เจียงฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาแล้วพูดอย่างสะอึกสะอื้น “ท่านพ่อไม่ได้อยากทำเช่นนั้น ล้วนแต่เป็นความคิดของคนพวกนั้น บอกตามตรง ข้าไม่อยากให้เขารับบุตรบุญธรรมตอนนี้ ต้องจับคนที่ฆ่าน้องหลังให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้น คนอื่นก็จะพากันหัวเราะเยาะเอาได้ โชคดีที่ท่านพ่อฟังข้า…ดังนั้นคนพวกนั้นถึงได้มาหาข้า” พูดจบนางก็มองไปที่สืออีเหนียง “จะว่าไปแล้ว ข้าเป็นบุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว จัดการได้แค่ช่วงนี้ จัดการตลอดไปไม่ได้ ตอนนี้ท่านพ่อยอมฟังข้า ก็เพราะว่าเขาสงสารน้องหลังที่ตายไป แต่ว่าท่านพ่อนอกจากจะเป็นท่านพ่อแล้ว ยังเป็นคนของสกุลหวัง อยู่ต่อหน้าหลักการที่ถูกต้อง เขาไม่กล้าเห็นแก่ตัว เรื่องของทายาท ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องจัดการ โชคดีที่สกุลเราไม่เหมือนสกุลอื่น ยังมีตำแหน่งบรรดาศักดิ์ แต่ทายาทไร้ตำแหน่งกับไม่มีทายาทมันแตกต่างกันที่ใดหรือ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์เป็นความเมตตาของฮ่องเต้ แต่จะให้ใครไปสืบทอดตำแหน่งกลับเป็นเรื่องของสกุลหวัง โชคดีที่ยังมีข้า ไม่เช่นนั้น สกุลญาติพวกนั้นก็คงจะทำให้มันเดือนร้อนไปมากกว่านี้”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าคำพูดของเจียงฮูหยินไม่น่าฟังสักเท่าไร
เห็นได้ชัดว่านางกำลังบอกตนว่า เรื่องที่นางให้ความสำคัญมากที่สุดคือใครเป็นคนฆ่าหวังหลัง ให้สวีลิ่งอี๋ช่วยเหลือ อย่าปล่อยให้เริ่นคุนลอยนวล ไม่เช่นนั้น ถึงตอนนั้น เมื่อจวนเม่ากั๋วกง สกุลหวังรับสกุลญาติเหล่านั้นมาเป็นทายาทตามที่พวกเขาบอกนางจะไม่สนใจ เช่นนี้ สือเหนียงก็จะกลายเป็นม่าย สกุลหวังไม่เพียงแต่ไม่เกี่ยวข้องกับนาง แล้วนางยังต้องใช้ชีวิตที่คอยดูสีหน้าของน้องชายสามีและน้องสะใภ้เหล่านั้น
คำพูดของนางไม่มีความสงสารน้องสะใภ้ที่พึ่งจะเป็นม่ายเลยแม้แต่น้อย แล้วยังใช้เรื่องนี้มาขอความช่วยเหลือ
ไม่เพียงแต่จิตใจไม่ดี อีกทั้งยังเห็นแก่ตัวอีกต่างหาก
เสียแรงตอนที่นางมา สวีลิ่งอี๋ยังบอกให้ตนมาหาเจียงฮูหยินมาดูว่าสกุลหวังมีเรื่องอะไรลำบากที่พอจะช่วยได้ก็ช่วยกันไป แล้วยังอยากให้ตนใช้ความสามารถขอตัวเอง หากเรื่องราวเป็นเหมือนที่นางพูด นางสามารถควบคุมสิทธิของทายาทสกุลหวังได้ สกุลญาติเหล่านั้นจะมาบังอาจกับนางเช่นนี้ได้เช่นไร…หากสืออีเหนียงเป็นเพียงเด็กหญิงที่ไม่มีประประสบการณ์ทางสังคมจริงๆ ตนคงจะตกใจกับความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของนาง
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแห้งอยู่ในใจ
คนแบบนี้ไม่คู่ควรที่จะคบหา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะปล่อยให้อนาคตของสือเหนียงตกอยู่ในเงื้อมมือของนาง
ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงต้องไปปรึกษากับสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงก้มหน้าจิบชา หลบสายตาของเจียงฮูหยิน
ในเมื่อนางฟังออก แน่นอนว่าคุณนายสี่ก็ต้องฟังออก เงยหน้าขึ้นก็เห็นคุณนายใหญ่กำลังจะอ้าปาก ท่าทีเหมือนมีอะไรอยากจะพูด นึกถึงตอนที่อยู่บนรถม้า สืออีเหนียงบอกว่าสวีลิ่งอี๋ลาออกจากตำแหน่งแล้ว นางก็เป็นกังวล
เห็นการกระทำของเจียงฮูหยิน เห็นได้ชัดว่านางไม่ธรรมดา หากคุณนายใหญ่ยังไม่รู้ว่าท่านโหวลาออกจากตำแหน่งแล้ว แล้วสัญญาอะไรไปอย่างบุ่มบ่าม เกรงว่าเจียงฮูหยินคงจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
หากเป็นปกตินางจะไม่ออกความเห็นใด แต่เมื่อเทียบกับสือเหนียงที่ไม่เคยไปมาหาสู่กับสกุลเดิมแล้ว นางคิดว่าสืออีเหนียงที่ฉลาดและมีไหวพริบนั้นเป็นมิตรมากกว่า
หากสวีลิ่งอี๋ช่วยสกุลหวังไม่ได้ หรือว่าจะบังคับเขาอย่างนั้นหรือ
นางแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจความหมายของเจียงฮูหยินทันที รีบพูดตัดหน้าคุณนายใหญ่และสืออีเหนียง
“ลำบากคุณหนูใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” คุณนายสี่พูดด้วยน้ำเสียงที่ซาบซึ้ง “คุณนายสิบของเรามีท่านคอยปกป้อง เช่นนั้นเราก็หมดห่วงแล้ว”
คุณนายใหญ่รู้เรื่องที่สวีลิ่งอี๋ลาออกจากตำแหน่งตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ได้ยินที่เจียงฮูหยินพูด บอกว่าหากสวีลิ่งอี๋ไม่ช่วยสกุลหวังนางก็จะไม่ช่วยสือเหนียง นางกลัวว่าสืออีเหนียงจะสนใจแต่สือเหนียงแล้วรับปาก กำลังอยากจะพูดขัด แต่คิดไม่ถึงว่าคุณนายสี่จะพูดตัดหน้านาง โชคดีที่นางพูดได้อย่างเหมาะสม นางจึงกลืนคำพูดของตัวเองลงไป
แต่เจียงฮูหยินกลับไม่เห็นคุณนายสองคนของสกุลหลัวอยู่ในสายตา นางสนใจแค่ท่าทีของสืออีเหนียง หรือจะพูดว่า นางสนใจแค่ท่าทีของสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ข้างหลังสืออีเหนียง เช่นนี้จึงไม่สนใจคุณนายสี่ แต่มองไปที่สืออีเหนียงอยู่ตลอด
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ นางพูดตามคำพูดของคุณนายสี่ “พี่หญิงสิบของข้าพึ่งเจอกับเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก ในใจของนางคงจะสับสนไปหมด มีคุณหนูใหญ่คอยช่วยนางเช่นนี้ ก็คือความโชคดีในความโชคร้าย วันขึ้นปีใหม่ข้าไปสวัสดีปีใหม่พี่สะใภ้ ก็ได้เจอหน้ากับคุณชายและคุณหนู ท่านเอาแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของสือเหนียง คิดว่าคงไม่มีเวลาอยู่กับพวกเขา คิดเช่นนี้ พวกเราล้วนแต่ไม่สบายใจเจ้าค่ะ”
ได้ยินสืออีเหนียงพูดถึงสกุลเจียง เจียงฮูหยินก็หยุดชะงักไป
สกุลเจียงไม่พอใจกับพฤติกรรมของหวังหลังมาตั้งนานแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วจะช่วยหวังหลัง ในเยี่ยนจิงไม่มีความลับอะไร ไม่เช่นนั้น สกุลญาติพวกนั้นจะรีบร้อนเช่นนี้ได้เช่นไรกัน แต่ว่าที่สืออีเหนียงพูดหมายความว่าอย่างไร หรือว่ากำลังปฏิเสธนางอ้อมๆ?
นางคาดเดาแล้วพูดว่า “ขอบคุณที่ฮูหยินเป็นห่วง พวกเขามีพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าคอยดูแลอยู่ ดูแลดีกว่าข้าเสียอีก ทำให้ท่านเป็นห่วงแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี” สืออีเหนียงตอบรับแล้วขยิบตาให้คุณนายสี่
คุณนายสี่ก็พูดทันทีว่า “ไม่รู้ว่างานศพของท่านเขยสิบจะจัดขึ้นเมื่อไรเจ้าคะ เราจะได้เตรียมการ ท่านอาสองอยู่ที่มณฑลชานตง ท่านอาสามอยู่ที่มณฑลซื่อชวน” พูดจบนางก็ถอนหายใจ “ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้เลยว่าจะบอกพวกเขาเช่นไร” จากนั้นก็พึมพำเบาๆ “เพราะว่าเป็นเรื่องที่ต้องขึ้นศาล”
ที่จริงแล้วนางไม่พอใจที่เจียงฮูหยินเอาเรื่องทายาทมาเจรจาเงื่อนไข
หากสกุลหลัวไม่มีหย่งผิงโหว หากสกุลหลัวช่วยอะไรไม่ได้ เช่นนั้นสือเหนียงก็ต้องถูกสกุลหวังรังแกเช่นนั้นหรือ
คนโบราณมักจะคิดว่าคนที่ขึ้นศาลไม่ใช่คนดี
คำพูดของคุณนายสี่กำลังบอกว่าการตายของหวังหลังเป็นเรื่องอับอายขายขี้หน้า
ถึงแม้ว่าความจริงจะเป็นเช่นนั้น แต่มีคนมาพูดเช่นนี้ต่อหน้าตัวเอง เจียงฮูหยินก็โมโหจนหน้าดำหน้าแดง
คุณนายใหญ่เห็นว่าบรรยากาศผิดปกติ ก็กอบกู้สถานการณ์ “เรื่องนี้ต้องให้บรรดาท่านอาปรึกษากันเอง หญิงอย่างพวกเรา ทำตามที่พวกเขาจัดการก็พอแล้ว” จากนั้นก็เรียกจินเหลียนและอิ๋นผิงเข้ามา “ทำไมถึงไม่เห็นคนอื่นล่ะ ตอนนี้คุณนายใหญ่ของเจ้ากำลังเสียใจ พวกเจ้าต้องดูแลนางให้ดี อย่าคิดว่าไม่มีใครสนใจแล้วจะทำอะไรก็ได้ พวกเจ้าล้วนแต่เป็นคนของข้า หากทำให้ข้าขายหน้า ก็คงเสียแรงที่ข้าสั่งสอนพวกเจ้ามา…” กล่าวสั่งสอนพวกนางสองคน
เจียงฮูหยินรู้สึกปวดใจ มักจะรู้สึกว่าคุณนายใหญ่พูดเป็นนัย พูดจากระแทกแดกดัน พลันนึกถึงสกุลญาติของสกุลหลัวขึ้นมา จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า หากตอนนั้นตัวเองไม่ยืนกรานที่จะหาคนที่ระดับใกล้เคียงกัน หากไม่ได้แต่งงานกับสกุลหลัว แต่ไปแต่งงานกับสะใภ้สกุลธรรมดาทั่วไป ปล่อยให้หวังหลังเลี้ยงคณิกาชายในจวน หวังหลังก็คงจะไม่ออกไปทำอะไรเหลวไหล คงจะไม่ต้องไปเจอกับเริ่นคุน แล้วก็คงจะไม่ตายเร็วเช่นนี้ จากนั้นก็คิดอีกว่า หากตอนนั้นแต่งงานกับอู่เหนียง ด้วยอายุของนาง เกรงว่าคงจะมีบุตรตั้งนานแล้ว คงไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ตนก็ไม่ต้องแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากใคร
นางยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ ยิ่งเสียใจก็ยิ่งรู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ดีเอาเสียเลย…เหลือบตามองสือเหนียงที่นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นราวกับพระโพธิสัตว์ อดไม่ได้ที่จะกัดฟัน รู้สึกโมโหอยู่ในใจ
ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง!
คุณนายใหญ่คิดว่าต่อไปสือเหนียงยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสกุลหวัง จะทำให้คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่พอใจไม่ได้ เห็นว่าคุณนายสี่พูดจาทำให้เจียงฮูหยินไม่พอใจ แน่นอนว่านางจึงต้องออกหน้าแก้ต่าง คุณนายสี่รู้อยู่แล้ว นางจึงคล้อยตามคุณนายใหญ่ พวกนางสองคนพูดนั่นพูดนี่อยู่นาน เมื่อเห็นว่าเริ่มสายแล้วก็อ้างว่านายหญิงใหญ่สกุลหลัวไม่สบายต้องการคนดูแลและขอตัวกลับ
เจียงฮูหยินบอกให้พวกนางอยู่ทานข้าวด้วยกัน
มีบ่าวรับใช้เข้ามารายงานพอดี “จิ้วเหยียทั้งสองท่านและนายท่านบอกว่าจะไปดูเรื่องของคุณชายน้อยที่ศาลปกครอง บอกให้คุณนายทั้งสองท่านและฮูหยินเชิญตามสบายขอรับ”
เช่นนี้พวกนางก็ไม่อยู่ทานข้าวด้วยแล้ว
เจียงฮูหยินเห็นว่าพวกนางยืนกรานที่จะไป ก็ออกไปส่งพวกนางที่ประตูฉุยฮวาด้วยตัวเอง
คุณนายสี่ยังคงนั่งรถม้าคันเดียวกับสืออีเหนียง ระหว่างทาง นางเตือนสืออีเหนียงเบาๆ “คุณหนูใหญ่สกุลหวังคนนี้ไม่ธรรมดา เกรงว่าต่อไปคุณหนูสิบคงจะลำบากไม่น้อย”
สืออีเหนียงยิ้มอย่างเฉยเมย “สกุลญาติเหล่านั้นของสกุลหวังพูดถูก นางเป็นบุตรสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ด้วยสถานะแล้วนางทำอะไรไม่ได้”
คุณนายสี่เห็นว่าสืออีเหนียงเข้าใจความหมายของตัวเอง ก็ยิ้มแล้วไม่พูดอะไร
กลับมาถึงตรอกกงเสียน พวกนางพากันไปที่ห้องหนังสือของหลัวเจิ้นซิ่งก่อน
คุณนายใหญ่เล่าเรื่องบ่ายวันนี้ให้หลัวเจิ้นซิ่งและคนอื่นๆ ฟัง
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็คิ้วขมวด เฉียนหมิงกระโดดออกมาคนแรก “เมื่อวานท่านโหวลาออกจากตำแหน่งแล้ว ทุกคนรู้หรือไม่”
ทุกคนล้วนดูสงบ
“รู้แล้ว” หลัวเจิ้นซิ่งพูด “เมื่อวานข้าบอกแล้ว”
“เช่นนั้นก็จะลากท่านโหวลงน้ำเพราะสือเหนียงไม่ได้” เฉียนหมิงพูดอย่างเคร่งขรึม “ตอนนี้ ฮ่องเต้คงจะไม่พอพระทัยท่านโหวอยู่ ท่านโหวต้องหลีกเลี่ยง จะให้เขาออกหน้าเพราะเรื่องนี้ได้เช่นไร” พูดจบก็มองไปที่สืออีเหนียง “ตอนนี้คงต้องยอมเสียเรือเพื่อรักษาขุน”
หลัวเจิ้นซิ่งครุ่นคิด จากนั้นก็พูดกับคุณนายใหญ่ “ข้า เฉียนหมิงและสืออีเหนียงจะไปหาท่านโหว หากท่านพ่อถาม เจ้าก็บอกว่าพวกเราอยู่ทานข้าวที่จวนสกุลหวัง”
คุณนายใหญ่พยักหน้าและส่งพวกเขาออกไปที่ประตู
หลัวเจิ้นซิ่งและเฉียนหมิงมาถึงจวนสกุลสวี
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าพวกเขาสามคนมาด้วยกันก็ตกใจ บอกให้สืออีเหนียงไปจัดอาหารและเตรียมสุรา แล้วเชิญหลัวเจิ้นซิ่งและเฉียนหมิงไปนั่งที่ห้องหนังสือลานข้างใน
หลัวเจิ้นซิ่งเล่าแผนการของสกุลหลัวและความคิดของสกุลหวังให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋ฟังอย่างเงียบๆ ไม่ปริปาก
หลัวเจิ้นซิ่งมองหน้าเฉียนหมิง จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ปรึกษากันมาระหว่างทาง “…สกุลหวังทำให้เราลำบากใจ เราคิดว่าจะทำเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ จึงจะให้สือเหนียงพาสาวใช้และป้ารับใช้ที่ติดตามไปด้วยย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนนอกเล็กๆ มอบเงินให้นางปีละหนึ่งร้อยตำลึงเงิน หากเป็นเช่นนี้ สือเหนียงก็ยังสามารถมีชีวิตที่มีความสุขได้”
นี่คือวิธีที่ไม่มีทางเลือก
หากมีชีวิตอยู่ยังพอได้ แต่หากตายไปจะทำเช่นไร
ถ้าสกุลหวังไม่ยอมฝังสือเหนียงไว้ในหลุมศพของบรรพชน หรือว่าจะต้องยกป้ายจารึกมาไว้ที่ห้องบรรพชนของสกุลหลัว?
คำพูดของเจียงฮูหยิน พูดตรงๆ ก็คือมุ่งเป้ามาที่สวีลิ่งอี๋ หลัวเจิ้นซิ่งทำเช่นนี้ ก็เพื่อทำให้สวีลิ่งอี๋สบายใจ
สวีลิ่งอี๋จะไม่รู้ได้เช่นไร
แต่ว่าเขาคาดไว้อยู่แล้ว แค่ตอนนี้ยังไม่มั่นใจ อีกทั้งยังไม่ได้บอกกับสืออีเหนียง มีบางเรื่องที่ตนยังไม่เข้าใจ ยังพูดกับหลัวเจิ้นซิ่งไม่ได้ เขาจึงแค่ยิ้มแล้วตบไหล่หลัวเจิ้นซิ่งเบาๆ
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เราทานข้าวกันก่อนเถิด”
หลัวเจิ้นซิ่งพูดในเรื่องที่ตัวเองอยากพูดแล้ว เขาก็โล่งใจแล้ว ทานข้าวที่จวนสกุลสวี จากนั้นก็ออกไปจากเหอฮวาหลี่กับเฉียนหมิง
สวีลิ่งอี๋กลับไปที่เรือนของตัวเอง