เข้ามาในสายตาของเขาเลย
เมื่อวานเขาได้รับโทรศัพท์จากอีอูยอนหลังจากที่ทำเรื่องแบบนั้นลงไป ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือโทรศัพท์ดังอยู่สองสามครั้ง แล้วสายก็ตัดไปโดยที่ไม่มีเวลาให้กังวลว่าจะรับหรือไม่รับดี อินซอบใช้ทิชชูเช็ดมือด้วยใบหน้าซีดเซียว เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมถึงรีบตัดสายขนาดนั้นล่ะ เราต้องโทรศัพท์กลับไปหาไหม แล้วจะโทรไปพูดว่าอะไรล่ะ ถ้าเขาถามว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เราจะต้องบอกว่ายังไง… เขารู้สึกเหมือนมีฝูงผึ้งบินอยู่ในหัวพร้อมกับส่งเสียงหึ่งๆ
อินซอบนั่งคุกเข่าครุ่นคิดโดยวางโทรศัพท์มือถือไว้ตรงหน้า โชคดีหรือโชคร้ายไม่รู้ที่อีอูยอนไม่ได้โทรศัพท์มาหาอีกครั้ง เขารวบรวมความกล้าและโทรศัพท์ไปหาหลังจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่อีอูยอนกลับปิดเครื่อง
วันนี้ในระหว่างที่นั่งรถมาตอนเช้า อีอูยอนก็ไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษ และอินซอบก็ไม่กล้าถามถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายโทรศัพท์มา ความจริงเขาไม่กล้าแม้แต่จะพูดกับอีกฝ่ายด้วยซ้ำ หากสบตากัน เขาก็กลัวว่าจะถูกจับได้ถึงเรื่องที่ตัวเองทำ และไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา แม้ไม่รู้ว่าเป็นการกินปูนร้อนท้อง[1]หรือเปล่า แต่ดูเหมือนวันนี้ท่าทีของอีอูยอนจะเย็นชามากขึ้น
ถ้าคิดไปเองก็คงจะดี
อย่างไรก็ตามหากผ่านวันนี้ไป…
อินซอบลูบซองที่ใส่ไว้ในกระเป๋า มันเป็นค่าซ่อมรถที่เขาจะให้อีอูยอน และเป็นเช็คจำนวนหนึ่งร้อยล้านที่ไปรับมาจากธนาคารก่อนที่จะไปโมเต็ล
เขาคิดว่าจะขอโทษอย่างจริงใจขณะยื่นค่าซ่อมรถให้
ขอโทษจริงๆ นะครับที่ทำให้ของของคุณเสียหาย ผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกครับ ถ้ามีอะไรที่ผมทำผิดไป ผมจะขอโทษทั้งหมดเลยครับ เพราะฉะนั้นผมหวังว่าคุณจะหายโกรธผมนะครับ…
อินซอบรู้สึกว่าการได้เห็นใบหน้าตอนยิ้มของอีอูยอนเหมือนเป็นอดีตที่ห่างไกล
“ถ้าวันนี้ได้เห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มก็คงจะดี…”
อินซอบพึมพำคนเดียวก่อนจะทำคอตก ตอนนั้นเองใครบางคนก็ยื่นเครื่องดื่มมาให้ตรงหน้า
“ทำอะไรอยู่ในที่แบบนี้เหรอครับ”
คิมคังอูนั่นเอง อินซอบยิ้มให้เขาพร้อมกับตอบว่า “แค่นั่งอยู่เฉยๆ น่ะ”
“ดื่มกาแฟสักแก้วนะครับ”
“ขอบใจนะ ฉันเป็นคนจะต้องไปเอาแท้ๆ”
“เรื่องแบบนี้ผมต้องเป็นคนทำสิครับ กินข้าวเช้ามาหรือยังครับ”
พอเห็นอินซอบลังเล คิมคังอูก็หยิบแซนด์วิชจากถุงพลาสติกมายื่นให้
“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร นายกินเถอะ”
“ผมซื้อมาเต็มเลยครับ เพราะเขาบอกว่าวันนี้ต้องรอนาน”
คิมคังอูโชว์ถุงพลาสติกที่มีแซนวิชกับขนมปังหลายชิ้นใส่อยู่
“งั้นฉันจะกินให้อร่อยเลย”
แม้จะไม่อยากอาหาร แต่อินซอบก็รับแซนด์วิชมา
“เออ จริงด้วย นี่ครับ”
คิมคังอูหยิบซองใส่เอกสารเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าและยื่นให้
“ของที่จะต้องให้เมื่อกี้น่ะครับ ผมลืมไปเลย”
“อะไรเหรอ”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ พี่เขยสั่งให้เอามาให้ พี่เขยคนที่สองน่ะครับ”
“หัวหน้าทีมชาน่ะเหรอ”
“ครับ เขาบอกให้เปิดดูตอนที่อยู่คนเดียวครับ”
อินซอบที่กำลังจะเปิดดูข้างในได้ฟังคำพูดของคิมคังอูแล้วปิดปากซองกลับไปเหมือนเดิม เขาหยิบซองที่ใส่ไว้ในกระเป๋าออกมาและใส่ซองเอกสารลงไป จากนั้นก็พับครึ่งและเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอกอย่างเรียบร้อย
“คุณนักแสดงอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“อยู่ชั้นสี่น่ะ”
“งั้นเราเอาแซนด์วิชขึ้นไปให้เขาข้างบนไหมครับ”
“ไม่ล่ะ ปกติวันแบบนี้เขาไม่ค่อยกินเท่าไร”
คิมคังอูทำสีหน้าว่าโล่งอก และนั่งลงข้างๆ อินซอบ
“เยี่ยมเลยครับ เพราะผมกลัวการขึ้นไปข้างบนนิดหน่อย”
“ทำไมล่ะ”
“ก็นักแสดงอยู่กันเยอะน่ะสิครับ”
ร้านทำผมที่กำลังใช้ตึกทั้งตึกในที่ดินราคาสูงของย่านชองดัมขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่าดารา ต่อให้บอกว่าดาราที่มีชื่อเสียงส่วนมากใช้สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง
“ถ้ามีแค่หนึ่งหรือสองคนก็คงจะเป็นพวกเราที่ไปมอง แต่ไม่รู้ทำไมพอเขาอยู่กันคับคั่ง ผมถึงรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายถูกมองหรือเปล่า แค่คิดก็ห่อเหี่ยวแล้วครับ”
คิมคังอูทำเป็นหดตัวพร้อมกับหัวเราะ และท่าทีที่ไม่สมกับรูปร่างที่ใหญ่โตก็ทำให้อินซอบหัวเราะไปด้วย
“นายเองก็หล่อนะ”
“ผมเองก็คิดแบบนั้นมาตลอดครับ แต่ช่วงนี้พอได้เจอดารามากๆ เข้า ผมก็ไม่อยากมองกระจกขึ้นมาเลย”
“ไม่น่า คังอู นายหล่อจริงๆ นะ เป็นผู้ชายที่หล่อและอบอุ่นน่ะ”
อินซอบใช้คำที่เห็นในอินเทอร์เน็ต และชมคิมคังอูอย่างจริงจัง
“โอ๊ย ผมไม่มีอะไรเลยต่างหาก”
“นายก็สูงไง เห็นว่าพวกไอดอลในช่วงนี้มีคนเหมือนนายอยู่เยอะเลยนะ”
“งั้นผมก็เป็นสไตล์ที่น่ากินในช่วงนี้ใช่ไหมครับ”
คิมคังอูที่เริ่มจะซุกซนเอามือมาแตะคางก่อนจะเอียงหน้า อินซอบพยักหน้าอย่างตั้งใจพร้อมกับตอบรับ
“อื้อ น่ากิน คังอูน่ะมีสไตล์ที่น่ากินสุดๆ เลย”
“อะไรน่ากินขนาดนั้นเหรอครับ”
เสียงที่ได้ยินอย่างกะทันหันทำให้อินซอบหันหน้าไป
“เฮือก”
คิมคังอูอุทานเพียงคำเดียว อินซอบเองก็พูดไม่ออก และยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตกใจ
เป็นอีอูยอนนั่นเอง
อีอูยอนสวมสูทยี่ห้อทอมฟอร์ดสีกรม และยืนอยู่ตรงราวบันได
“ว้าว ดูดี…หล่อ…”
คิมคังอูพูดติดๆ ขัดๆ เหมือนไม่สามารถหาคำศัพท์ที่เหมาะจะบรรยายถึงผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าได้
สูทคลาสสิคของทอมฟอร์ดเป็นเสื้อผ้าที่เจอเจ้าของได้ยาก นี่เป็นชุดที่จะดูอึดอัดหากอยู่บนร่างกายที่ออกกำลังโดยไม่มีแบบแผนและเพาะกล้ามให้ใหญ่ และเป็นชุดที่ดูน่าสงสารหากถูกใส่บนร่างกายที่ผอมแห้งและไม่มีกล้ามเนื้อ
ไหล่กว้างๆ กับขายาวๆ ที่ยื่นออก และรูปร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของชายหนุ่มที่ปรากฏให้เห็นระหว่างผ้าที่ทิ้งตัวลงมาอย่างสวยงามแสดงให้เห็นว่าเจ้าของเสื้อตัวนี้คือใคร
แม้จะอยู่ในสภาพที่กระดุมของเสื้อเชิ้ตตัวในถูกปลดออกเม็ดสองเม็ดและผูกไว้ด้วยเน็กไทสีขาว แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าอีอูยอนแต่งตัวได้สมบูรณ์แบบตั้งแต่หัวจรดเท้า
ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งเคยเห็นอีอูยอนแต่งตัวด้วยชุดสูททางการแค่หนึ่งหรือสองครั้ง แต่อินซอบก็ยังตกตะลึงจนไม่สามารถกะพริบตาได้อยู่ดี
เนื่องจากไม่ชอบให้มีคนมาตามติดอยู่ข้างๆ อีอูยอนจึงไม่มีโคดี้ และเลือกเสื้อผ้าด้วยตัวเอง สูทที่เขาใส่วันนี้ก็เหมือนกัน
อารมณ์ไม่ดีเหรอ
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะหงุดหงิดกว่าปกติหลายเท่า
“ผมหามาสักพักหนึ่งแล้ว มาอยู่ที่นี่กันเองเหรอครับ”
อีอูยอนเบนสายตาไปที่อินซอบ พอสบตากัน อินซอบที่มองอย่างเหม่อลอยก็สะดุ้งด้วยความตกใจ ด้วยเหตุนั้นแก้วกาแฟที่ถืออยู่ในมือจึงถูกบีบ และกาแฟก็ไหลออกมา
“โอ๊ย…”
แม้อินซอบจะจัดการกับแก้วทันที แต่ก็หลังจากที่เสื้อเชิ้ตสีขาวเปื้อนกาแฟไปแล้ว คิมคังอูรีบดึงทิชชูออกมา และช่วยเช็ดเสื้อของอินซอบให้
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เสื้อเปื้อนหมดเลย…อั่ก”
มือที่ยื่นมาจากด้านหลังคว้าข้อมือของคิมคังอูไว้ คิมคังอูที่ตกใจกับแรงจับที่ไม่ทันได้ตั้งตัวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
“ถ้าถูแบบนั้นจะยิ่งเลอะครับ”
อีอูยอนสะบัดมือของคิมคังอูออกพลางอธิบาย
“ขะ ขอโทษครับ ผมไม่รู้”
คิมคังอูลูบข้อมือที่ยังรู้สึกแสบอยู่ ทั้งๆ ที่โดนจับแค่ครู่เดียว แต่กลับมีรอยแดงทิ้งไว้ตรงข้อมือนั้น
“มีเสื้อสำรองไหมครับ”
อินซอบส่ายหน้าให้กับคำถามของอีอูยอน หากเป็นเวลาปกติ เขาจะมีชุดสำรองติดไว้ประมาณหนึ่งตัวเสมอ แต่เพราะเขาเก็บเสื้อผ้าทั้งหมดไว้กับของที่จะย้ายบ้านและส่งออกไปหมดแล้ว เขาจึงมาทำงานมือเปล่า
อีอูยอนส่งสายตาสั่งให้ตามมา
“สักครู่นะครับ”
พออินซอบดึงทิชชูออกมาเพื่อจะเช็ดกาแฟที่หกบนพื้น อีอูยอนก็ขมวดคิ้ว
“คุณคังอู”
“ครับ?”
“ช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ”
“ครับ! คุณนักแสดง”
คิมคังอูตอบกลับอย่างดีใจ เพราะไม่ค่อยมีเรื่องที่อีอูยอนจะขอให้ช่วยก่อน
“ขอบคุณครับ”
อีอูยอนฉวยแก้วแบบใช้แล้วทิ้งกับกระดาษที่อินซอบถืออยู่มา และยื่นให้คิมคังอู พอเห็นคิมคังอูที่ไม่เข้าใจความหมายนั้นยืนอย่างลังเล อีอูยอนก็ยื่นหน้าไปที่พื้นก่อนจะพูด
“เช็ดด้วยครับ”
“ครับ? อ๋อ ครับ เข้าใจแล้วครับ”
ถึงน้ำเสียงจะนุ่มนวล แต่แววตากลับเหมือนเจ้านายที่สั่งคนรับใช้ ในระหว่างที่คิมคังอูกำลังเช็ดพื้นด้วยสีหน้างุนงง อีอูยอนก็คว้าข้อมือของอินซอบก่อนจะลากไป หากเจออีอูยอน คนที่ลงบันไดมาก็จะหยุดเดินและวุ่นอยู่กับการมองเขา
“จะ จะไปไหนครับ”
“ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”
คำตอบสั้นๆ ถูกส่งกลับมา ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ที่ชั้นห้า และว่างเปล่าต่างกับร้านทำผมที่จอแจ
“ผมมีเสื้อสำรองพอดีครับ”
อีอูยอนหยิบเสื้อเชิ้ตออกมาจากถุงสูทที่แขวนไว้กับไม้แขวนเสื้อ และยื่นให้อินซอบ
“ขอบคุณครับ”
อินซอบใช้มือทั้งสองข้างรับเสื้อเชิ้ตมา เขาคิดว่าอีอูยอนจะออกไป แต่อีกฝ่ายกลับปิดประตูและล็อกไว้ แกร๊ก เสียงกลอนถูกเกี่ยวเข้ากับตัวล็อกทำให้อินซอบรีบหันหน้ากลับไป
“จะได้ไม่มีคนเข้ามาในระหว่างที่เปลี่ยนเสื้อไงครับ”
“ขอบคุณที่ใส่ใจครับ”
อินซอบหันกลับไปและถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก โชคดีที่รอยเปื้อนของกาแฟติดอยู่แค่ที่เสื้อเชิ้ตเท่านั้น เขาปลดกระดุม แม้จะพยายามทำเป็นไม่รู้ แต่ความรู้สึกที่รู้สึกจากทางด้านหลังว่ามีคนอยู่ทำให้มือที่แกะกระดุมขยับได้อย่างเชื่องช้า
“…เมื่อวานผมโทรศัพท์กลับไป เพราะเห็นว่ามีสายที่ไม่ได้รับ แต่คุณไม่ยอมรับโทรศัพท์น่ะครับ”
“ดูเหมือนว่าผมจะกดผิดน่ะครับ ผมเอาไปฝากซ่อม เพราะโทรศัพท์มือถือผมเสียน่ะครับ”
“โล่งอกไปทีนะครับ ผมเป็นห่วง”
“เป็นห่วงเหรอครับ”
“ก็ต้อง…”
เขาเงยหน้าขึ้น และสบตากับอีอูยอนที่กำลังมองมาทางนี้โดยตรง ความตั้งใจมองราวกับจะมองทะลุเข้ามาในหัวทำให้อินซอบหน้าแดงทันที
“…เป็นห่วงสิครับ”
อินซอบหันหลัง และแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตทั้งหมดออก หลังจากนั้นก็รีบสวมเสื้อเชิ้ตของอีอูยอนและเริ่มติดกระดุม
“เมื่อกี้พวกคุณสองคนพูดอะไรกันเหรอครับ”
อินซอบรู้สึกได้ว่าอีอูยอนยืนอยู่ข้างหลัง เขาต้องรีบติดกระดุม แต่มือกลับไม่ยอมขยับอย่างที่ใจคิด
“มะ ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรหรอกครับ ก็แค่ชมคังอูเท่านั้นเอง”
“ชมว่าอะไรเหรอครับ”
เสียงของอีอูยอนเข้ามาใกล้มาก เขาได้ยินเสียงคนเดินไปเดินมาที่ด้านนอกโดยมีแค่ประตูกั้นเท่านั้น ริมฝีปากของอินซอบแห้งผาก แม้จะรู้ว่าอีอูยอนไม่มีทางแตะต้องตนในที่และวันแบบนี้ แต่เขากลับรู้สึกประหม่าอย่างช่วยไม่ได้
“ชมว่าน่ากินเฉยๆ…เฮือก”
อีอูยอนยื่นหน้าเข้ามาใกล้ อินซอบกำชายเสื้อเอาไว้พร้อมกับกลั้นหายใจ
“แล้วผมล่ะครับ”
“คะ คุณอีอูยอนก็ต้องน่ากินมากๆ อยู่แล้วสิครับ”
อินซอบรีบเปลี่ยนไปใช้คำสุภาพ แต่ถึงจะได้ยินคำตอบแล้ว สีหน้าของอีอูยอนกลับไม่เปลี่ยนเลย
“…เมื่อกี้คุณบอกว่าตามหาผมอยู่นี่ครับ”
อินซอบพยายามหาเรื่องคุยใหม่
“เพราะเรื่องทรงผมน่ะครับ ต้องปรึกษากับผู้จัดการส่วนตัวว่าจะต้องทำยังไง ผมก็เลยจะให้คุณอินซอบดูน่ะครับ”
ปกติแล้วแฮร์ดีไซเนอร์จะเป็นตัดสินใจเรื่องผมโดยเลือกให้เข้ากับเสื้อผ้า การที่อีอูยอนลองใส่เสื้อผ้าก็มาจากเหตุผลนั้น และไม่มีความจำเป็นต้องตามหาผู้จัดการส่วนตัวเพื่อปรึกษาเลยด้วยซ้ำ
“ทรงผมเหรอครับ สักครู่ครับ”
อินซอบไม่มีทางรู้ทันคำโกหกนั้น เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าและค้นในแกลอลี่
“ผมทรงนี้ที่ทำตอนถ่ายโฆษณาก็ใช้ได้นะครับ แต่เหมือนจะไม่เข้ากับสูทที่ใส่อยู่ตอนนี้ ทรงนี้ก็ดีเหมือนกันครับ อืม…”
ส่วนอีอูยอนทอดสายตามองอินซอบที่ครุ่นคิดด้วยหน้าตาจริงจังที่สุดในโลกนิ่งๆ
[1] กินปูนร้อนท้อง หมายถึง อาการมีพิรุธขึ้นมาเอง