รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 226 นิ่งไว้ ข้าแค่มาขออ่านคัมภีร์โบราณของพวกท่านเท่านั้น…

บทที่ 226 นิ่งไว้ ข้าแค่มาขออ่านคัมภีร์โบราณของพวกท่านเท่านั้น…

บทที่ 226 นิ่งไว้ ข้าแค่มาขออ่านคัมภีร์โบราณของพวกท่านเท่านั้น…

หยวนเซิ่ง เจ้าลัทธิไท่เสวียนได้รับรายงาน จึงออกมาพบประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

เขาคิดอยู่ในใจว่าไยหมอนี่ถึงมาที่นี่ได้?

ถึงแม้คราวก่อนเขาจะได้รับสมบัติมหาศาลด้วยความช่วยเหลือจากประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน ได้ก้อนผลึกแห่งกาลเวลาน้อยใหญ่มาอยู่ในครอบครองมากมาย แต่ในใจเขา…รู้สึกอัปยศยิ่ง!

เขาโดนประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนจูงจมูกไว้อย่างสิ้นเชิง แม้นไม่ถึงกับอยู่กำมือของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน แต่ก็ไม่ต่างจากนั้นมาก!

“ฮ่า ๆ ไม่เจอกันหลายวัน สหายสีหน้าดูดียิ่ง คิดแล้วสหายคงดีใจที่ได้พบข้ากระมัง”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียเอ่ยยิ้ม ๆ น้ำเสียงผ่อนคลายเป็นที่สุด

เขามาคราวนี้ต่างจากคราวก่อน

คราวก่อนระดับพลังของเขายังไม่ถึงขอบเขตพรตเต๋า ต่อให้มีร่างทองอมตะและเปิดจุดลับทั้งห้าของร่างกายแล้ว ก็ทำได้เพียงเอาตัวรอดอย่างเดียวเท่านั้น

ทว่าบัดนี้ต่างออกไป

เขาในตอนนี้ก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋า  ซ้ำยังอยู่ในขั้นที่สาม เขาไม่เพียงแต่เอาตัวรอดได้ แต่ยังไม่ต้องกลัวฝีมือใด ๆ ของหยวนเซิ่ง เจ้าลัทธิไท่เสวียน

เมื่อขอบเขตไล่ตามขึ้นมาแล้ว บวกกับกายาแกร่งกล้าของเขา พลังของหยวนเซิ่งยังมิได้อยู่เหนือเก้าวิถี ย่อมทำอะไรเขาไม่ได้…

เพราะฉะนั้น เขาจึงมีท่าทีผ่อนคลายและไม่กังวลแม้แต่น้อย

บัดซบ!

เจ้าตาบอดรึ!

สีหน้าข้าดีตรงไหนไม่ทราบ?

หน้าตาข้าหมองหม่นถึงเพียงนี้แล้ว!

หยวนเซิ่งก่นด่าในใจไม่หยุด โมโหแทบเป็นบ้า

“มีธุระก็ว่ามา หากไม่มีธุระก็ไสหัวไป!”

เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ที่ไม่ลงมือกับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนตอนนี้ ถือว่าเขาข่มอารมณ์ตัวเองได้มากแล้ว!

สือเฟิงซึ่งยืนดูอยู่ข้าง ๆ รู้สึกงุนงงนิดหน่อย สองคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่?

เขาไม่รู้ว่าระหว่างทั้งคู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น…

“ดูสิ มิตรแท้มักพูดจาต่อกันอย่างฉะฉานเป็นกันเองเช่นนี้แล”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนหัวเราะ ไม่ใส่ใจเลยสักนิด

สีหน้าหยวนเซิ่งอึมครึมลงเรื่อย ๆ มืดครึ้มคล้ายฝนจะตก!

“เจ้ากำลัง…ลองดีกับความอดทนของข้าอยู่หรือไร!?”

เขาขบกรามดังกรอด พูดเน้นทีละพยางค์ โทสะที่สุมอยู่ในใจลุกโชนโชติช่วง ไม่แน่ว่าเขาอาจลงมือในนาทีต่อไปก็ได้!

“นิ่งไว้”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนคลี่ยิ้มน้อย ๆ จงใจเปล่งลมปราณขอบเขตพรตเต๋าของตัวเองออกไป

หยวนเซิ่งผงะ เขาสัมผัสถึงลมปราณพรตเต๋าจากตัวประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนได้

มิหนำซ้ำ เขายังสัมผัสได้ว่าลมปราณขอบเขตพรตเต่าของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเข้มข้นสุด ๆ อยู่ในขั้นที่สามของขอบเขตพรตเต๋า!

สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันควัน

ขณะเดียวกันเขาก็ถึงบางอ้อ มิน่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนถึงไม่เกรงกลัวใด ๆ!

ขอบเขตพรตเต๋าขั้นสาม บวกกับร่างทองอมตะและจุดลับทั้งห้าของร่างกาย ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนมีสิทธิ์และมีพลังพอจะไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งใด!

แม้ว่าขอบเขตของเขาจะเหนือกว่าประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน ทว่าก็เหนือกว่าไม่มาก เพิ่งจะขอบเขตพรตเต๋าขั้นห้าเท่านั้น

หากต้องต่อสู้กันจริง ๆ ใช่ว่าเขาจะสามารถทำอะไรประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนได้!

เดิมที เมื่อครั้งประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนยังไม่ก้าวสู่ขอบเขตพรตเต๋า เขายังสามารถใช้วิชาที่สามารถจู่โจมวิญญาณประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน ข่มขู่อีกฝ่ายได้

ทว่าเมื่อมาอยู่ในขอบเขตพรตเต๋าเหมือนกันแล้ว คำขู่นั้นดูด้อยกำลังลงไปมาก

พลังวิญญาณที่ห่างกันเพียงสองขั้น คงมิได้ห่างชั้นกันมากนัก…

ฝึกฝนด้วยวิธีไหนกันนะ?

เขามองประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนด้วยสายตาประหลาดใจ ขอบเขตพรตเต๋าบำเพ็ญกันได้ง่าย ๆ เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?

คราวก่อนระดับพลังของประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เพิ่งถึงขอบเขตก่อกำเนิดนภาชั้นแปด นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่? ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ฝึกฝนจนถึงขอบเขตพรตเต๋าขั้นสามแล้วหรือ!?

เขารู้สึกเหลือเชื่ออย่างยิ่ง!

“ตกลงมีธุระใดกันแน่”

เขาถามอีกครั้ง ท่าทางแตกต่างจากเดิมอย่างชัดเจน ผ่อนปรนลงไม่น้อย

“หาใช่เรื่องใหญ่ แค่เพียงต้องการอ่านคัมภีร์โบราณของสหายเพื่อหาข้อมูล…”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนกล่าว

ช่าง…น่าโมโหจริง ๆ เลย!

เห็นลัทธิไท่เสวียนของเขาเป็นอะไร?

อยากมาก็มา อยากอ่านคัมภีร์โบราณก็อ่านได้?

หยวนเซิ่งก่นด่าในใจอีกครั้ง ลัทธิไท่เสวียนของพวกเขาเป็นลัทธิศักดิ์สิทธิ์จากโบราณกาลที่มีการสืบสานค่อนข้างสมบูรณ์ ตอนนี้กลับตกที่นั่งอนาถเยี่ยงนี้!

ทว่าด่าก็ส่วนด่า เขาย่อมตกลง “ไม่มีปัญหา ข้าจะให้คนยกคัมภีร์บันทึกโบราณทั้งหมดของลัทธิมาที่นี่”

ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนจับจุดอ่อนของพวกเขาได้ ซ้ำร้ายยามนี้ประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนยังทรงพลังถึงเพียงนี้ เขาไม่ยอมโอนอ่อนคงไม่ได้

จากนั้น เขาก็สั่งให้คนในลัทธิไปนำคัมภีร์บันทึกโบราณมาทั้งหมด

ต้องยอมรับว่า การสืบสานของลัทธิไท่เสวียนค่อนข้างสมบูรณ์ คัมภีร์บันทึกโบราณในลัทธิ์มีจำนวนค่อนข้างมาก มากกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียนเยอะ

นอกจากนี้ คัมภีร์บันทึกโบราณเหล่านี้ยังดูมีอายุ กลิ่นอายกาลเวลาแฝงไว้หนาแน่น

สือเฟิงสบตากับประมุขแดนศักดิ์สิทธิ์เหิงเทียน จากนั้นจึงเริ่มลงมือพลิกอ่านคัมภีร์โบราณเหล่านี้

ณ ชิงโจว ทะเลซางไห่ ในส่วนลึกของโพรงมังกร

“ผู้ใดต่อสู้ที่นี่!?”

“มีคนบุกเข้าไปในโพรงมังกร!”

ร่างสยดสยองมากมายจุติลงมา สีหน้าเย็นยะเยือก นัยน์ตาเปล่งประกายหนาวเหน็บ

พวกเขาเห็นศพของชายวัยกลางคนชุดนักพรตโบราณและสิ่งมีชีวิตตนอื่น

นอกจากนี้ พวกเขายังเห็นร่องรอยว่ามีคนเข้าไปในโพรงมังกร

ไม่มีผู้ใดเข้าไปในโพรงมังกรมานานแล้ว พื้นดินหน้าถ้ำเต็มไปด้วยฝุ่นหนา พวกเขาเห็นรอยเท้าบนนั้น

หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าเป็นรอยเท้าของคนสามคน

บ่งบอกว่ามีคนสามคนเข้าไปในโพรงมังกร!

“รนหาที่ตาย โพรงมังกรหาใช่ที่ที่เข้าออกได้ตามใจชอบ มหาจักรพรรดิเข้าไปแล้วยังไม่อาจกลับออกมาได้!”

“ตายอยู่ในโพรงมังกรนับว่าพวกเขาโชคดีมากแล้ว มิเช่นนั้น พวกเขาต้องจ่ายด้วยราคาแสนสาหัสกว่านี้มาก!”

พวกเขาหัวเราะเสียงเย็น แล้วเงาร่างก็อันตรธานไปจากตรงนั้น

ทว่าหลังจากนั้น พวกเขาส่งยอดฝีมือมาคุ้มกันที่นี่มากขึ้น

เพราะทราบถึงสถานการณ์ในโลกข้างนอกดี รู้ว่ายามนี้โลกข้างนอกยากจะก่อกำเนิดยอดฝีมือ พวกเขาจึงเข้าใจว่าเป็นฝีมือของสิ่งมีชีวิตตนอื่นบนเกาะ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการท้าทายบารมีของพวกเขา

พวกเขาไม่ยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก บารมีของพวกเขาไม่ยอมให้ผู้ใดท้าทายได้!

ภายในโพรงมังกร

พวกหยวนอีระมัดระวังตัวกันมาก ไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย

มหาจักรพรรดิเข้ามาแล้วยังไม่อาจกลับออกไปได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโพรงมังกรแห่งนี้น่าพรั่นพรึงเพียงใด พวกเขามิกล้าประมาท

หยวนอีถึงขั้นหยิบกระบี่หยกที่ห้อยไว้ตรงคอออกมากำแน่นในมือ เผื่อเกิดเรื่องไม่คาดคิดใด ๆ

ที่นี่เป็นเส้นทางเข้าถ้ำอันมืดมิดยาวเหยียด มองไม่เห็นที่สิ้นสุด พวกเขาไม่รู้ว่าจะไปถึงปลายทางได้เมื่อใด จึงได้แต่ค่อย ๆ เดินเข้าไปทีละน้อย

โพรงมังกรเชื่อมต่อถึงทุกทิศ มิได้มีถ้ำเช่นนี้อยู่แหล่งเดียวเท่านั้น หากแต่มีถ้ำอยู่มากมาย

ฟู่ว ฟู่ว~

สายลมพัดผ่าน ให้ความรู้สึกสยองขวัญเป็นพิเศษ ซ้ำยังคล้ายกับเป็นสายลมจากสัมภเวสี ชวนขนลุกขนพองยิ่ง!

ยังดีที่ได้กระบี่หยกซึ่งท่านเซียนประทานให้หยวนอี ไม่เช่นนั้นนางมิกล้าเข้าไปในโพรงมังกรจริง ๆ!

ยังไม่ทันเข้าไปถึงโพรงมังกรจริงจัง นี่ยังอยู่ระหว่างทางเข้า นางยังสัมผัสได้ว่ามีคลื่นพลังแสนสยดสยองกำลังซัดสาดอยู่ที่อีกฟากของเส้นทาง

โพรงมังกรที่มหาจักรพรรดิเมื่อเข้าไปแล้วยังไม่อาจกลับออกมาได้ น่ากลัวสมชื่อ คลื่นพลังสยดสยองที่ซัดสาดอยู่นั้นเป็นผลให้พวกเขาชาหนึบไปทั้งหนังศีรษะ สั่นระรัวไปถึงวิญญาณ!

บรรพจารย์มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเรียกกระบี่จักรพรรดิดาราจรัสออกมา

นี่คืออาวุธจักรพรรดิแห่งตระกูลหยวนของพวกเขา ทว่ามิใช่อาวุธมหาจักรพรรดิ

เพราะกลัวเกิดเรื่องไม่คาดคิด จนส่งผลให้อาวุธมหาจักรพรรดิต้องสูญหายอยู่ข้างนอก

เขาจึงพกมาเพียงกระบี่จักรพรรดิเท่านั้น มิได้พกอาวุธมหาจักรพรรดิมาด้วย

อาวุธมหาจักรพรรดิเก็บไว้ในดินแดนตระกูลหยวนดีกว่า

เช่นนี้ต่อให้เกิดเรื่องกับพวกเขาจนไม่อาจกลับตระกูลหยวนได้อีก อาวุธมหาจักรพรรดิยังสามารถคุ้มครองตระกูลหยวนให้ปลอดภัยได้

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท