ถ้าหญิงสาวตอบตกลงขึ้นมาจริงๆ แล้วองค์ชายเล่า…
ขันทีซุนมองดูปฏิกิริยาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
กลุ่มคนด้านนอกยังคงพูดกันต่อว่า “ที่ข้าแนะนำคู่ครองให้กับเจ้าก็เพราะข้าเห็นว่าเจ้าน่าสงสาร หากท่านแม่ทัพคนนั้นไม่ได้เห็นว่าเจ้าหุ่นดี และสนใจเพียงแค่หน้าตาหรือนิสัยของเจ้า ก็คงไม่มีใครต้องการเจ้าหรอก หนำซ้ำ เจ้ายังใจกล้าหน้าด้านอย่างมากที่มางานประมูลครั้งนี้ ทำไมเจ้าไม่ส่องกระจกดูความจนของตัวเองบ้างเล่า ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก นัง…”
คำว่า ‘นังคนชั้นต่ำ’ ยังไม่ทันออกจากปากของนาง
ก็มีเสียงโครมดังขึ้นมาก่อน
นางถูกเตะอย่างรุนแรงและกระเด็นออกไปสองสามฉื่อ ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกเจ็บปวดที่อวัยวะภายในของตนเอง จึงหยุดพูดไป และตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นเพื่อพยายามลุกขึ้นยืน
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ด้านข้างพร้อมกับยกขาขึ้นมาเหยียบบนหลังมือของผู้หญิงคนนั้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา หญิงสาวดึงข้อศอกของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างง่ายดายและบีบคอของนางไว้ ก่อนจะยิ้มราวกับปีศาจ “หากเจ้าอยู่เฉยๆ ก็คงจะดีกว่า แต่เจ้ากลับทำให้ข้าต้องลงมือซะนี่”
ต้องรู้ก่อนว่าคนที่มาที่นี่ แม้ว่าจะเกิดมาร่ำรวย แต่ก็ไม่ใช่คนดีเสมอไป อย่างเช่น คนที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังเหยียบอยู่นี้ การกระทำของหญิงสาวในตอนนี้ราวกับต้องการที่จะท้าทายอำนาจของเหล่าขุนนางทั้งหมด
ทันใดนั้น ทุกคนก็ราวกับลงเรือลำเดียวกัน พวกเขาต่างก็หักข้อมือกันทีละคน และล้อมรอบเฮ่อเหลียนเวยเวยไว้ตรงกลาง
เฉินอีเฟิงมองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างเป็นกังวล เขาใช้ตัวเองบังหญิงสาวเพื่อขัดขวางคนอื่นๆ ทั้งทางซ้ายและขวา พร้อมกับหวังว่าเหล่าขุนนางจะไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามเพราะเห็นแก่ตัวตนของเขา แต่คนของเวยเจ๋อก็ไม่ยอมให้ใครมาสร้างปัญหาในพื้นที่ของตนเอง ดังนั้น จึงมีผู้ดูแลคนหนึ่งเข้ามาอย่างรีบเร่ง
ผู้ดูแลคนนั้นดูเหมือนจะรู้จักกับฮูหยินซู เมื่อนางขยิบตาให้กับเขา เขาก็โบกมือด้วยความโกรธเคือง “เกิดอะไรขึ้นหรือ เวยเจ๋ออนุญาตให้คนอย่างพวกเจ้าเข้ามาหรืออย่างไรกัน เจ้า! ตัวปัญหา! ออกไปเดี๋ยวนี้! เจ้าไม่มีตั๋วที่จองไว้แล้วยังกล้ามาที่นี่อีกหรือ”
“นี่!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผยให้เห็นถึงความเย็นชาในดวงตา แล้วนิ้วมือของนางก็กางออกเล็กน้อย จากนั้นบัตรสีทองแวววาวก็ปรากฏขึ้นในมือของนาง โดยที่ด้านหน้าของบัตรนั้น มีสองคำสลักอยู่ “เวยเจ๋อ”
เมื่อเห็นตั๋วใบนั้น ผู้ดูแลก็รู้สึกว่าขาของตนเองอ่อนแรง จนแทบจะคุกเข่าลงไปกับพื้น
บัตรทอง!
เวยเจ๋อออกบัตรทองมาเพียงสองใบเท่านั้น!
ไม่ใช่เหตุผลอื่นใด แต่เป็นเพราะว่าเวยเจ๋อมีเจ้านายเพียงสองคนเท่านั้น
ตั้งแต่เปิดทำการมา บัตรทองก็ถือเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงสถานะและตัวตนของความเป็นเจ้าของเวยเจ๋อ
อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้ดูแลระดับอาวุโสแล้ว ก็ไม่มีใครเคยเห็นบัตรทองของจริงมาก่อน แล้วมันมาอยู่ในมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยได้อย่างไร
ใบหน้าของผู้ดูแลคนนี้ซีดเผือด หน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา “นี่ นี่มัน..”
“เจ้าลองพูดอีกครั้งว่าเจ้าสั่งให้ใครออกไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องไปที่ชายวัยกลางคนที่เตี้ยกว่านาง
ผู้ดูแลตัวสั่นเทา
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป “พี่ใหญ่ เจ้าพูดกับผู้ดูแลเช่นนั้นได้อย่างไรกัน”
“คุณหนูเจียวเอ๋อร์ขอรับ ไม่เป็นไรขอรับ ไม่เป็นไรเลยขอรับ ไม่ว่านางจะพูดอย่างไรกับข้าก็ไม่เป็นไรเลยขอรับ” ผู้ดูแลคนนั้นรีบโบกมือของตัวเองอย่างรวดเร็ว และยืนตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ พร้อมกับพูดประโยคเดียวซ้ำๆ
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ขมวดคิ้ว “ผู้ดูแล พี่ใหญ่ของข้าทำตัวไม่มีมารยาทเอง ต่อให้เจ้าพาตัวนางออกไป ท่านแม่ของข้าก็ไม่รังเกียจ ไม่ว่าอย่างไร นางก็เป็นฝ่ายทำผิดก่อน”
พา… พาตัวใครไปเล่า
นางเป็นนายหญิงของพวกเขา!
ในตอนแรกนั้น ผู้ดูแลรู้สึกกระวนกระวาย หลังจากฟังคำสั่งจากเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ สีหน้าของเขาก็ยิ่งดูไม่ได้มากขึ้นไปอีก เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวย และหวังว่าเขาจะสามารถแทรกตัวลงไปในพื้นดินได้
สถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผู้ดูแลจางที่ยุ่งอยู่ในหอน้ำชาได้ยินเสียงดังเอะอะโวยวาย จึงรีบเดินออกมา และเมื่อเขาเห็นคนที่ถูกคนอื่นๆ รายล้อมเอาไว้ เขาก็ตกตะลึงในทันที
“ผู้ดูแลจาง ในที่สุดท่านก็มาจนได้!” ซูเหยียนโม่ไม่ได้สังเกตสีหน้าของเขา นางรู้สึกว่าถึงเวลาที่นางจะต้องพูดบ้างแล้ว และนางก็มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น นั่นคือการใส่ร้ายเฮ่อเหลียนเวยเวย “ข้าไม่สามารถอดทนกับเด็กที่น่ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้ได้อีกต่อไป นางทุบตีคนอื่นหลังจากที่พวกเขาพูดจาเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น นางไม่สนใจกฎหมายเลย”
ผู้ดูแลจางมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังยิ้ม ก่อนจะหันไปทางฮูหยินซู และพูดอย่างสุภาพ “พวกเราควรสอบถามให้ชัดเจนก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่าจะเป็นทางดีที่สุดนะขอรับ”
“ผู้ดูแลจาง” ซูเหยียนโม่ยืนตัวตรงและพูดด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “เจ้าไม่จำเป็นต้องปล่อยนางไปง่ายๆ เพราะเห็นแก่ข้าหรอก นางไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคฤหาสน์ผู้พิทักษ์แล้ว คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ของพวกเราไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับคนชั่วร้ายอย่างนางอีกแล้ว”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฮูหยินซูขอรับ” ผู้ดูแลจางยังคงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสุภาพ เขาประสานมือเอาไว้ด้านหน้า และมีท่าทางราวกับเป็นพ่อบ้าน ผู้คนที่รู้จักเขาดี จะรู้ว่าเขาไม่เคยทำตัวให้เกียรติและสุภาพเช่นนี้มาก่อน
ซูเหยียนโม่พึงพอใจกับการกระทำนี้ และคิดว่าผู้ดูแลจางกำลังให้เกียรติตนเอง นางจึงเชิดคางสูงขึ้น ก่อนจะพูดว่า “ผู้ดูแลจาง ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลว่าผู้หญิงคนนี้เป็นลูกบุญธรรมของข้า เจ้าจึงลังเลที่จะจัดการนาง แต่ไม่จำเป็นหรอก ตั้งแต่นี้ไป นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเฮ่อเหลียนอีกต่อไป และนางก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปในคฤหาสน์ผู้พิทักษ์ด้วยเช่นกัน!”
ชายชราไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาขมวดคิ้วหนาของตน และไม่รู้ว่าจะบอกฮูหยินซูอย่างไรว่าเขาไม่ได้ทำตัวสุภาพกับนาง อันที่จริง ตั้งแต่ครั้งก่อนนั้น คฤหาสน์ผู้พิทักษ์ได้ถูกขึ้นบัญชีดำของเวยเจ๋อด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่านางเอาความมั่นใจในตัวเองนี้มาจากที่ใดกัน
“ท่านแม่ ทำไมท่านไม่บอกให้ผู้ดูแลจางรีบเรียกคนของตัวเองเพื่อพาตัวพี่ใหญ่ออกไปเล่า มิฉะนั้น นางอาจจะทำอะไรเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของตระกูลพวกเราอีกก็ได้” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ทำตัวหยิ่งยโสมากขึ้น และปฏิบัติต่อผู้ดูแลจางราวกับว่าเขาเป็นหนึ่งในข้ารับใช้จากคฤหาสน์ของตนเอง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หัวเราะออกมาอย่างน่ากลัว ขาเรียวยาวของนางเตะคนที่อยู่ใต้เท้าออกไป ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นมาจัดปกคอเสื้อของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ แต่ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง “ผู้อาวุโสจาง ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่านอกจากข้าแล้ว เจ้าจะฟังคำสั่งของคนอื่นๆ ด้วย”
น้ำเสียงของหญิงสาวราบเรียบ แต่มันกลับดังก้องกังวานไปตามท้องถนนที่มีเสียงดัง มันฟังดูเย็นยะเยือกผิดปกติ ทุกถ้อยคำนั้นช่างหนักแน่นและชัดเจน
นิ้วของซูเหยียนโม่แข็งเกร็ง และลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ผุดขึ้นในใจ คำพูดของนางนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน
ทุกคนหันกลับมามอง และเห็นว่าผู้ดูแลจางที่ปกติจะเป็นคนสุขุมและไร้ความปรานีนั้น กำลังวางมือซ้ายบนไหล่ขวาของตนเองด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นายหญิงขอรับ บ่าวอาวุโสคนนี้ได้รับเงินเดือนจากท่าน นอกจากคำสั่งของท่านแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถสั่งข้าได้อีกขอรับ”
นายหญิงหรือ?
เขากำลังพูดกับใครกันนะ
“ดีมาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มและพูดขึ้นว่า “ข้าก็นึกว่าร้านค้าที่ข้าเป็นคนเปิดกิจการขึ้นมาเอง จะเปลี่ยนเจ้าของไปเสียแล้ว”
ผู้ดูแลจางมองซูเหยียนโม่และพูดว่า “ไม่ใช่แน่นอนขอรับ แค่ใครบางคนล้ำเส้นเกินไปเท่านั้นขอรับ”
ซูเหยียนโม่ตัวสั่นไปทั้งตัว ดวงตาของนางค่อยๆ เบิกกว้าง และราวกับว่ามีใครบางคนตบหน้าของนางอย่างจัง ขณะที่นางมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยอีกครั้ง นางก็แทบจะสามารถได้ยินเสียงตบที่ดังชัดเจน นางรู้สึกอับอายอย่างมาก และความหยิ่งผยองที่นางมีในตอนแรกก็หายไปจนหมดสิ้น รอยยิ้มของนางค้างอยู่อย่างนั้น
ไม่ใช่เพียงแค่นางเท่านั้น แม้แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์และศิษย์คนอื่นๆ ที่ต้องการจะเข้าร่วมงานประมูลกับนางก็ด้วย รวมถึงเหล่าคุณหนูที่มีชื่อเสียงจำนวนมากต่างก็ชะงักงันกันทุกคน…