ลู่เจียวยกมือโบกไปมา “เจ้าผิดแล้ว ท่านอาเซียวเป็นคนที่ร้ายกาจมาก และเขายังเป็นวิชายุทธ์”
พอลู่เจียวกล่าว เซี่ยอวิ๋นจิ่นก็ตกใจ “ท่านอาเซียวถึงกับยังเป็นวิชายุทธ์ เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“เมื่อก่อนตอนที่เขาออกล่าสัตว์ ข้าเคยพบเขา”
ลู่เจียวไม่อาจบอกได้ว่าอ่านมาจากในนิยาย ได้แต่อ้างเช่นนี้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเองก็ไม่ได้สงสัย คิดแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะทำได้
ลู่เจียวกล่าวว่า “วันหน้าเจ้าให้โจวเส้ากงกับหร่วนจู๋ติดตามปกป้องเจ้า เจ้าให้หลี่หนานเทียนกับท่านอาเซียวทั้งสองคนไปตรวจสอบสี่ตระกูลใหญ่”
“ได้”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นทำตามการจัดการของลู่เจียวทุกอย่าง ลู่เจียวได้ฟังก็วางใจ
เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันไปมองลู่เจียวกำชับอีกว่า “วันหน้า หากเจ้าจะออกไป ข้าจะไปกับเจ้า”
ลู่เจียวไม่ทันได้พูดอะไร นอกประตู ก็มีศีรษะน้อยๆ ทั้งสี่แอบยื่นเข้ามา ลู่เจียวเห็นเข้าพอดี ก็อดหัวเราะกวักมือเรียกไม่ได้
“ในเมื่อมาแล้ว ทำไมไม่เข้ามา”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ยิ้มตาหยีเดินเข้ามาในห้อง เด็กๆ วิ่งมาข้างเตียงลู่เจียว เห็นท่านแม่ตนมีแต่รอยยิ้มและอารมณ์ก็ดีมาก เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ก็ดีใจกันขึ้นมาทันที
“ท่านแม่อารมณ์ดีแล้ว”
“ข้ารู้ว่ามีแต่ท่านพ่อจึงจะทำให้ท่านแม่เบิกบานได้”
“ท่านน้ายังคิดมาดูท่านแม่ ท่านน้าจะมีประโยชน์อันใด มีเพียงท่านพ่อที่เก่งสุด”
“วันหน้าท่านแม่อารมณ์ไม่ดี พวกเราก็ไปตามท่านพ่อมาดีไหม”
พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เอ่ย ลู่เจียวก็รู้ว่าที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับมาเพราะเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ให้คนไปตาม ทำเอานางอดดีดหน้าผากเจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไม่ได้ “พวกเจ้านี่เอาแต่ซุกซน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หัวเราะร่า
ลู่เจียวมองผู้ใหญ่หนึ่งกับเด็กสี่ รวมห้าคนแล้ว อารมณ์ก็ยิ่งดี นางยิ้มกล่าวว่า “ไป พวกเราไปกินข้าวกัน”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่กล่าวอย่างดีใจว่า “วันนี้พวกเราไปกินเป็นเพื่อนท่านแม่ด้วยดีไหม”
ก่อนหน้านี้มื้อกลางวันกินกับเพื่อนๆ มาตลอด ยากจะได้กินอาหารกลางวันกับท่านแม่สักมื้อเช่นวันนี้
“ได้”
ทั้งครอบครัวกินข้าวกันอย่างมีความสุข
หลังอาหาร เซี่ยอวิ๋นจิ่นกลับไปอ่านตำรา เจ้าหนูน้อยทั้งสี่ไปนอนกลางวัน ลู่เจียวตามลู่กุ้ยมาคุย
“ลู่กุ้ย ระยะนี้ข้าว่าเจ้าพัฒนาขึ้นไม่น้อย ต้อนรับแขกเหรื่อก็เก่งแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เจอผู้คนก็เอาแต่หวาดกลัว เจ้าบอกพี่มาว่ามีวางแผนหรือคิดการอะไรไว้บ้างไหม”
ลู่กุ้ยได้ฟังคำพูดลู่เจียว ก็เกาท้ายทอยป้อยๆ ยิ้มกล่าวว่า “ไม่มีวางแผนอะไร เป็นพ่อบ้านพี่เจียวนี่ดีมาก”
ลู่เจียวอดหัวเราะไม่ได้ “แม้เช่นนั้นก็ไม่อาจเป็นพ่อบ้านไปตลอดชีวิตไหม”
ลู่กุ้ยยิ้มตาหยี “ทำไมจะไม่ได้ ข้าเป็นพ่อบ้านให้พี่เจียวก็พอแล้ว”
ลู่เจียวได้ฟังก็รู้สึกปวดหัว ความจริงที่นางให้ลู่กุ้ยเป็นพ่อบ้านก็เพราะนางคิดว่าอย่างไรอีกปีกว่าก็จะแยกจากเซี่ยอวิ๋นจิ่น ถึงตอนนั้นก็ค่อยหางานอื่นให้ลู่กุ้ยทำก็ได้
แต่ตอนนี้นางอาจจะอยู่กับเซี่ยอวิ๋นจิ่นต่อไป เช่นนั้นลู่กุ้ยเป็นน้องชายนางก็คงไม่อาจเป็นพ่อบ้านให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นไปตลอดชีวิตกระมัง
วันหน้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นสอบจิ้นซื่อได้เป็นขุนนาง ไม่ว่าตำแหน่งใหญ่หรือเล็ก หากให้คนรู้ว่าน้องชายภรรยามาเป็นพ่อบ้านให้พวกเขา ไม่รู้ว่าจะคิดว่าพวกเขาปฏิบัติต่อลู่กุ้ยไม่ดีหรือไม่ ขุนนางตรวจสอบในราชสำนักย่อมต้องยื่นฎีการ้องเรียนจริยธรรมอย่างแน่นอน
ลู่เจียวมองลู่กุ้ย “มีน้องชายภรรยาที่ไหนที่มาเป็นพ่อบ้านให้พี่สาวตนเอง ตอนนี้พี่เขยเจ้าเป็นซิ่วไฉ เจ้าเป็นพ่อบ้าน ย่อมไม่มีคนว่าอะไร แต่หากวันหน้าเขาเข้าสอบจิ้นซื่อได้ เจ้าก็เป็นน้องชายภรรยาของขุนนาง จะมาเป็นพ่อบ้านได้อย่างไร ดูได้ที่ไหนกัน ขุนนางตรวจสอบในราชสำนักย่อมต้องยื่นฎีกาพี่เขยเจ้าแน่”
อีกอย่าง ลู่เจียวยังไม่ได้บอกลู่กุ้ย แม้ว่าตอนนี้เป็นพ่อบ้านให้พวกเขาได้ดีพอสมควร แต่พอไปถึงเมืองหลวง รับมือชนชั้นสูงในเมืองหลวง ก็คงยังดีไม่พอ เขาจะเรียนรู้อีกเท่าใดก็ไม่อาจรับมือได้
แต่วาจานี้ลู่เจียวไม่ได้กล่าวออกมา คำพูดลู่เจียวทำเอาลู่กุ้ยอารมณ์ไม่ดี
“พี่เจียว ทำไมข้าจะเป็นพ่อบ้านให้ครอบครัวพี่ไม่ได้”
“พ่อบ้านเป็นคนรับใช้ เจ้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่ จะมาเป็นคนรับใช้ไปตลอดได้อย่างไร พวกเราเลี้ยงดูเจ้าได้ แต่ไม่อาจให้เจ้าเป็นคนรับใช้”
พอลู่เจียวกล่าว ลู่กุ้ยก็คัดค้าน “ข้าไม่อยากให้พวกพี่เลี้ยงนี่ ข้าโตขนาดนี้แล้ว ข้าเลี้ยงดูตัวเองได้”
ลู่เจียวรีบพยักหน้ายกนิ้วหัวแม่มือให้เอ่ยชมว่า “น้องชายข้าเป็นคนอดทน”
ลู่กุ้ยอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย ลู่เจียวมองลู่กุ้ย “พี่จำได้ว่าเมื่อก่อนเจ้ามีความฝัน อยากเป็นผู้จัดการร้านอาหาร หรือว่าพวกเรามาร่วมกันเปิดร้านอาหารสักร้านดีไหม”
ลู่เจียวไม่อยากให้ลู่กุ้ยมาช่วยนางหาเงิน แต่อยากให้เขาทำกิจการตนเอง ให้เขาค่อยๆ เดินไปบนเส้นทางที่ดีของตนเอง น้องชายนางคนนี้ไม่เลว
พอลู่กุ้ยได้ฟังก็รู้สึกไม่สบายใจ “แต่ข้าไม่มีเงิน”
“เงินทุนข้าออก วันหน้าหาเงินได้ เราสองคนพี่น้องแบ่งกัน เจ้าว่าเรื่องนี้ได้ไหม”
ลู่กุ้ยยังรู้สึกเป็นห่วง “หากขาดทุนล่ะ”
ลู่เจียวถลึงตาใส่เขาอย่างไม่พอใจ “ทำการค้าไม่คิดกำไร มาคิดขาดทุน หากเป็นเช่นนี้ เจ้ายังจะทำการค้าได้หรือ”
ลู่กุ้ยพอคิดได้ก็ยืดอกขึ้นทันที “ข้าจะพยายามทำให้ดี”
เขากล่าวจบคิดถึงว่าตนเองจะได้เปิดร้านอาหารก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที ถามลู่เจียวว่า “พี่เจียว ร้านอาหารเปิดเมื่อไร”
ลู่เจียวยิ้มกล่าวว่า “ยังไม่เปิดตอนนี้ รอปีหน้าแล้วกัน ปีนี้เจ้าลองคิดฝึกฝนดูก่อน ผ่านปีนี้ไป พวกเราก็เปิดร้านอาหารกัน”
ลู่เจียวกล่าวจบ ก็กล่าวกับลู่กุ้ยอีกว่า “แต่ตอนนี้ความสามารถเจ้ายังขาดอีกนิดหน่อย ข้าจะหาคนมาสอนเจ้า ในการดำรงตนและทำงาน ว่าจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างไร จะต้อนรับแขกอย่างไร อะไรพวกนี้”
ลู่กุ้ยพอได้ฟังก็มองลู่เจียวอย่างแปลกใจ “พี่เจียวคิดให้ผู้ใดมาสอนข้า”
“ท่านอาเซียว ก็คือชายชราหมู่บ้านตระกูลเซี่ยพวกเรา ตอนนี้เขาช่วยข้าดูแลโรงบ้านอยู่นอกเมือง ข้าจะให้เขามาสอนเจ้า จำไว้ คนผู้นี้ร้ายกาจมาก”
ลู่กุ้ยเป็นคนพูดง่าย พี่สาวเขาคงไม่ทำร้ายเขา “ได้”
“วันหน้าท่านอาเซียวก็คือพ่อบ้านใหญ่บ้านเรา เจ้าเป็นพ่อบ้านรอง”
เพราะเรื่องสี่ตระกูลใหญ่ ลู่เจียวตัดสินใจโยกเซียวซานกลับมาช่วยเซี่ยอวิ๋นจิ่น วันหน้าให้เซียวซานมาเป็นพ่อบ้านให้พวกนาง
ลู่กุ้ยพอได้ฟังก็รู้สึกอัดอั้น เป็นพ่อบ้านใหญ่อยู่ดีๆ ลดมาเป็นพ่อบ้านรอง ไม่ใช่ลดระดับลงหนึ่งขั้นหรือ
ลู่เจียวมองเขาแล้วก็นึกขำ ค่อยๆ กล่าวว่า “พี่หวังดีกับเจ้านะ เจ้าเรียนรู้จากคนอื่นเขาให้ดี ปีหน้าก็จะเป็นเจ้าของร้านอาหาร จำไว้ ร้านอาหารนั่นจะเป็นของเจ้าเอง”
พอกล่าวเช่นนี้ก็ทำเอาลู่กุ้ยดีใจ “ใช่ ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย”
ลู่เจียวนึกโล่งอก นางกลัวลู่กุ้ยโวยวายจริงๆ
“ได้ งั้นเจ้าส่งหลินต้าไปโรงบ้านตามเซียวซานมา”
เรื่องนี้นางต้องคุยกับเซียวซาน
ลู่กุ้ยรับคำออกไปปฏิบัติ
เซียวซานมาได้เร็วมาก เขาคิดว่าลู่เจียวจะถามเรื่องโรงบ้านว่าเก็บเกี่ยวข้าวแล้วหรือยัง ดังนั้นจึงรีบเร่งมาเพื่อรายงานเรื่องนี้
คิดไม่ถึงว่าลู่เจียวกลับโยกเขามาเป็นพ่อบ้านใหญ่ตระกูลเซี่ย
เซียวซานอึ้งไปทันที นึกสงสัยว่าหูตนเองฝาดอยู่เป็นนาน “จะข้าทำหน้าที่พ่อบ้านตระกูลเซี่ยหรือ”