องค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉีหรือ
เฉินตันจูถือเตาอุ่นมือมองไปยังองค์รัชทายาทท่านนี้ผ่านผู้คนจำนวนมาก
เขาอายุยี่สิบสาม รูปลักษณ์งดงาม ท่าทางกิริยาล้วนแสดงออกถึงความสง่า
องค์รัชทายาทผู้เป็นตัวประกันเมื่ออดีตชาติ ไร้ซึ่งเสียงและร่องรอยในเมืองหลวง จนกระทั่งหญิงสาวเมืองฉีรักษาองค์ชายสามจนหาย ฮ่องเต้ดีใจอย่างมาก พระราชทานรางวัลให้องค์รัชทายาทที่ถวายหญิงสาวเมืองฉี ราษฎรจึงสังเกตเห็นเขา
ชาตินี้องค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉีก็เสด็จเข้าเมืองมาอย่างไร้สิ้นเสียง ได้ยินว่าเสด็จมาไถ่โทษแทนบิดา อยู่ปรนนิบัติฝ่าบาทในพระราชวังตลอดเวลา แต่ละวันล้วนสำนึกผิดต่อหน้าฮ่องเต้ จนกระทั่งฮ่องเต้ใจอ่อน…หรืออาจเป็นเพราะรำคาญใจ จึงให้อภัยเขา บอกว่าความผิดในรุ่นบิดาไม่เกี่ยวข้องกับเขา อีกทั้งยังพระราชทานจวนในเมืองใหม่ให้ องค์รัชทายาทของท่านอ๋องฉีย้ายออกจากพระราชวัง แต่ยังคงเสด็จเข้าพระราชวังทุกวัน เชื่อฟังอย่างยิ่ง
เวลานี้ประสบกับเหตุการณ์เฉินตันจูเหยียดหยามกั๋วจื่อเจี้ยน ในฐานะหลานของฮ่องเต้ เขามีเจตนาขจัดความกังวลใจแทนฝ่าบาท รักษาชื่อเสียงแห่งลัทธิหยู ดังนั้นจึงทุ่มเททั้งแรงกายและสิ่งของอย่างมากให้แก่การประลองในครั้งนี้ เพื่อเสริมสร้างพลานุภาพของเหล่าบัณฑิตหยูชนชั้นสูง
เฉินตันจูเบ้ปาก ในชาตินี้ เขาอาศัยชื่อเสียงของนางกระโดดออกมาสร้างชื่อเสียงอย่างรวดเร็ว
จู๋หลินพูดขึ้นอีก “องค์ชายห้าก็เสด็จมาด้วย” พูดพลางมองไปยังเฉินตันจู
เฉินตันจูพยักหน้า “ไม่เลว คึกคักอย่างยิ่ง นับวันยิ่งคึกคัก”
ดังนั้น ทางนั้นนับวันยิ่งคึกคัก ความคึกคักที่ท่านจะได้รับในอนาคตยิ่งมากขึ้น จู๋หลินมองไปยังเฉินตันจู คุณหนูตันจูอาจเสียสติไปแล้ว ไม่สนใจสิ่งใด…
จู๋หลินถอนหายใจ เขาทำได้เพียงพาเหล่าพี่น้องของเขาเสียสติไปกับนาง
“ไปเถิด” เฉินตันจูพูด ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก
ไปจับคนหรือ จู๋หลินคิดในใจ ถึงเวลาที่ต้องจับคนแล้ว มีเวลาอีกสามวันก็ถึงกำหนดการ หากยังไม่จับคนอีก คนคงวิ่งหนีไปหมดแล้ว หากต้องการจับก็คงจับไม่ได้
เขายื่นมือจับข้างลำตัว มีดใหญ่ ดาบยาว ดาบสั้น คันธนู แส้…ใช้สิ่งไหนเหมาะสมกว่ากัน ใช้แส้ดีกว่า
เหล่าบัณฑิตไม่มีกำลังมาก แต่นิสัยดื้อรั้น หากพุ่งตรงเข้าหามีดดาบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์…
ใช้เชือกมัดเอาไว้ปลอดภัยกว่า อีกทั้งยังสามารถจับคนได้มากในครั้งเดียว
จู๋หลินครุ่นคิดอย่างรอบคอบตลอดทาง ยกแส้เร่งม้า เดินทางมายังสถานที่รวมตัวของผู้ยากจนบริเวณนอกเมืองตามที่เฉินตันจูสั่งการ ก่อนจะหยุดอยู่ด้านหน้าเรือนเล็กแห่งหนึ่ง
“เอาล่ะ ที่นี่” เฉินตันจูส่งสัญญาณ ก่อนจะลงจากรถ
จู๋หลินยกเท้าขึ้นถีบประตูออก ในเวลาเดียวกัน เขากวักมือ องครักษ์หลวงห้าคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังปีนขี้นกำแพง สะบัดเชือกยาวออกมา…
การกระทำคล่องแคล่วว่องไว คำพูดของเฉินตันจูยังไม่ทันสิ้นเสียงเสียด้วยซ้ำ นางถลึงตาพูดเสียงดัง “นี่…เจ้าทำอันใด”
จู๋หลินขาข้างหนึ่งอยู่ด้านนอกประตู ข้างหนึ่งอยู่ด้านในประตู องครักษ์หลวงที่ยืนอยู่บนกำแพงถือเชือกภายในมือต่างหยุดลง
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่คนด้านในยังคงตกตะลึง เรือนหลังนี้เป็นเรือนที่มีสามห้อง ห้องหลักประตูอ้ากว้าง ชายหนุ่มที่รูปร่างสูงใบหน้ายาวถือน้ำชามหนึ่งเดินออกมา เห็นเหตุการณ์นี้พอดี เขาตกตะลึงก่อน จากนั้นมองผ่านองครักษ์ขายาวที่อยู่ด้านหน้าประตูไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านนอก…
หญิงสาวนี้สวมชุดกระโปรง คลุมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว สางผมทรงสูง ด้านบนยังมีไข่มุกใหญ่สองลูกปักเอาไว้ ใบหน้างดงามดุจดั่งดอกไม้ ทำให้คนเหม่อลอย…
ชายหนุ่มเหม่อลอยไปชั่วขณะ ก่อนจะส่งเสียงร้องตกใจออกมา
“แย่แล้ว เฉินตันจูมาลักพาตัวคนแล้ว!” เขาตะโกน
ตามเสียงตะโกนของเขา ภายในห้องมีบัณฑิตสี่คนวิ่งออกมา มองเห็นองครักษ์ที่ถีบประตู และยืนอยู่บนกำแพง รวมไปทั้งหญิงงามด้านหน้าประตู ทันใดนั้นพวกเขาส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างตกใจ กระวนกระวายในการหลบซ่อน แต่เสียดายที่ประตูถูกคนกีดขวางเอาไว้ บนกำแพงปีนขึ้นไปไม่ได้ พื้นที่เรือนคับแคบ เรียกได้ว่าขึ้นฟ้าไร้หนทางลงดินไร้ประตู…
“ข้าบอกแล้ว ต้องหนีไปให้เร็ว เฉินตันจูต้องลักพาตัวคนอย่างแน่นอน”
ชายหนุ่มหน้ายาวพลางถือชามพลางวิ่งวุ่นพลางตะโกน
“พวกเจ้าไม่ฟังข้า เวลานี้อยากหนีก็หนีไม่ได้แล้ว”
เมื่อเห็นสถานการณ์ตื่นตระหนกภายในเรือน เฉินตันจูทั้งผงะทั้งขบขัน เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่น้ำตาก็หลั่งไหลออกมา
“เอาเถิด” นางพูดเสียงอ่อนโยน “อย่ากลัว พวกเจ้าอย่ากลัว”
แต่เหล่าชายหนุ่มภายในเรือนต่างตะโกนต่างวิ่งต่างกระโดด ไม่มีผู้ใดสนใจนาง
เฉินตันจูพูดเสียงดังขึ้น “เงียบเสีย!
เหล่าชายหนุ่มภายในเรือนต่างสงบลงทันที พวกเขามองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยความผงะ หลังจากที่หญิงสาวตะโกนจบ นางก็ยกเท้าเดินเข้ามา
“เจ้าคือคุณชายพัน พันหยงแห่งแคว้นอวิ๋นซานใช่หรือไม่” สายตาของนางกวาดผ่านชายหนุ่มทั้งห้าภายในเรือน ก่อนจะหยุดลงบนตัวของชายหนุ่มหน้ายาวที่ถือชามเอาไว้…เพราะว่าเขาอัปลักษณ์ที่สุด
เมื่ออดีตชาติ หลังจากฮ่องเต้เปิดการสอบขุนนางแล้ว บัณฑิตสามัญชนที่มีชื่ออยู่สามอันดับแรกคือพันหยงแห่งแคว้นอวิ๋นซาน ความสามารถล้นเหลือ หากแต่หน้าตาอัปลักษณ์ อีกทั้งยังได้รับฉายานามว่าพันอัปลักษณ์
พันหยงพุ่งทะยานขึ้นฟ้า เข้ารับตำแหน่งขุนนางในพระราชสำนัก เรื่องราวของเขาถูกสืบทอดจำนวนมาก ว่ากันว่าเขาศึกษาในเมืองหลวงอย่างยากลำบากเป็นเวลาห้าปี เขาบากหน้าไปขออาศัยชนชั้นสูงผู้หนึ่งก่อนฮ่องเต้เปิดการสอบขุนนาง ติดตามคนผู้นั้นไปเป็นขุนนางภายใต้บังคับบัญชา หลังจากได้ยินข่าวแล้ว จึงเดินทางกลับมาเมืองหลวงกลางดึก ระหว่างทางแม้แต่รองเท้าก็สูญหาย
หากเป็นเช่นนี้ เวลานี้พันหยงยังคงอยู่ในเมือง นางให้จางเหยาไปสืบ ก่อนจะสืบทราบถึงบัณฑิตที่มีฉายานามว่าพันอัปลักษณ์
พันอัปลักษณ์ ไม่ใช่ พันหยงมองหญิงสาวผู้นี้ ถึงแม้ภายในใจหวาดกลัว แต่ความเป็นบุรุษไม่อาจเปลี่ยนชื่อ เขาถือชามยืดตัวตรง “ข้าเอง”
เฉินตันจูพูด “คุณชายรู้จักข้า ข้าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา โอกาสที่ดีเช่นนี้คุณชายไม่อยากลองหรือ คุณชายมีความรู้มากมาย หากแม้แต่กั๋วจื่อเจี้ยนก็ไม่อาจเข้าได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถ่ายทอดวิชาช่วยเหลือผู้คน”
พันหยงตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ “คุณหนูตันจู ในเมื่อท่านรู้เป้าหมายของข้า เหตุใดท่านต้องทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง ทำลายอนาคตของข้า”
“คุณชายพัน ข้ารับรองได้ หากพวกท่านกระทำเรื่องนี้กับข้า ไม่เพียงไม่ทำลายอนาคตของตนเอง หากแต่ยังมีอนาคตที่ก้าวไกล” เฉินตันจูเดินขึ้นหน้า “หรือว่าพวกท่านไม่อยากทำลายขอบเขตของชนชั้น อาศัยเพียงความรู้ก็สามารถเข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง เข้ารับราชการหรือ”
ไม่ถูกขอบเขตของชนชั้นกำหนด ไม่ถูกกำหนดตำแหน่งจากจดหมายแนะนำของขุนนางผู้ควบคุม ไม่ถูกกักขังด้วยชาติกำเนิด เพียงแค่ความรู้ดี ย่อมมีสถานะเทียบเท่ากับเหล่าชนชั้นสูง สร้างชื่อเสียงกว้างไกล เข้ารับราชการในราชสำนัก…เฮ้อ ความฝันนี้เป็นความใฝ่ฝันของสามัญชนทุกคน แต่พันหยงส่ายหน้าต่อเฉินตันจู
“ข้ารับรอง เพียงแค่ทุกคนเข้าร่วมการประลองครั้งนี้กับข้า ความหวังของพวกท่านย่อมสำเร็จ” เฉินตันจูพูดอย่างจริงจัง
บัณฑิตที่ยืนอยู่ด้านหลังพันหยงลังเลเล็กน้อย ถาม “ท่าน รับรองได้อย่างไร”
เฉินตันจูพูด “ข้าเข้าทูลฝ่าบาท…”
นางยังพูดไม่ทันจบ บัณฑิตผู้นั้นก็หดกลับไป สีหน้าผิดหวัง พันหยงถลึงตาใส่เขา “ถามให้มากความ ไม่ได้บอกว่าความร่ำรวยไม่อาจเหยียดหยามศักดิ์ศรีได้หรือ” ก่อนจะหันไปมองเฉินตันจูอีกครั้ง ถือชามคำนับ “ขอบคุณ คุณหนูตันจู แต่พวกข้าไม่สนใจ”
เฉินตันจูต้องการพูดบางสิ่ง แต่พันหยงนั้นโยนชามลงพื้น ยืดตัวตรงยืนกราน “คุณหนูตันจูต้องการทำสิ่งใดตามสะดวก”
จู๋หลินที่ยืนอยู่หน้าประตูก้าวเท้าอีกข้างเข้ามา เวลานี้ลงมือได้แล้วหรือไม่
เฉินตันจูเพียงแค่ถอนหายใจ “คุณชายพัน ขอให้พวกท่านคำนึงอีกเสียเล็กน้อย ข้ารับรองได้ สำหรับทุกคนแล้วครั้งนี้เป็นโอกาสที่พบหาได้ยาก” พูดพลางคำนับขอตัว หันหลังเดินออกมา
จู๋หลินมองเหล่าชายหนุ่มในเรือน ก่อนจะมอง เฉินตันจูที่เหยียบเก้าอี้รองเท้าขึ้นรถ ทำได้เพียงตามออกไป
“คุณหนูตันจู” นั่งอยู่บนรถ จู๋หลินอดพูดไม่ได้ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เวลานี้ลงมือกับรออีกวันลงมือมีความแตกต่างกันหรือ”
เฉินตันจูนั่งพยักหน้าอยู่บนรถ “แน่นอน” นางมองไปทางเรือนเตี้ย “แต่ว่า ข้ายังอยากให้พวกเขามีเกียรติมากกว่า”
การถูกมัดบังคับขึ้นเวที ไม่ว่าอนาคตได้รับผลดีอย่างไร สำหรับบัณฑิตสามัญชนเหล่านี้แล้ว นางล้วนทิ้งความเสื่อมเสียเอาไว้ให้พวกเขา
จู๋หลินไม่พูดสิ่งอื่น ยกแส้เร่งม้า รถม้าเคลื่อนที่จากไป
เมื่อมั่นใจว่ารถม้าจากไปแล้ว ด้านนอกประตูและบนกำแพงไม่มีองครักษ์ที่น่ากลัวแล้ว พันหยงปิดประตู ก่อนจะหันมามองเหล่าสหายภายในเรือน โบกมือ “เร็ว เร็ว เก็บสัมภาระ ไปจากที่นี่ ไปจากที่นี่”
สหายบางคนมีการเคลื่อนไหว บางคนลังเล
“อาโฉ่ว สิ่งที่นางพูด ทูลขอฮ่องเต้ยกเลิกข้อกำหนดชนชั้น พวกข้ามีโอกาสใช้ความรู้เข้ารับตำแหน่งขุนนาง เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่” คนผู้นั้นพูดด้วยความคาดหวัง “คุณหนูตันจู ราวกับสามารถทูลต่อฮ่องเต้ได้จริง”
พันหยงยิ้ม “ข้ารู้ ทุกคนต่างมีความเสียดาย อีกทั้งข้าก็รู้ คุณหนูตันจูสามารถทูลต่อฮ่องเต้ได้ แต่ทุกท่าน การยกเลิกชนชั้นเป็นเรื่องใหญ่หลวงยิ่งนัก สำหรับชนชั้นสูงของต้าเซี่ยแล้ว การกระทำนี้ถือเป็นการถลกหนังเฉือนเนื้อ เพื่อคุณหนูเฉินตันจูคนเดียว ฮ่องเต้จะยอมเป็นศัตรูกับชนชั้นสูงทั่วทั้งแผ่นดินได้อย่างไร ตื่นเถิด”
ทุกคนต่างตั้งสติกลับมา ส่ายหัว
“เอาเถิด เอาเถิด รีบเก็บสัมภาระเสีย” ทุกคนพูด “เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างคุณหนูตันจูกับสวีซินแส พวกเราผู้มีความสำคัญน้อยนิดอย่าได้เข้าไปพัวพันเลย”
ทุกคนกระจายตัวออกไป ด้านนอกมีเสียงรถม้าดังขึ้น ทุกคนต่างระแวงในทันที หรือว่าเฉินตันจูกลับมาอีกครั้ง
แต่ประตูไม่ได้ถูกถีบออก บนกำแพงไม่มีผู้ใดปีนขึ้นมา มีเพียงเสียงเคาะประตูเบาๆ และเสียงถามดังขึ้น “ไม่ทราบว่าคุณชายพันอยู่ที่นี่หรือไม่”
เสียงชายหนุ่ม อ่อนโยน ไพเราะ แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นมิตรอย่างมาก
พันหยงลังเลเล็กน้อย เปิดประตูออก เห็นหน้าประตูมีชายหนุ่มที่สวมชุดนกกระเรียนยืนอยู่ ใบหน้าสะอาด ท่าทางสูงส่ง
พันหยงสงบอารมณ์ของตนเอง ถาม “คุณชายคือ?”
ชายหนุ่มนั้นยิ้มเล็กน้อย “ฉู่ซิวหยง องค์ชายสามในเวลานี้”