“จอดรถตรงนั้นก็ได้”
อินซอบบอกจุดที่จะจอดรถให้กับคิมคังอูอย่างชัดเจน
“คนเยอะจริงๆ เลยนะครับ จอดตรงนั้นได้เลยไหมครับ หรือว่าต้องไปอีก”
เนื่องจากเป็นงานอย่างเป็นทางการครั้งแรก คิมคังอูจึงดูเหมือนจะประหม่านิดหน่อย
“ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ที่จัดงานเลย แต่จอดรถตรงนี้ก่อน”
อินซอบบอกจุดที่จะต้องจอดรถให้อย่างใจเย็น พวกเขาต้องจอดรถและรอให้นักแสดงหญิงที่ลงจากรถคันหน้าได้เดินพรมแดง และใช้เวลาถ่ายรูปให้เสร็จเสียก่อน
“การให้เวลาคนข้างหน้าแล้วเราค่อยเข้าไปเป็นมารยาทน่ะ”
อินซอบอธิบายให้คิมคังอูฟังอย่างใจดี และเหลือบมองด้านหลัง อีอูยอนไม่พูดอะไรเลยตลอดทางที่มาที่นี่ เขาเพียงแค่มองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ เท่านั้น
แต่ก็ไม่ได้ดูอารมณ์ไม่ดี
“ถึงแล้วครับ ต้องเตรียมตัวที่จะออกไปในไม่ช้าแล้วนะครับ”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
อีอูยอนที่จมอยู่กับความคิดเบนสายตากลับมาทันที อินซอบปลดเข็มขัดนิรภัยก่อนจะลงจากรถและเดินไปที่ประตูหลัง
“สักครู่นะครับ”
อินซอบสำรวจรูปทรงของเน็กไท เสื้อผ้า และทรงผมทั้งหมดอย่างละเอียด เขาไม่เห็นที่ที่จะต้องแก้ไขแล้ว แม้ปกติแล้วนี่จะเป็นงานของโคดี้ แต่เนื่องจากอีอูยอนไม่มีโคดี้แยกต่างหาก งานแบบนี้จึงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการส่วนตัวด้วย
“เช็กเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”
“เป็นยังไงบ้างครับ”
อีอูยอนเอ่ยถาม
“วันนี้คุณนักแสดง…”
คิมคังอูเอี้ยวตัวมาและเอ่ยแทรกในบทสนทนา แต่ก็ต้องหุบปากฉับเมื่อสบตากับอีอูยอน แต่อีอูยอนไม่ได้พูดอะไรเป็นพิเศษหรือส่งสายตาน่ากลัวมาให้เลย เขาแค่ปราดสายตามองคิมคังอูแค่แวบเดียวเท่านั้น
แต่แค่นั้นก็สามารถส่งความน่าเกรงขามที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้ได้แล้ว
“ว่าไงครับคุณอินซอบ”
อีอูยอนเบนสายตากลับไปที่อินซอบอีกครั้ง
“ใช้ได้ครับ”
“แค่ใช้ได้เองเหรอครับ”
อีอูยอนรู้อยู่แล้วว่ารูปร่างหน้าตาของตัวเองเป็นอย่างไร ไม่มีทางที่จะไม่รู้ได้นอกเสียจากว่าตาจะบอด และอีอูยอนเองก็ไม่ตะขิดตะขวงใจกับการใช้สอยประโยชน์จากรูปร่างหน้าตาของตัวเองด้วย แต่อินซอบแค่แปลกใจกับคำถามของอีอูยอน เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่โอ้อวดในสิ่งนั้นเลย
“เปลี่ยนเป็นเสื้อตัวอื่นดีไหมครับ”
ไม่มีเค้าลางของความล้อเล่นเลย เหมือนกับว่าหากเป็นเช่นนี้ เขาก็จะกลับรถไปเปลี่ยนเสื้อจริงๆ อินซอบรีบส่ายหน้า
“ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกครับ เพราะคุณสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว…”
ตอนนั้นเองสีหน้าของอีอูยอนถึงได้ผ่อนคลายลง ราวกับว่าเขารอคอยคำตอบนั้นอยู่
“โล่งอกไปทีนะครับ เพราะผมอยากดูสมบูรณ์แบบในวันนี้”
อินซอบอยากจะพูดว่าคุณดูสมบูรณ์แบบตลอดอยู่แล้ว แต่ก็เงียบไป เพราะเขาคิดว่านี่ไม่ใช่คำพูดที่ผู้จัดการส่วนตัวทั่วไปควรจะพูด
เราต้องระวัง
อินซอบรีบตั้งสติ
“เคลื่อนรถไปตอนนี้เลยได้ไหมครับ”
คิมคังอูตั้งใจมองพรมแดง และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“อื้อ ได้ ค่อยๆ นะ”
รถตู้ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปหน้าพรมแดง พอรถจอด เจ้าหน้าที่ที่จัดงานก็เปิดประตูให้ แค่เห็นอีอูยอนแวบเดียว เสียงกรีดร้องและเสียงชัตเตอร์จากกล้องก็ดังไปทั่วราวกับฝนที่ตกหนักเพียงชั่วครู่แล้วหยุดไป
อินซอบหดตัวเข้าไปด้านในรถโดยไม่รู้ตัว แล้วตอนนั้นเขาเองก็ได้รู้ แม้ไม่อยากจะรู้ก็ตามว่า ให้ตายตัวเขาก็ไม่ใช่คนที่จะสามารถเข้าไปโผล่ในกล้องได้
แต่อีกด้านหนึ่ง
“กรี๊ดดด!”
“พี่อูยอน!”
“คุณอูยอน ช่วยมองทางนี้หน่อยครับ”
“ทางนี้ครับ ทางนี้!”
ชายหนุ่มเดินอย่างใจเย็นท่ามกลางความสนใจที่รุนแรงและเสียงโห่ร้องอย่างยินดี
อีอูยอนกลัดกระดุมเสื้อและหันหลังกลับมามอง
“ไว้เจอกันนะครับ”
แม้จะเป็นระยะห่างที่แค่ยื่นมือออกไปก็สัมผัสได้ แต่อีกฝ่ายกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนที่ไม่สามารถสัมผัสได้ไปตลอดกาล อินซอบพยักหน้าโดยไม่พูดอะไร
***
“งั้นคราวนี้จะถ่ายละครใช่ไหมคะ”
“เอ่อ ก็ไม่รู้สิครับ ยังไม่ได้กำหนดการที่แน่นอนเลยครับ”
“ถ้าได้รับบทภาพยนตร์ดีๆ ช่วยบอกฉันหน่อยนะคะ ฉันอยากถ่ายงานเรื่องเดียวกับรุ่นพี่ค่ะ”
“ถ้ามีโอกาสจะบอกนะครับ”
อีอูยอนยืนกอดอก และยิ้มให้จางๆ
“จริงเหรอคะ สัญญานะคะ ฉันจะรอโทรศัพท์จากรุ่นพี่ค่ะ การได้ร่วมแสดงในผลงานเดียวกับรุ่นพี่เป็นความฝันของฉันตั้งแต่เดบิวต์แล้วล่ะค่ะ”
“อ๋อ ครับ”
อินซอบเข้าใจความหมายของคำว่า ‘อ๋อ ครับ’ ของอีอูยอน มันหมายความประมาณว่า ‘ช่วยไสหัวออกไปได้ไหม เพราะฉันไม่สนใจในคำที่เธอพูดพล่ามมาสักนิดเดียว’
“ฉันดูผลงานที่รุ่นพี่แสดงทั้งหมดเลยค่ะ แล้วฉันก็มีภาพยนตร์ทั้งสิบเอ็ดเรื่องของพี่ด้วย”
…สิบสามเรื่องต่างหาก
อินซอบคิดในขณะที่จัดโต๊ะเงียบๆ
“อ๋อ ครับ”
น้ำเสียงของอีอูยอนค่อยๆ ต่ำลงเรื่อยๆ นักแสดงหน้าใหม่ซึ่งเดบิวต์ในฐานะไอดอลแวะเข้ามาบอกว่าจะขอมาทักทายสักครู่ แต่ก็ไม่ยอมออกไปจากหน้าห้องพักรับรองสักที และเอาแต่พูดคำเดิมๆ มาได้ประมาณห้านาทีแล้ว
“ฉันขอเบอร์ของรุ่นพี่ได้ไหมคะ”
ใบหน้ายิ้มของอีอูยอนนิ่งไปทันที อินซอบลุกจากที่ นี่เป็นสถานการณ์ที่ผู้จัดการส่วนตัวต้องออกหน้า
ทว่า
“นี่ครับ”
นี่เป็นเรื่องที่เขาคิดไม่ถึง
“คะ?”
“ช่วยพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ทิ้งไว้ตรงนี้ทีครับ”
อีอูยอนยื่นโทรศัพท์ให้
“ตายแล้ว! จริงเหรอคะ เยี่ยมไปเลย”
อีกฝ่ายรีบรับโทรศัพท์ที่อีอูยอนยื่นให้ไปพิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของตัวเอง และยื่นกลับมาให้ อีอูยอนกดปุ่มโทรออก พอเสียงเรียกเข้าดัง ใบหน้าของอีกฝ่ายก็ซีดเผือด
“ฉันจะเมมเบอร์โทรศัพท์ไว้ค่ะ รุ่นพี่คะ ไว้ฉันติดต่อไปได้ไหมคะ”
“เชิญตามสบายเลยครับ”
อีอูยอนฉีกยิ้มที่ดูสดใสเป็นพิเศษให้ แล้วประตูก็ถูกปิดลงหลังคำพูดที่ว่า “ไว้พบกันค่ะ”
“ล็อกประตูดีไหมครับ”
คนที่มาทักทายหรือแสดงความยินดีที่ได้รางวัลใหญ่เยอะเกินกว่าที่จะนับได้ด้วยสองมือแล้ว
“ไม่ต้องหรอกครับ ยังไงนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานอยู่แล้ว”
อีอูยอนนั่งเอนตัวพิงโซฟาและปลดกระดุมชุดสูท อินซอบมองประตูที่ถูกปิดไปและเอ่ยถามอีอูยอน
“เมื่อกี้มันโทรศัพท์มือถือของคังอูไม่ใช่เหรอครับ”
อีอูยอนหยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋ามาดู เป็นโทรศัพท์มือถือของคิมคังอูจริงๆ
“อ้าว อย่างนั้นเหรอครับ ผมไม่รู้เลย”
สีหน้านั้นบ่งบอกว่ารู้อยู่แล้วแน่ๆ
“…ผมจะไปบอกคังอูให้เองครับ”
“เชิญครับ”
น้ำเสียงนั้นดูไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย จากนั้นเขาก็พยักพเยิดหน้าไปทางที่นั่งฝั่งตรงข้าม อินซอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับอีกฝ่าย
อีอูยอนเชิดหน้ามองอินซอบ เขามอง มอง แล้วก็มอง
“…ต้องการอะไรหรือเปล่าครับ”
“ยังไม่มีครับ ตอนนี้”
แม้จะเป็นคำตอบที่ตรงไปตรงมา แต่น่าแปลกที่อินซอบรู้สึกกว่าอีกเดี๋ยวอีกฝ่ายคงจะต้องการอะไรสักอย่างเป็นแน่ คงจะคิดมากไปเองแหละมั้ง อินซอบรู้สึกว่าความคิดของตนพันกันยุ่งเหยิงเพราะสายตาของอีอูยอน
“ได้ยินว่าวันนี้เสียงตอบรับดีมากเลยนะครับ”
อินซอบพยายามหาเรื่องคุย
“เสียงตอบรับอะไรเหรอครับ”
“เสียงตอบรับตอนเดินพรมแดงน่ะครับ คุณถูกเลือกให้เป็นการแต่งกายยอดเยี่ยมด้วยครับ”
วินาทีที่อีอูยอนเหยียบพรมแดง ข่าวก็ลงแบบเรียลไทม์ทันที และก็ได้กระแสตอบรับอย่างล้นหลาม คอมเมนต์หลายสิบข้อความท่วมท้นไปด้วยน้ำตา ก่อนหน้านี้อินซอบไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ㅜㅜㅜㅜㅜㅜ’ หรือ ‘ㅠㅠㅠㅠㅠㅠ’ และนึกว่าเป็นการเยาะเย้ยถากถาง เขาจึงตั้งใจทิ้งคอมเมนต์ปกป้องอีอูยอนไว้ใต้ข้อความนั้น แต่ตอนนี้เขาเข้าใจถึงเครื่องหมายร้องไห้นับสิบนั้นแล้ว
“จะดูไหมครับ”
อินซอบหันหน้าจอโทรศัพท์ไปทางอีอูยอนพลางเอ่ยถาม
“ทำไมผมต้องดูด้วยล่ะครับ”
อีอูยอนหยิบน้ำแร่ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาก่อนจะหัวเราะเบาๆ เป็นท่าทีที่ไม่ต่างจากปกติ
“ขอโทษครับ เพราะเมื่อสักครู่นี้คุณพูดอย่างนั้น ผมก็เลย…”
อีอูยอนบอกว่าอยากจะดูสมบูรณ์แบบในวันนี้ เขาจึงคิดว่าเพราะแบบนั้น อีกฝ่ายถึงได้ใส่ใจมากกว่าทุกครั้ง
“ผมอยากดูสมบูรณ์แบบน่ะครับ”
อีอูยอนพูดคำที่ตัวเองพูดไปแล้วอีกครั้ง จากนั้นเขาก็เงยหน้าและเริ่มจ้องมองอินซอบ ความเงียบที่น่าอึดอัดใจดำเนินต่อไปอีกครั้ง อินซอบก้มลงมองด้านล่าง และขวดน้ำที่อีอูยอนถืออยู่ในมือก็เข้ามาในสายตา อีกฝ่ายกำลังเคาะขวดน้ำกับโต๊ะเบาๆ และน้ำที่อยู่ในขวดก็กระเพื่อม ความหิวกระหายน้ำที่เขาไม่รู้จักก็ไต่ขึ้นมาตามลำคอของอินซอบ
“วันนี้…”
วินาทีที่อีอูยอนเอ่ยปากพูด ประตูห้องพักรับรองก็ถูกเปิดออกกว้าง อินซอบดีดตัวลุกขึ้นจากที่และตะโกน
“ห้ามเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญะ…กรรมการผู้จัดการ?”
“ใช่ครับ ห้ามเข้ามาในห้องพักรับรองโดยไม่ได้รับอนุญาตนะครับกรรมการผู้จัดการ”
กรรมการผู้จัดการคิมกระหืดกระหอบก่อนจะปิดประตูห้องพักรับรอง จากนั้นก็มองอีอูยอนที่นั่งอยู่ที่โซฟาและถลึงตา
“นายเอาโทรศัพท์ของคังอูไป! ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์!”
“โทรศัพท์มาเหรอครับ ผมไม่รู้เลย”
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเหมือนกับตอนที่มองโทรศัพท์มือถือของคิมคังอูและปิดเครื่องไปเมื่อกี้ แม้อีอูยอนจะมีความสามารถในการโกหก แต่ก็มีตอนที่เขาไม่พยายามที่จะซ่อนการโกหกของตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่ในเวลาแบบนั้นอีอูยอนก็ไม่ได้ดูน่ารังเกียจ
“แกกล้าตอแหลใส่ฉันได้ยังไง!”
กรรมการผู้จัดการคิมขึ้นเสียง
“ตอแหลอะไรกัน กรรมการผู้จัดการของบริษัทใช้คำหยาบคายแบบนั้นได้ยังไงครับ”
พอถูกผู้ชายที่ไม่เป็นรองใครในเกาหลีในเรื่องของการเลือกใช้คำศัพท์ที่หยาบคายชี้แนะ กรรมการผู้จัดการคิมก็ถามซ้ำด้วยสีหน้าเหมือนถูกบังคับให้กลืนอึวัว
“แล้วนายรู้ความหมายของคำหยาบนั้นไหมล่ะ”
“ไม่ค่อยรู้หรอกครับ ก็ผมเป็นคนต่างชาตินี่ครับ”
อีอูยอนยักไหล่
“นายต้องล้อเล่นแน่ๆ ที่มาพูดว่าเป็นคนต่างชาติ…ช่างเถอะ นายต้อง…”
“คุณอินซอบครับ”
อีอูยอนขัดคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมไว้ทันที
“ครับ?”
“ผมคอแห้งน่ะครับ ช่วยไปกดเครื่องดื่มมาให้หน่อยได้ไหมครับ”
“เครื่องดื่มเหรอครับ”
อินซอบไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที เพราะเขาเตรียมน้ำกับเครื่องดื่มไว้บนโต๊ะแล้ว
“ผมอยากดื่มกาแฟกระป๋องน่ะครับ”
“กาแฟกระป๋องเหรอครับ”
อีอูยอนไม่ดื่มกาแฟกระป๋อง กาแฟกระป๋องที่อีกฝ่ายดื่มมาทั้งชีวิตก็มีแค่ที่ดื่มระหว่างถ่ายโฆษณาเท่านั้น และอีกฝ่ายยังบอกอีกว่าทั้งหมดนั่นคือขยะ
“ครับ กาแฟกระป๋องครับ”
“เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบตรวจดูเงินที่เหลืออยู่ในกระเป๋า แต่ก็ไม่ไม่มีเลย
“นี่”
กรรมการผู้จัดการคิมหยิบแบงก์พันวอนสองสามใบออกมาจากกระเป๋าสตางค์และยื่นให้
“ขอบคุณครับ จะให้ผมกดกาแฟกระป๋องมาให้กรรมการผู้จัดการด้วยไหมครับ”
“…”
กรรมการผู้จัดการคิมส่งสายตาน่าสงสารให้อินซอบ
“ถ้าไม่อยากได้ ผมจะกดอย่างอื่นมาให้ครับ”
“ไม่ต้อง ไม่เป็นไร”
อินซอบรับเงินไปใส่ในกระเป๋า เขาหันมามองอีอูยอนก่อนจะเอ่ยถาม
“มียี่ห้อที่ชอบเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”
เขาจำเป็นต้องอัปเดตข้อมูลใหม่ เพราะไม่รู้เกี่ยวกับกาแฟกระป๋องที่อีอูยอนชอบมาก่อน
อีอูยอนที่ได้คำถามจากอินซอบทำสีหน้าซับซ้อนเกินบรรยาย
“ขอโทษครับ ถ้าคุณบอกไว้คราวนี้ คราวหน้าผมจะจำไว้ทันทีเลยครับ”
อีอูยอนพึมพำคนเดียวพร้อมกับเสียงถอนหายใจ
“ถ้าทำแบบนั้น ต่อให้เป็นผมก็รู้สึกละอายใจนะ…”
กรรมการผู้จัดการคิมที่ได้ยินคำพูดนั้นจากด้านข้างพึมพำว่า “พูดว่าละลายใจด้วยแฮะ” แล้วก็เห็นว่าอินซอบมองเขาสองคนสลับไปมาด้วยสายตาเป็นกังวล เขาจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา
“อะ นี่”
คราวนี้เขาหยิบแบงก์หมื่นวอนออกมา
“จะให้ซื้อของอย่างอื่นให้เหรอครับ”
“เปล่า ค่าขนมนาย…ไม่สิ”
กรรมการผู้จัดการคิมหยิบแบงก์ห้าหมื่นวอนออกมาอีกสามสี่ใบและยัดใส่มืออินซอบ
“เอาไปซื้อของอร่อยๆ กินซะ”
“ไม่ครับ ไม่เป็นไร กรรมการผู้จัดการ ผมมีเงินครับ”
“ฉันให้เพราะเป็นห่วงเฉยๆ ถ้าผู้ใหญ่ให้ นายต้องรับสิ ห้ามปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ”
“แต่…”
พอเห็นอินซอบยืนลังเลพร้อมกำแบงก์ห้าหมื่นวอนไว้ในมือ อีอูยอนก็บอกว่า “รับไปเถอะครับ เป็นมารยาท” และยิ้มจางๆ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะโน้มน้าวใจอินซอบที่อ่อนไหวกับคำว่ามารยาทและธรรมเนียมปฏิบัติเป็นพิเศษ
อินซอบพับเงินที่ได้รับจากกรรมการผู้จัดการคิมใส่กระเป๋า
“ถ้าลงไปที่ชั้นใต้ดินชั้นหนึ่งจะมีเครื่องขายของอัตโนมัติอยู่ครับ”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ”
อินซอบค้อมศีรษะขอตัวลาและออกจากห้องพักรับรองไป ในระหว่างที่ลงบันได อินซอบก็เอียงหัวให้กับความผิดปกติที่โผล่เข้ามาในหัว
กรรมการผู้จัดการคิมมาถึงที่นี่ทำไม ก็เห็นบอกว่าวันนี้จะไปธุระสำคัญที่ต่างจังหวัดนี่นา…