เหวอ!
เกิดความโกลาหลขึ้นบนท้องถนนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เจ้าของเวยเจ๋อ ที่เป็นบุคคลลึกลับและยังไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน คือเฮ่อเหลียนเวยเวยเช่นนั้นหรือ
เป็นไปได้อย่างไรกัน
แม้แต่ขันทีซุนที่ยืนอยู่บนชั้นสองของหอน้ำชาก็ยังอุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะมองไปทางองค์ชาย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจับใบหน้าด้านข้างของตนเองด้วยมือข้างหนึ่ง ในขณะที่มืออีกข้างกำลังเล่นถ้วยชาใบเล็ก และหมุนมันไปมาอยู่ที่ปลายนิ้วของตนเอง
ขณะนี้ เขากำลังมองเฮ่อเหลียนเวยเวย สายตาของเขาราวกับหงส์ มันแสดงให้เห็นถึงความชื่นชมมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อย่างไรก็ตาม ในเวลาสั้นๆ ความชื่นชมนั้นก็ดูแข็งกระด้างขึ้น และกลายเป็นความเยือกเย็นราวกับเป็นภูเขาน้ำแข็ง เมื่อเขานึกถึงชื่อของร้านค้าอาวุธแห่งนี้
‘เวยเจ๋อ’ เพียงแค่ฟังชื่อสองคำนี้ เขาก็รู้ถึงความหมายของมัน
นางปกปิดเขาได้อย่างแนบเนียนจริงๆ
นี่คือสิ่งที่ทำให้นางมีความสุขเช่นนั้นหรือ ชอบมากจนถึงกับอดใจไม่ไหว จนต้องใช้ชื่อของคนสองคนมารวมกันจนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกเช่นนั้นหรือ
ใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยซีดเผือดและเย็นชา เขาไม่รู้ตัวว่าตนเองมีพลังมากเพียงใด ขณะที่นิ้วมือของเขาบีบถ้วยชาใบนั้น…
อดีตฮ่องเต้ตกตะลึง ตอนนี้ เหตุผลที่ราชวงศ์แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดเป็นเพราะเวยเจ๋อส่งอาวุธมาให้พวกเขา มีเพียงเวยเจ๋อเท่านั้นที่สามารถสร้างอาวุธจำนวนมากในราคาถูกที่สุดได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพวกเขาที่จะสามารถฝึกฝนทหารได้
ดังนั้น แม้แต่อดีตฮ่องเต้ก็ยังต้องการที่จะหาโอกาสพบกับเจ้ายุทธ์คนนี้อยู่เสมอ แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นเด็กสาวคนนี้
ที่ชั้นล่าง เฉินอีเฟิงก็ดูเหมือนจะมึนงงอย่างมาก เขาเอ่ยถาม “ลูกพี่เป็นเจ้าของเวยเจ๋อจริงๆ หรือ”
“อืม ข้าเอง” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มบางๆ
เฉินอีเฟิงยังคงรู้สึกเหมือนกับกำลังฝันอยู่ “แต่ปกติ ท่านก็อยู่ที่สำนักไท่ไป๋ไม่ใช่หรือ แล้วท่านหาเวลาจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร ตอนที่ท่านอยู่ในห้องเรียน…”
“ข้าสร้างอาวุธระหว่างเรียน” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดแทรกเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
เฉินอีเฟิงตกตะลึง จากนั้นจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง น้ำเสียงของเขาฟังดูสดใส “จริงๆ แล้วท่านไม่ได้หลับ แต่กำลังทำอาวุธระหว่างเรียนอยู่นี่เอง ลูกพี่ ท่านหลอกคนอื่นๆ จนกลายเป็นคนโง่ไปเลย”
“ข้าหลับเป็นส่วนใหญ่ และบางครั้ง ข้าก็สร้างอาวุธ”
เฉินอีเฟิง: “…”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตบไหล่ของเขา แล้วมองไปที่ผู้ดูแลจางและผู้ดูแลอีกคนที่เหงื่อแตก “เจ้าขับไล่ให้คนออกไปได้อย่างไร เวยเจ๋อก็คือเวยเจ๋อ พวกเราไม่มีเส้นสายกับใคร แต่หากใครมีสัมพันธภาพใดๆ ก็จงออกไปซะ”
เมื่อได้ยินสามคำสุดท้าย ผู้ดูแลคนนั้นก็ล้มลงกับพื้นทันที
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์อ้าปากราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันศีรษะไปมองพวกเขาโดยตรง “ผู้อาวุโสจาง ตามกฎของเวยเจ๋อ คนที่ไม่มีตั๋วสีเงินจะไม่สามารถเข้าร่วมงานประมูลได้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครก็ตาม ทำตามคำสั่งนี้ ในอนาคต ไม่ว่าคนพวกนี้จะเสนอเงินให้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะซื้ออาวุธใดๆ ได้”
ตู้ม!
ผู้คนที่คิดว่าจะสามารถเข้าไปในงานประมูลได้อย่างแน่นอนต่างก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะศิษย์จากสำนักไท่ไป๋ พวกเขาเสียใจอย่างมากจนลำไส้ภายในรู้สึกเหมือนถูกบีบรัด พวกเขากำมือแน่นและใบหน้าซีดเผือด
เมื่อเฉินอีเฟิงเห็นเช่นนั้น เขาก็รู้สึกตื่นเต้นและรู้ว่าตนเองเลือกเส้นทางถูกต้องที่อยู่ฝ่ายลูกพี่ของตนเอง
ทุกครั้งที่มีใครคิดว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่สามารถกลั่นแกล้งได้ ต่อมานางก็จะตบหน้าคนเหล่านั้นด้วยการแสดงให้พวกเขาเห็นว่านางเก่งกาจเพียงใดอย่างที่คาดไม่ถึง
“เฮ่อเหลียนเวยเวย เจ้าคิดว่าตัวเองสำคัญมากนักหรือ เจ้าก็แค่เปิดร้านค้าอาวุธเท่านั้น เจ้ากล้าดีพูดจาหยาบคายกับพวกเราได้อย่างไร” เหล่าศิษย์ที่นิสัยเสียและไม่เคยพูดจาเช่นนี้มาก่อน พวกเขายังคงส่งเสียงดังโวยวายต่อไป “เชื่อหรือไม่ว่าเพียงแค่ท่านพ่อของข้าพูดออกมาคำเดียว เวยเจ๋อก็ต้องปิดตัวลงและยุติการขายไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลอกตามองด้วยรอยยิ้มอันเลือดเย็น แต่นางไม่ได้มองไปที่ลูกศิษย์คนนั้น แทนที่จะทำเช่นนั้น นางกลับถามผู้ดูแลจางที่อยู่ข้างๆ “ท่านพ่อของเขาคือใคร”
“เสนาบดีหลี่จากกรมขุนนางขอรับ” ผู้ดูแลจางสามารถตอบได้เพียงแค่มองเขาเท่านั้น
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว “เสนาบดีหลี่ที่เป็นคนรับผิดชอบการจัดซื้ออาวุธให้กับราชสำนักน่ะหรือ”
“เป็นอย่างไรเล่า ตอนนี้เจ้ากลัวแล้วใช่หรือไม่” ศิษย์คนนั้นเชิดคางขึ้น “ท่านพ่อของข้าเป็นคนสั่งซื้ออาวุธส่วนใหญ่จากเวยเจ๋อเอง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาและยิ้มกว้างขึ้น “ระงับการสั่งซื้ออาวุธจากเสนาบดีหลี่ทั้งหมด หากมีคนในราชสำนักสอบถาม ก็บอกพวกเขาว่าพวกเราไม่พอใจกับการทำธุรกิจกับพวกเขา พวกเราจึงต้องขอระงับ”
“ขอรับ” ผู้ดูแลจางก้มศีรษะลงต่ำ
ท่าทีของศิษย์คนนั้นเปลี่ยนเป็นขึงขัง “เฮ่อเหลียนเวยเวย อย่าจองหองนักเลย หากไม่มีข้อตกลงทางธุรกิจจากตระกูลของข้า ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเวยเจ๋อจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้อีกนานสักแค่ไหน”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเย้ยหยัน “หนวกหู! ผู้อาวุโสจางจับเขาออกมา แล้วทุบตีเขาซะ!”
“บังอาจ!” ขณะที่ศิษย์คนนั้นเงยหน้าขึ้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เตะเขาทันที และเหยียบหลังเขาอย่างแรง ก่อนจะขยับนิ้วอย่างรวดเร็ว แล้วหยิบเก้าอี้ไม้ที่อยู่ข้างๆ มาเขวี้ยงใส่ ดวงตาของนางแข็งกร้าวและเย็นชา “บังอาจอะไรหรือ”
นี่!
หลังจากที่ถูกเตะ และเหยียบเช่นนั้น ศิษย์แซ่หลี่ก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก สถานการณ์ของเขาช่างน่าเวทนาและน่าสมเพช ผู้คนที่อยู่รอบข้างต่างก็ตกตะลึงและถอยออกมาด้วยความหวาดกลัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเช็ดคราบเลือดตรงปลายนิ้วมือของตนเองอย่างแผ่วเบา หญิงสาวดูกระหายเลือด ราวกับเป็นดอกไม้ในขุมนรก “ข้าคือเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ไม่มีงานอดิเรกอะไร แต่ข้าชอบต่อยหน้าคน อย่าคิดว่าเจ้าเป็นคุณชายหลี่ แล้วข้าจะไม่กล้าทุบตีเจ้า วันนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยคนนี้ขอประกาศว่าไม่ว่าพวกเจ้าจะมีสถานะอะไร หรือมีเงินเท่าไหร่ ก็อย่าแม้แต่จะคิดว่าสามารถพูดจาไม่ดีกับข้า แล้วเดินจากไปอย่างไร้รอยแผลได้เลย” หลังจากพูดจบ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กวาดสายตามองไปด้านข้าง “และสำหรับคนที่ด่าข้าเมื่อครู่นี้ ผู้อาวุโสจาง ตีพวกเขา ตีจนกว่าจะหมดแรง”
กลุ่มคนต่างก็ถอยกลับไปด้วยความตกใจ และมองดูคนสองสามคนที่ถูกคนของเวยเจ๋อลากและผลักไปทุบตีที่พื้นอย่างช่วยอะไรไม่ได้ การกระทำที่เลือดเย็นนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากตกตะลึง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์รู้สึกโกรธแค้นและต้องการจะออกไป
แต่ซูเหยียนโม่จับมือนางเอาไว้และมองไปทางหอน้ำชาที่อยู่ใกล้ๆ จากนั้นนางก็สังเกตเห็นว่าสายลับของท่านพ่อที่อยู่ในวังหลวงกำลังนั่งอยู่ในหอน้ำชา ถ้าเช่นนั้น อดีตฮ่องเต้ก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วย เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เข้าใจในความหมายของท่านแม่ และปล่อยให้เฮ่อเหลียนเวยเวยทำตัวน่าขายหน้าและทำลายชีวิตของตัวเองเช่นนี้ต่อไป
นางไม่เชื่อว่าหลังจากที่อดีตฮ่องเต้เห็นพฤติกรรมอันเลวทรามจากคนๆ นี้ แล้วอดีตฮ่องเต้จะไม่ทำอะไรเลย ในอีกไม่นาน เขาจะต้องส่งคนไปลงโทษนังแพศยาคนนี้อย่างแน่นอน
นั่นคือสิ่งที่ศิษย์ผู้ชายคนนั้นคาดหวังเช่นเดียวกัน เขาตะโกนร้องด้วยใบหน้าที่บวมช้ำจากการทุบตี “เฮ่อเหลียนเวยเวย หากเจ้ามีความสามารถจริง ก็เหยียบข้าต่อไปได้เลย ข้าจะรอจนกว่าท่านพ่อของข้าจะมา และรอดูว่าเจ้าจะตายอย่างไร”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะเยาะเย้ย และใช้นิ้วมือบีบคางของศิษย์คนนั้นอย่างรุนแรง “เจ้าน่าจะเข้าไปข้างในและถามท่านพ่อของเจ้าดูก่อนว่าเขามาพูดคุยกับพวกเราที่เวยเจ๋อได้อย่างไรจะดีกว่า”