นับแต่รู้จักกับคุณหนูเฉินตันจู เฉินตันจูแทบก่อเกิดความคึกคักอย่างไม่หยุดพัก แต่ไม่ว่าอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องอู๋ ขุนนางอู๋ ราษฎรเมืองอู๋ หรือตระกูลใหญ่ของเมืองซีจิง หรือแม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ไม่เคยพ่ายแพ้
ครั้งนี้เฉินตันจูปะทะกับกั๋วจื่อเจี้ยน เป็นศัตรูกับนักปราชญ์หยู ย่อมไม่มีผู้ใดปล่อยนางเอาไว้
ครั้งนี้พ่ายแพ้ เฉินตันจูย่อมไม่มีโอกาสพลิกตัวได้อีก
พู่กันของบัณฑิตเหล่านั้นสามารถทำให้ชื่อเสียงอันฉาวโฉ่ของนางแพร่กระจายไปไกล ทำให้นางมีชื่อเสียงเสื่อมเสียนับพันปี ปากของพวกเขาทำให้นางไม่อาจยืนอยู่ในแผ่นดินเมืองหลวงได้อีก หากบังคับให้ฮ่องเต้ประหารนางก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“ข้าบอกแล้ว ปล่อยปละนาง ทำให้นางใจกล้ามากขึ้น” หวังเจียนลูบคลำเคราทำท่าทางสงสาร “ไร้กฎไร้เกณฑ์ ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ในไม่ช้าย่อมมีวันนี้”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กฟังคำพูดยาวเหยียดของเขา ยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมา เพียงแค่ตอบรับ “เจ้ายิ่งไม่ต้องรีบร้อน ไม่มีทางเกิดความคึกคักนี้ขึ้น”
เขามีการเตรียมการไว้แล้วหรือ? หวังเจียนขมวดคิ้ว “เวลานี้ท่านแม่ทัพ อย่าได้เป็นปรปักษ์กับบัณฑิตเหล่านี้ ปกติหลบหลีกยังไม่ทัน ท่านอย่าคิดว่าท่านออกมือ เฉินตันจูจะไร้ความกังวล เรื่องนี้เป็นเรื่องของบัณฑิต ดุจดั่งบ่อโคลน เมื่อถึงเวลามีแต่จะลากท่านลงไปด้วย”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กหัวเราะ เงยหน้าขึ้นจากแผนที่ “ไม่ เรื่องนี้ไม่ต้องให้ข้าออกมือ”
เช่นนั้นอาศัยเฉินตันจู?
“ถือว่าอาศัยนางได้” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด พลางมองจดหมายกองหนาที่วางอยู่ด้านข้าง ระยะนี้
จู๋หลินเขียนจดหมายได้อย่างซับซ้อน เขามักพูดถึงเรื่องแต่ก่อน แก้ไขในสิ่งที่เคยเขียนเอาไว้ เฟิงหลินจำเป็นต้องนำจดหมายแต่ก่อนออกมา ให้ท่านแม่ทัพดูควบคู่ไปด้วย…ถึงแม้เวลาส่วนใหญ่ท่านแม่ทัพไม่แม้แต่จะดู “มีเพียงนางที่ใจกล้าก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้ นางปูทางก่อสะพาน เมื่อมีทาง ย่อมมีคนเดิน”
หวังเจียนขมวดคิ้ว “ผู้ใดจะหาเรื่องมาเดินทางตายเส้นนี้”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กส่งเสียงหัวเราะออกจากด้านหลังหน้ากากเหล็ก “เดินทางตายจนกลายเป็นทางรอด ช่างเป็นเรื่องที่มีความหมาย ผู้ที่อยากเดินมีมากมาย”
หวังเจียนกลอกตาขาว ต้องการพูดบางสิ่ง แต่ด้านนอกมีขันทีเรียกขานหาท่านแม่ทัพอย่างเคารพ
“ท่านอ๋องฉีเตรียมของขวัญถวายฝ่าบาท อีกทั้งยังมีชุดสาวใช้สำหรับองค์รัชทายาทที่พระพันปีเตรียมไว้ถูกส่งมาแล้วขอรับ” เขาพูด “ขอให้ท่านแม่ทัพผ่านตา”
เวลานี้ท่านอ๋องฉีไปมาหาสู่กับด้านนอกล้วนต้องผ่านแม่ทัพหน้ากากเหล็ก มิฉะนั้น แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ไม่อาจบินออกจากพระราชวังได้
แม่ทัพหน้ากากเหล็กตอบรับ เดินออกจากด้านหลังโต๊ะ ด้านนอกพระตำหนักมีรถจอดอยู่สามคัน พร้อมทั้งลังไม้หลายใบ นอกจากนี้ยังมีหญิงงามอีกสิบคน
เมื่อเห็นชายชราที่สวมหน้ากากเหล็กเดินออกมา อีกทั้งรูปร่างยังอ้วนท้วม เหล่าหญิงสาวรีบก้มหน้าลง มีเพียงหญิงสาวที่แก้มแดงระเรื่อ มุมปากมีไฝสีดำแอบมองมาเพียงคนเดียว เมื่อเห็นใบหน้าเหล็กดุจดั่งผี เมื่อนางมองไป ดวงตาภายใต้หลุมดำบนหน้ากากผีนั้นเบนมาทางนาง สายตาเย็นชา นางรีบก้มหน้าต่ำลง
เสียงที่ดุจดั่งมีดเลื่อยบนหินดังขึ้นจากด้านบน
“คนและสิ่งของอยู่ก่อน รอข้าตรวจแล้วจึงส่งไปเมืองหลวง”
ไม่รู้ว่าจะเป็นการตรวจอย่างไร หญิงสาวที่มีไฝดำบริเวณมุมปากยื่นมือกุมหน้าอกอย่างกังวล สร้อยคอที่สวมใส่อยู่นั้นส่ายไปมา
…
เมืองหลวง ภายในพระราชวัง หิมะแรกของปีสลายไป ภายในพระตำหนักอบอุ่นดุจฤดูใบไม้ผลิ องค์ชายห้าถือตำราเดินออกมาอย่างผิดปกติ หลังจากเดินไปหลายก้าวก็ถอยกลับมา มองไปยังโจวเสวียนที่หลับอยู่ในพระตำหนักอีกด้าน
“อาเสวียน” เขาตะโกน “เหตุใดเจ้ายังนอนอยู่ตรงนี้”
โจวเสวียนพลิกตัวหันหลังให้เขา “มิฉะนั้นจะไปนอนที่ใด จวนของข้ายังซ่อมไม่เสร็จ เจ้าไปเร่งฝ่าบาทแทนข้า ให้คนของฝ่ายพิธีกรรมและฝ่ายแรงงานรีบหน่อย”
เรื่องนี้เขาไปแทนได้ แสดงให้เห็นถึงความสนิทของเขากับโจวเสวียน เสด็จพ่อไม่โกรธ หากแต่ยังดีใจมาก องค์ชายห้ายิ้ม “เรื่องจวนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หลังจากได้รับสถาปนาเป็นท่านโหว พระราชวังเจ้าก็ยังอาศัยได้ ข้าหมายถึง เหล่าบัณฑิตในหอเหยาเย่ว์นับวันยิ่งมากขึ้น ความคึกคักนับวันยิ่งมากขึ้น เจ้าในฐานะเจ้าภาพ เหตุใดจึงไม่ไปดูแล อีกทั้งยังนอนอยู่ในพระราชวัง”
โจวเสวียนหลับตาอย่างเกียจคร้าน “ข้าดูแลพวกเขาเพื่อปะทะกับเฉินตันจู เวลานี้หอไจซิงไม่มีแม้แต่คน เฉินตันจูพ่ายแพ้แล้ว ไม่ต้องปะทะแล้ว ข้าจะดูแลพวกเขาเพื่ออันใด”
“เรื่องนี้ไม่ใช่แค่โอกาสที่จะปะทะกับเฉินตันจู แต่ยังเป็นโอกาสที่จะซื้อใจคนผู้มีความสามารถ” องค์ชายห้าพูดเสียงเบา “เจ้ายังไม่รู้ หลายวันนี้องค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉีคลุกคลีอยู่ในหอเหยาเย่ว์ แต่งบทกวีร่วมกับเหล่าบัณฑิต อีกทั้งยังนำพู่กัน หมึกและกระดาษอันหายากที่นำมาจากเมืองฉีเป็นรางวัล เพียงแค่ไม่กี่วัน บัณฑิตในเมืองหลวงต่างร่ำลือว่าองค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉีรักผู้มีความสามารถ ใจกว้างยิ่งนัก”
โจวเสวียนหลับตาหัวเราะเยาะ “ผู้ใดสนใจคนเขลาอย่างเขากัน”
“เจ้าอย่าหัวเราะว่าเขาโง่เขลา” องค์ชายห้าพูด ส่ายตำราไปมา “หากมีชื่อเสียงในหมู่บัณฑิตนี้ ถึงแม้เจ้าจะไปฟ้องเขาต่อหน้าฮ่องเต้ ฮ่องเต้ก็ไม่อาจลงโทษเขาได้”
โจวเสวียนหัวเราะเยาะ “ฟ้องเขา” เขาลืมตาก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “ข้ามีเพียงจะตีเขาก่อน ให้เขาไปฟ้องข้า”
องค์ชายห้าครุ่นคิด อ่อ วิธีนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีเช่นกัน เขาตบไหล่ของโจวเสวียน “เอาเถิด เจ้านอนลงต่อเถิด”
พูดพลางถือตำราเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
โจวเสวียนสามารถใช้วิธีนี้รอวันตาย แต่เขาและองค์รัชทายาททำไม่ได้ ดังนั้นเขาไม่อาจปล่อยโอกาสนี้ไปได้
องค์ชายห้านั่งอยู่บนราชรถ หรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝั่งมีเหล่าขันทีที่ทำหน้าที่ดูแลการเสด็จกำลังเตรียมราชรถ ขบวนเช่นนี้ส่วนใหญ่เป็นองค์ชายและองค์หญิง
“ผู้ใดจะออกไป” เขาถาม “จินเหยาจะแอบวิ่งออกไปอีกแล้วหรือ”
เฉินตันจูก่อเรื่องอีกครั้ง องค์หญิงจินเหยาแอบวิ่งออกจากพระราชวังเพื่อเฉินตันจู ฮองเฮาโกรธมาก ครานี้เรื่องเกี่ยวข้องกับสวีลั่วจือผู้เป็นนักปราชญ์หยูแห่งกั๋วจื่อเจี้ยน ฮ่องเต้ไม่ร้องขอ องค์หญิงจินเหยาถูกกักบริเวณอย่างเข้มงวด
ขันทีไปสืบข่าวกลับมาทูลองค์ชายห้า “องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามหรือ ดวงตาขององค์ชายห้าหรี่ลง “พี่สามคงไม่ได้เสด็จไปวัดกระมัง”
ขันทีรู้ข่าวลือขององค์ชายสามในเวลานี้ เขาหัวเราะเสียงเบา พูด “อาจไปเยี่ยมเยือนคุณหนูตันจูกระมังพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายสามอยู่อย่างไม่สงบในเวลานี้ เพื่อความสุขใจของหญิงงามก็แล้วไป หวังว่าเขาอย่าได้มีความคิดอย่างอื่น อาทิไปหอเหยาเย่ว์
องค์ชายห้าวางม่านรถลง “ไป พวกเรารีบเดินทางไปหอเหยาเย่ว์”
ราชรถขององค์ชายห้าเดินทางมาถึงหอเหยาเย่ว์ ภายในหอก็คึกคักอย่างมากแล้ว แม้แต่ภายนอกประตูยังเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเขย่งเท้ามองเข้าไปด้านใน ภายในยิ่งแน่นหนาไปด้วยผู้คน สายตาล้วนจับจ้องไปบนเวทีตรงกลาง บัณฑิตหลายคนกำลังถกเถียงบางสิ่ง คุณชายท่านหนึ่งในนั้นใช้วาจาดุเดือด ทำให้ผู้อื่นต่างถอยหลังไป บริเวณรอบด้านต่างส่งเสียงชื่นชม”
“ผู้นี้คือใคร” องค์ชายห้าเปิดม่านรถถาม
ผู้ติดตามที่ทำหน้าที่เฝ้าดูเดินขึ้นหน้าทูลเสียงเบา “หยางจิ้งพ่ะย่ะค่ะ คุณชายรองตระกูลหยาง”
ผู้ใดกัน องค์ชายห้านึกไม่ออกในเวลาหนึ่ง ผู้ติดตามจึงรีบแนะนำว่าเขาคือบัณฑิตชนชั้นสูงเมืองอู๋ที่ถูกเฉินตันจูใส่ร้ายเข้าคุก จากนั้นตะโกนด่าทอในกั๋วจื่อเจี้ยนก่อนจะถูกส่งตัวเข้าคุกอีกครั้ง
องค์ชายห้านึกออกแล้ว “เขาออกมาได้อย่างไร”
ผู้ติดตามยังไม่ได้พูด การถกเถียงภายในโถงสิ้นสุดลง เหลือเพียงหยางจิ้งที่ยืนอยู่คนเดียว ชายหนุ่มที่สวมชุดสง่างาม สวมมงกุฎนั้นปรบมือหัวเราะ “ดี คุณชายหยางมีความรู้ยอดเยี่ยมเหนือผู้ใด แม้จะถูกเฉินตันจูนั้นใส่ร้ายอย่างไร ก็มิอาจบดบังความสามารถของคุณชายได้”
ถึงแม้จะไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยชื่นชมหยางจิ้งที่ยืนอยู่อย่างเย็นชาโดดเดี่ยว
องค์ชายห้ามองชายหนุ่มผู้นี้ ไม่ถามสิ่งอื่น เขากระโดดลงจากรถ
เฉินตันจูที่อยู่หอไจซิงฝั่งตรงข้าม เมื่อเห็นเหตุการณ์จึงขมวดคิ้ว “คนโง่เขลาผู้นี้คือใคร”
จู๋หลินตอบอย่างเฉยชา “องค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉี”