สองวันต่อมา สวีลิ่งอี๋ก็ไปปรึกษากับพ่อบ้านไป๋เรื่องต่อเติมเรือน สวีลิ่งควนได้ยินเช่นนี้ก็สนใจ บอกว่าจะรับผิดชอบเรื่องการออกแบบเอง ถึงแม้ว่าจะขึ้นปีใหม่ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เปิดเรียน บวกกับคุณชายสามจะออกไปเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้ ไท่ฮูหยินก็สับสนจึงไม่ได้ให้สวีซื่อฉินและสวีซื่ออวี้ย้ายออกไปอยู่ลานข้างนอก ทั้งสองคนดีใจเป็นอย่างมาก วิ่งตามสวีลิ่งควนไปๆ มาๆ เข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องการต่อเติมเรือน สืออีเหนียงพาเจินเจี่ยเอ๋อร์เย็บปักถักร้อย สวีซื่อเจี้ยอยู่กับสืออีเหนียงทั้งวัน จุนเกอและเจินเจี่ยเอ๋อร์สนิทสนมกันเหมือนเดิม แล้วยังชื่นชอบสวีซื่อเจี้ย เขาเดินอยู่รอบพวกเขาสองคน ถึงแม้ว่าสวีซื่อเจี่ยนจะสนใจเรื่องการต่อเติมเรือน แต่เขาก็อยากเล่นกับเจินเจี่ยเอ๋อร์และจุนเกอ จึงไปๆ มาๆ มีความสุขทุกวันราวกับขึ้นปีใหม่
ว่านอี้จงและฉังจิ่วเหอมาหาสืออีเหนียง ว่านอี้จงมาขอลาออก เขาและบุตรชายสองคนจะไปทำงานรับจ้างให้เฉินผิง ช่วยเฉินผิงปลูกไม้ผล ส่วนฉังจิ่วเหอมาขอเงินจากสืออีเหนียง เรือนที่ถูกหิมะทับถมจนถล่มลงมาซ่อมแซมเสร็จแล้ว เขาและบุตรชายกำลังจะทำไร่ รอซื้อเมล็ดพืชแล้วเริ่มหว่านในฤดูใบไม้ผลิ
สืออีเหนียงนำเงินที่ได้จากปีใหม่ออกมา มอบให้ว่านอี้จงสิบตำลึง มอบให้ฉังจิ่วเหอไปทำไร่อีกสี่สิบตำลึง
สะใภ้หลิวรุ่ยชุนเข้ามาที่จวน บอกว่าได้รับการไหว้วานจากสะใภ้ว่านอี้จงอยากเชิญให้สืออีเหนียงเป็นแม่สื่อให้ สืออีเหนียงเขียนวันเดือนปีเกิดของตงชิงลงบนกระดาษสีแดง จากนั้นก็ให้ป้าเถานำไปให้สะใภ้หลิวรุ่ยชุน
หนังสือผูกดวงต้องตรวจดูดวงชะตา หากดวงชะตาเข้ากันแล้วถึงจะสามารถคุยขั้นตอนต่อไปได้ หากดวงชะตาไม่เข้ากัน ฝั่งชายจะดึงผ้าออกมาสองฟุต แล้วขอหนังสือผูกดวงคืนจากแม่สื่อ ดังนั้นถึงแม้ว่าเรื่องนี้ทุกคนจะรู้ แต่ก็ไม่มีใครป่าวประกาศ แต่สืออีเหนียงกลับลงมือค้นกล่องหาชุดแต่งงานให้ตงชิงแล้ว ตงชิงเขินอาย จึงไม่ค่อยอยู่กับบรรดาสาวใช้ด้วยกัน ชอบไปเย็บปักถักร้อยอยู่ที่ห้องของสะใภ้หนานหย่ง
สะใภ้หนานหย่งเป็นคนพาซวงอวี้เข้ามาที่ด้านหลังเรือนของฉินอี๋เหนียงเมื่อวันที่สิบเอ็ดเดือนหนึ่ง ครั้งหนึ่งบุตรสาวของพวกเขาร้องไห้ไม่ยอมหยุด หนานหย่งทนเห็นไม่ได้ จึงแอบอุ้มเด็กมาให้ภรรยาดู อวี้เอ๋อร์สาวใช้ของเหวินอี๋เหนียงเห็นจึงไปบอกลี่ว์อวิ๋น ลี่ว์อวิ๋นเห็นแล้วก็ไปบอกหู่พั่ว หู่พั่วมาบอกสืออีเหนียง สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็ลองให้สะใภ้หนานหย่งเลี้ยงเด็กคนนั้น “วัวตัวหนึ่งยังต้องเลี้ยง วัวสองตัวก็ต้องเลี้ยง เจ้าช่วยข้าดูแลเจี้ยเกอให้สบายใจ ดีกว่าอะไรทั้งนั้น ยิ่งไปว่านั้นเด็กคนนี้ก็อายุไล่เลี่ยกันกับเจี้ยเกอ เลี้ยงเป็นเพื่อนกันก็ดีกับเจี้ยเกอเหมือนกัน”
สะใภ้หนานหย่งซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ก้มหัวให้สืออีเหนียงตั้งสองสามครั้ง แต่นางก็ไม่เคยมองข้าม วันปกติก็จะให้เด็กหญิงคนนั้นเล่นที่ห้องเอ่อร์ฝังเล็กหรือสวนดอกไม้ โชคดีที่เด็กคนนั้นโตมาในลานกว้าง นางไม่กลัวคนแปลกหน้า อายุแค่นี้ แต่กลับรู้จักส่งของให้สาวใช้ในลาน ทุกคนล้วนแต่เอ็นดูนาง เมื่อเจ้าว่างเจ้าก็เลี้ยงดูนาง เมื่อข้าว่างข้าก็เลี้ยงดูนาง เด็กคนนั้นก็ยิ่งชอบใจ ทำให้เจินเจี่ยเอ๋อร์และอวี้เกอเจอนางก็ชอบเอาลูกกวาดมาให้และเล่นกับนาง ในลานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ทำเอาคนที่ลานอื่นอิจฉา
คึกคักแบบนี้ผ่านไปสองสามวัน คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็มา
จุนเกอจับมือนางแล้วตะโกน “ท่านป้าขอรับ ทำไมไม่พาซิวเกอมาด้วยล่ะ จวนเรามีพี่ๆ น้องๆ ซิวเกออยู่ที่จวนคนเดียวช่างน่าสงสาร”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวฝืนยิ้ม “คราวหน้าข้าจะพาซิวเกอมาด้วย” จากนั้นก็เอาขนมให้เด็กๆ แล้วไปพูดคุยกับสืออีเหนียงที่เรือนหน่วนเก๋อ
“ข้าโมโหเป็นอย่างมาก มาดื่มชากับเจ้าให้หายโมโหก่อนแล้วค่อยกลับไป” นางพูดด้วยสีหน้าที่โมโห “ไม่เช่นนั้น โมโหกลับไปจวน จะทำให้พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นห่วงเอา”
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้ว่าคุณนายใหญ่กลับมาจากจวนเม่ากั๋วกง นางชงชาเอง แล้วบอกให้สาวใช้ยกของว่างเข้ามา “ท่านเอาแต่โมโหเช่นนี้ บางทีฝั่งนั้นอาจจะกำลังหัวเราะอยู่ก็ได้ ท่านต้องอย่าคิดมาก ประเดี๋ยวจะทำร้ายสุขภาพเอาได้เจ้าค่ะ”
“ทุกคนล้วนแต่เข้าใจหลักการ” คุณนายใหญ่ดื่มชาร้อนสองสามทีแล้วพูดว่า “แต่เมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเองก็ใช่ว่าจะควบคุมมันได้”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเลื่อนชามถั่วลันเตาเหลืองเข้าไปให้คุณนายใหญ่ บอกให้นางทาน
คุณนายใหญ่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “บรรดาสกุลญาติของสกุลหวังไม่มีอะไรดีจริงๆ บอกว่าสือเหนียงดวงกินสามี แล้วยังบอกว่าจะให้สือเหนียงย้ายไปอยู่ที่วัด แล้วคุณหนูใหญ่สกุลของนางก็ห้ามไม่ได้ เจ้าดูสิ ที่คิดหวังเอาไว้ว่าจะได้ปรึกษาเรื่องนี้กับสกุลหวังดีๆ คงไม่ได้แล้ว!” พูดจบก็ถอนหายใจยาว สีหน้าเศร้าโศก “สือเหนียงช่างไร้วาสนาเสียจริง”
สืออีเหนียงนิ่งเงียบ
ตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้น เกรงว่าต่อไปคงจะมีคำพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมาอีก
ขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน ท่านป้ารับใช้ของคุณนายใหญ่สกุลหลินของเวยเป่ยโหวมาคารวะท่านเจ้าค่ะ”
“รีบเชิญนางเข้ามา!” สืออีเหนียงรีบพูด จากนั้นก็หันไปอธิบายให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวฟัง “เจินเจี่ยเอ๋อร์กลับมาจากเขาซีซาน นำอาหาร น้ำหอมและเครื่องหอมที่ทำเองกลับมาด้วย บอกให้คนนำไปให้ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์สกุลหลิน คิดว่าคงจะมาขอบคุณเจินเจี่ยเอ๋อร์เจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวเห็นว่านางมีแขกจึงลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงรั้งนางเอาไว้ “ไม่ใช่คนนอกอะไร ข้ายังมีเรื่องจะพูดกับพี่สะใภ้ใหญ่อยู่เจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่เห็นเช่นนี้จึงนั่งลงดังเดิม
ท่านป้ารับใช้ของคุณนายใหญ่สกุลหลินนำผ้ามาด้วย บอกว่าขอบคุณน้ำหอมของเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้วยังบอกอีกว่า “ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์ของเราไม่ได้เจอเจินเจี่ยเอ๋อร์นานแล้ว จึงอยากมาเยี่ยมเยียนนางเจ้าค่ะ” จากนั้นก็หยิบเทียบเชิญออกมาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ ให้หู่พั่วไปบอกเจินเจี่ยเอ๋อร์มารับเทียบเชิญ ปรึกษากันว่าจะมาเมื่อวันที่ยี่สิบแปด จากนั้นก็ให้ป้าเถาไปส่งท่านป้าสกุลหลินสองคนออกไปที่ประตู
นางบอกให้เจินเจี่ยเอ๋อร์เขียนเทียบเชิญ “เชิญน้าหญิงสิบสองมาด้วยเถิด นางอยู่ที่จวนคนเดียวก็เบื่อเหมือนกัน”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ยิ้มตอบรับแล้วออกไปเขียนเทียบเชิญ สืออีเหนียงก็พูดกับคุณนายใหญ่สกุลหลัวต่อ “สถานการณ์ของสกุลหวังเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“วุ่นวาย” คุณนายใหญ่ส่ายหน้า “ท่านกั๋วกงเอาแต่อยู่ในห้องหนังสือทุกวัน ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอาแต่ร่ำไห้ ไม่สนใจเรื่องในจวนเลยแม้แต่น้อย สำหรับสือเหนียง เดิมทีก็เป็นคนไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่สนใจมากกว่าเดิม เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง โชคดีที่มีจินเหลียนและอิ๋นผิงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด มีกินมีใช้ เรื่องในจวนก็ต้องฝากไว้กับคุณหนูใหญ่ แต่คุณหนูใหญ่ก็ต้องวุ่นวายเรื่องของหวังหลัง จัดการเรื่องทั้งหมดในจวนไม่ไหว บรรดาสกุลญาติก็ยังหน้าด้านมากกว่ากำแพงเสียอีก หาลานอาศัยอยู่เอง กินนอนอยู่ในจวน ไม่ยอมออกไป แล้วยังแบ่งชายหญิง ผู้ชายคอยเฝ้าท่านกั๋วกง ผู้หญิงคอยเฝ้าฮูหยินผู้เฒ่า ไม่ให้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว กลัวว่าตัวเองจะถูกลืม มีผลประโยชน์อะไรก็จะถูกคนอื่นแย่งไป ทำอะไรบุ่มบ่าม พูดจาถากถาง ท่าทีราวกับสกุลเล็กสกุลน้อยที่ไม่เคยเห็นอะไรมาก่อน วุ่นวายจนผู้ดูแลสองสามคนก็เอาไม่อยู่ คนที่หลบได้ก็หลบ คนที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยง คนที่ผลัดได้ก็ผลัด แต่ละคนล้วนแต่ไม่กล้ายื่นหน้าออกมา” พูดจบนางก็พูดเบาๆ “ข้าได้ยินอิ๋นผิงพูดว่า ของตกแต่งในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าหายไปตั้งหลายชิ้น แล้วยังมีคนบุกเข้าไปในห้องของสือเหนียง หากไม่ใช่เพราะว่าอิ๋นผิงและจินเหลียนไล่ออกไป เรือนของคุณหนูสิบก็คงจะไม่รอด” พูดจบนางก็หยุดพูด ทำสีหน้าไม่สบายใจ “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะมาปรึกษาเรื่องนี้กับเจ้า”
คุณนายใหญ่สกุลหลัวเป็นคนมีความรู้ ไม่ใช่คนที่ทำอะไรบุ่มบ่าม ในเมื่อมาขอความช่วยเหลือจากนาง แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องที่ตัวเองสามารถช่วยได้
สืออีเหนียงจึงตอบกลับไปโดยไม่คิด “พี่สะใภ้ใหญ่มีเรื่องอะไรเจ้าคะ หากเป็นเรื่องที่ข้าช่วยได้ข้าจะต้องช่วยให้ถึงที่สุด”
คุณนายใหญ่พยักหน้าเบาๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าเห็นว่าบรรดาสกุลญาติพวกนั้นทำอะไรก็ไม่สนใจหน้าตา กลัวว่าพวกเขาจะไปยุ่งกับสินเดิมของสือเหนียง…ข้าคิดว่า หากไม่ไหวจริงๆ ไม่สู้ส่งท่านป้าตัวใหญ่สองสามคนไปที่นั่น ย้ายสินเดิมของนางไปไว้ที่เรือนนอกผู้ติดตามของเจ้าก่อน…” ถึงแม้ว่าจะพูดเช่นนี้ แต่นางก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร แต่ก็ไม่มีวิธีอื่น “จะให้คนพวกนั้นเอาไปไม่ได้ ย้ายไปไว้ที่ตรอกกงเสียนก็ไม่เหมาะสม คนสกุลหวังอาจจะคิดว่าสกุลหลัวของเราจะไปแย่งทรัพย์สินของพวกเขา” พูดจบนางก็หัวเราะอย่างขมขื่น “เรือนนอกที่เก็บสินเดิมของคุณหนูสิบก็อยู่ทางตอนใต้…มีแค่เจ้า ท่านโหวมีทรัพย์สินมากมาย พูดออกไปก็ไม่มีใครเชื่อว่าพวกเจ้าอยากได้สินเดิมของนาง คงจะคิดว่าพวกเจ้ากำลังช่วยเหลือคุณหนูสิบอยู่”
สกุลญาติของสกุลหวังบอกว่าสือเหนียงดวงกินสามีจะให้นางย้ายไปอยู่ที่วัด แล้วยังบุกเข้าไปเอาของของสือเหนียง…คุณนายใหญ่เป็นห่วงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่หากเป็นเช่นนี้ สกุลสวีอาจจะต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทำความดีไม่ต้องการสิ่งตอบแทน แต่ก็จะทำให้พวกเขาเดือนร้อนไม่ได้
สืออีเหนียงพึมพำ “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้ามีวิธีหนึ่ง ท่านลองดูว่าเหมาะสมหรือไม่” จากนั้นก็พูดว่า “บอกว่าสือเหนียงเขียนจดหมายไปให้ตรอกกงเสียน บอกว่าไม่สบาย ไม่มีป้ารับใช้ที่เป็นบ่าวรับใช้อาวุโส จึงอยากให้ส่งคนมาสอนจินเหลียนและอิ๋นผิง ข้าจะช่วยหาท่านป้าที่เหมาะสมไปให้สองสามคน หากใครกล้าทำอะไรเหลวไหล ก็จัดการได้เลย ข้าไม่เชื่อว่ายังจะหยุดคนพวกนั้นไม่ได้”
“เป็นความคิดที่ดี!” คุณนายใหญ่ชื่นชม
ตนก็เคยคิดเช่นนี้ แต่ว่าหนึ่งคือสกุลหลัวไม่ใช่คนพื้นเพ คนที่ติดตามมาด้วยก็มีไม่มาก จะหาคนไปให้สือเหนียงได้เช่นไร สองคือยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ ท่านป้าเช่นนั้นต้องเป็นคนที่มีรูปร่างใหญ่ แล้วยังต้องแข็งแรง แต่ถ้าหากไม่รู้รากเหง้าของพวกนาง บางทีอาจจะเป็นหัวขโมยซะเอง เช่นนั้นก็เป็นการชี้โพรงให้กระรอก ได้ไม่คุ้มเสีย สามคือคิดว่าสืออีเหนียงมีแม่สามีแล้วยังมีลูกๆ กลัวว่ายืมคนจากนางจะทำให้นางลำบากใจ ตอนนี้สืออีเหนียงเป็นคนเสนอขึ้นมาเอง เช่นนั้นนางต้องมั่นใจพอสมควรว่าสามารถช่วยสือเหนียงได้โดยที่ไม่ต้องลากคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้อง แน่นอนว่านางจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก
“ในเมื่อพี่สะใภ้ใหญ่เห็นด้วย ท่านคิดว่าเราจะส่งคนไปกี่คนดีเจ้าคะ” สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พรุ่งนี้ข้าจะให้ป้าเถาส่งไปให้ สำหรับเงินเดือน ข้ารับผิดชอบเองเจ้าคะ”
“เรื่องของสกุลหลัว จะให้เจ้าออกเงินได้เช่นไร” คุณนายใหญ่ยิ้ม “ข้าจ่ายเงินเดือนเอง!”
สืออีเหนียงครุ่นคิด “ก็ได้เจ้าค่ะ รับเงินเขาก็ต้องทำงานให้เขา รับเงินจากสกุลกลัว จะได้ใช้งานพวกนางอย่างสมเหตุสมผล”
แต่ในใจกลับพูดว่า ต้องไปลงมือลงแรงทำงานหนัก ต่อไปหากมีเรื่องอะไรอีกใครจะยอมไป ไม่สู้ให้พวกนางรับน้ำใจจากสกุลหลัว ให้คิดว่าหากทำธุระให้ตนก็จะไม่มีทางเสียเปรียบอย่างแน่นอน
พวกนางพูดคุยรายละเอียดกันอีกสักพัก คุณนายใหญ่เห็นว่าสายแล้วจึงลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงรู้ว่านางยังต้องกังวลเรื่องของครอบครัว จึงบอกให้หู่พั่วนำผ้าออกมาสองสามผืน “สีแดงสองผืนนี้ให้พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้สี่ สีฟ้าให้อี๋เหนียงสาม อี๋เหนียงห้าและอี๋เหนียงหก ส่วนสีเหลืองให้อี๋เหนียงห้าไว้ใช้ตัดเสื้อผ้าตัวเล็กๆ เจ้าค่ะ”
คุณนายใหญ่ก็ไม่ได้เกรงใจ บอกให้ป้าหังเก็บของเอาไว้ ไปคารวะไท่ฮูหยินที่เรือนแล้วก็ออกไปที่ประตูฉุยฮวากับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงรีบเรียกป้าเถามา บอกให้นางหาป้ารับใช้ที่รูปร่างใหญ่สองสามคนไปที่ตรอกกงเสียนพรุ่งนี้เช้า บอกฮูหยินสามว่าสกุลหลัวต้องการคนไปช่วยงานสักสองสามวัน หลังจากเจอกับท่านป้าสองสามคนนั้นแล้ว เรื่องแรกก็คือบอกพวกนางเรื่องเงินเดือนอย่างชัดเจน
เมื่อทุกคนได้ยินว่าได้เงินเดือนจากสกุลสวีเหมือนเดิม แล้วยังได้เงินจากสกุลหลัวอีก แต่ละคนก็พากันยิ้มหน้าบาน ตบหน้าอกแล้วบอกว่าจะดูแลสือเหนียงให้ดี ไม่มีทางให้คนสกุลหวังรังแกนางได้อย่างแน่นอน