สืออีเหนียงทานข้าวมาแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้ารอสวีลิ่งอี๋กลับมาแล้วจะไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋กลับมา นางก็ต้อนรับเขาไปนั่งที่เตียงเตาในห้องข้างใน ยกน้ำชาให้เขา จากนั้นก็รับใช้อยู่ข้างๆ นางพูดเบาๆ “พี่ใหญ่เล่าให้เท่าฟังแล้วหรือเจ้าคะ”
“เล่าแล้ว” สวีลิ่งอี๋จิบชา “เจิ้นซิ่งกังวลว่าเรื่องมันจะบานปลาย บอกให้สือเหนียงไปอยู่ที่เรือนนอกกับผู้ติดตาม ข้าคิดว่ามันไม่ใช่ไม่มีทางออก แต่ว่าจะรีบร้อนไม่ได้”
เรื่องที่จะให้สือเหนียงไปอยู่ที่เรือนนอกกับผู้ติดตามสืออีเหนียงพึ่งจะได้ยิน แล้วก็ได้ยินสวีลิ่งอี๋พูดเป็นนัยนางจึงพูดว่า “ท่านโหวมีแผนอยู่แล้วหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าได้ยินเจิ้นซิ่งบอกว่า เม่ากั๋วกงตกใจจนกลายเป็นคนซื่อบื้อ พูดประโยคหนึ่งต้องพูดซ้ำหลายๆ ครั้ง ถามไปห้าประโยคก็ตอบไม่ได้สักประโยค คนที่คอยดูแลเขาตอนนี้คือหลานๆ สองสามคน ทุกคนล้วนแต่จ้องที่จะตะครุบ ราวกับกลัวว่าเม่ากั๋วกงจะไม่มีใครสนใจ พวกเขาเห็นว่ามันไม่ใช่ที่ที่จะพูดเรื่องนี้ นั่งอยู่ครู่หนึ่งจึงขอตัวลา บอกว่าพวกเจ้าไปเจอกับเจียงฮูหยินที่ลานข้างหลัง เจียงฮูหยินเสนอเงื่อนไข แต่รูปธรรมเป็นเช่นไร ไม่ได้พูดละเอียด เจ้าเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังเถิด”
สืออีเหนียงตอบรับ เดินเข้าไปนั่งตรงข้ามสวีลิ่งอี๋แล้วเล่าให้เขาฟังอย่างละเอียด
“หากเป็นเช่นนี้ก็ยุ่งยาก” สวีลิ่งอี๋พึมพำ “เดิมทีข้าคิดว่าสกุลเจียงจะมาหาข้าเพราะว่าเรื่องของทายาทสืบทอดตำแหน่ง คิดไม่ถึงว่าพวกเขาอยากจะยืมมือข้าจัดการเริ่นคุน แล้วเหล่าสกุลญาติก็ยังคิดไม่เหมือนเจียงฮูหยิน เกรงว่าคงต้องคิดให้ดี”
สืออีเหนียงพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนี้เจ้าค่ะ ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงทำเป็นฟังไม่เข้าใจที่เจียงฮูหยินพูด แม้แต่เรื่องที่ท่านลาออกแล้วข้าก็ไม่ได้บอกกล่าวกับนาง”
“เจ้าไม่ปริปากพูดอะไรก็ดี” สวีลิ่งอี๋พูด “เรื่องที่ข้าลาออก สองสามวันนี้ก็คงจะแพร่กระจายไปทั่วเยี่ยนจิง รอดูว่าสกุลหวังจะทำเช่นไรแล้วค่อยว่ากัน ช่วยคนอื่นเป็นเรื่องที่ดี แต่จะช่วยสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”
สืออีเหนียงคิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่หลีกเลี่ยงหรือไม่ลำบากใจเช่นนี้ จึงตกใจ ครุ่นคิดแล้วพูดว่า “สถานการณ์ของสกุลหวังตอนนี้ หากต้องการรักษาตำแหน่งเอาไว้ ควรจะทำเช่นไรเจ้าคะ”
“ต้องผ่านด่านกรมพิธีกรรมก่อน” สวีลิ่งอี๋พูด “หากมีคนในกระทรวงขุนนางภายในคอยพูดให้ก็จะดียิ่งขึ้น จากนั้นก็ต้องดูความคิดของฮ่องเต้ ปกติแล้ว หากกรมพิธีกรรมเห็นด้วย ฮ่องเต้ก็จะไม่คัดค้าน แต่บางครั้งมันก็อาจจะเปลี่ยนไป สมัยฮ่องเต้องค์ก่อน เว่ยกั๋วกงและหลินชวนโหวถูกยึดตำแหน่ง เว่ยกั๋วกงเพราะว่าบุตรของภรรยาเอกเสียชีวิต กรมพิธีเขียนฎีกาบอกให้บุตรอนุสืบทอดตำแหน่งแทนจึงถูกคัดค้าน หลินชวนโหวเพราะว่าไม่มีบุตรชาย อยากรับบุตรของน้องชายมาเป็นบุตรบุญธรรมจึงถูกคัดค้าน ที่สำคัญคือต้องดูว่าตอนนั้นฮ่องเต้ทรงอารมณ์แจ่มใสหรือไม่”
สืออีเหนียงคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่
“หากท่านลำบากใจ ท่านก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งเจ้าค่ะ ย้ายไปอยู่ที่เรือนนอกก็ไม่เลว” นางนึกถึงรูปร่างที่ผอมแห้งแรงน้อยของสือเหนียง “บางทีนางอาจจะมีความสุขมากกว่า”
พูดตามตรง ตนคิดว่าหากหลัวเจิ้นซิ่งเต็มใจที่จะเลี้ยงดูนาง ก็ให้สือเหนียงย้ายไปอยู่ที่เรือนนอกกับผู้ติดตามคงดีว่าอยู่ที่จวนสกุลหวังเสียอีก สำหรับเรื่องในภายภาคหน้า…คนเราแค่ผ่านชีวิตนี้ไปได้ก็ไม่เลวแล้ว สำหรับชาติหน้าจะมีหรือไม่ยังไม่มีใครรู้ ไม่จำเป็นต้องทิ้งชีวิตที่อยู่ตรงหน้าไปเพียงเพระเรื่องที่ยังไม่รู้
“พูดจาเหลวไหล!” สวีลิ่งอี๋เห็นนางพูดเช่นนี้กับตัวเอง เขาก็รู้สึกอุ่นใจ ถึงแม้ว่าจะพูดตำหนิออกมา แต่น้ำเสียงกลับไม่มีความโมโหเลยแม้แต่น้อย แล้วยังมีน้ำเสียงของความรักและเอ็นดู “จะให้สือเหนียงย้ายไปอยู่ที่เรือนนอกกับผู้ติดตามได้เช่นไร นางคือภรรยาเอกของหวังหลัง ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็นพี่สาวของเจ้า หากนางมีชีวิตที่ดี เจ้าก็จะได้มีคนคอยช่วยเหลือ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง เจ้าไม่ต้องกังวล”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่นในใจ
สือเหนียงจะคอยช่วยเหลือตน?
แค่นางไม่ทำให้ตัวเองลำบากใจก็พอแล้ว!
พูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็ลุกขึ้นยืน “สายแล้ว เราไปคารวะท่านแม่แล้วกลับมาพักผ่อนเถิด”
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบรับ ช่วยสวีลิ่งอี๋สวมเสื้อคลุมแล้วไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
นางให้หู่พั่วไปรายงานไท่ฮูหยินตั้งนานแล้ว ไท่ฮูหยินจึงรู้แล้วว่าหลัวเจิ้นซิ่งและเฉียนหมิงมาที่นี่ สืออีเหนียงจึงต้องรับใช้พวกเขาทานข้าว เมื่อเห็นว่าพวกเขาเดินมาก็รีบถามถึงสถานการณ์
สวีลิ่งอี๋เล่าให้นางฟังอย่างสั้นกระชับ แต่กลับไม่เล่าเรื่องความต้องการของเจียงฮูหยินและแผนการของหลัวเจิ้นซิ่ง ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจแล้วพูดกับสืออีเหนียง “วาสนาทำให้เราได้มาเจอกัน ยิ่งไปกว่านั้นนางคือพี่สาวของเจ้า สือเหนียงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางตรอกกงเสียนหรือว่าจวนเม่ากั๋วกง หากมีเรื่องอะไรเจ้าก็ไปช่วยเถิดก็ให้สาวใช้มารายงานข้าก็พอแล้ว แค่ให้ข้ารู้ว่าเจ้าไปทำอะไร ข้าจะได้ไม่เป็นห่วง”
สืออีเหนียงซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของไท่ฮูหยิน นางขอบเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยิน พูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นก็ขอตัวออกมากับสวีลิ่งอี๋
ระหว่างทางกลับก็บังเอิญเจอกับสวีลิ่งควน
เขายืนอยู่บนทางเดินที่พวกเขาจะต้องเดินผ่าน
เมื่อเห็นพวกเขาสองคนจากระยะไกล ก็รีบเดินเข้ามา
“พี่สี่ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน” เขาไม่ปิดบังสืออีเหนียง เดินไปกับสวีลิ่งอี๋แล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าคนที่ฆ่าหวังหลังคือบ่าวรับใช้ของเริ่นคุน วันนี้ข้าไปสืบมาแล้ว บิดามารดาของบ่าวรับใช้คนนั้นตายไปตั้งแต่เขายังเด็ก มีน้องสาวแค่คนเดียว ทำงานอยู่ที่โรงเย็บปักถักร้อยจวนสกุลเริ่น หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น น้องสาวของบ่าวรับใช้คนนั้นก็หายตัวไปทันที ข้าไปสืบมาแล้ว นางถูกส่งตัวไปที่มณฑลไคเฟิง”
“ส่งไปที่มณฑลไคเฟิง?” สวีลิ่งอี๋หยุดเดินแล้วมองไปที่สวีลิ่งควนด้วยสีหน้าที่ตกใจ “เจ้ารู้ได้เช่นไร”
“เสือมีถ้ำเสือ งูมีรูงู” สวีลิ่งควนเลิกคิ้วด้วยภาคภูมิใจ “เยี่ยนจิงกว้างแค่ฝ่ามือ เงยหน้าไม่เห็นสิ่งใดแต่ก้มหน้านั้นเห็นกันทุกคน คนที่ข้ารู้จักก็มีคนที่รู้จักเริ่นคุน”
สวีลิ่งอี๋นึกถึงเรื่องสองสามวันที่ผ่านมา…เขามองน้องชายคนนี้เปลี่ยนไปแล้ว ยิ้มแล้วตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ “ไม่ธรรมดา!”
สวีลิ่งควนยิ้มแล้วพูดเบาๆ “พี่สี่ ข้าได้ยินมาว่า สกุลเริ่นส่งตัวน้องสาวของบ่าวรับใช้คนนั้นไปเป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลเศรษฐีตระกูลหนึ่งที่มณฑลไคเฟิง แม้แต่ชื่อแซ่ก็เปลี่ยนแล้ว”
สวีลิ่งอี๋เบิกตากว้าง แล้วทำสีหน้าฉงน
“จริงขอรับ” สวีลิ่งควนเห็นว่าพี่ชายมีท่าทีไม่เชื่อ ก็รีบเอ่ยยืนยัน “เริ่นคุนเป็นคนพูดออกมาเอง เพื่อให้ทุกคนรู้ว่าคนที่อยู่กับเขา เขาจะดูแลเป็นอย่างดี แล้วยังไม่กลัวคนอื่นรู้ เขาทำเช่นนี้ก็เพื่อให้บ่าวรับใช้คนนั้นสบายใจ วิธีนี้ของเขาได้ผลจริงๆ ว่ากันว่าศาลว่าการทรมานเขาขนาดไหน บ่าวรับใช้คนนั้นก็ไม่ยอมพูด ตอนนี้คนในเยี่ยนจิงล้วนแต่บอกว่า เริ่นคุนรู้จักใช้คน เป็นคนโหดเหี้ยม”
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสวีลิ่งควน “บอกมาเถิดว่าเริ่นคุนส่งคนมาบอกอะไรเจ้า”
สวีลิ่งควนได้ยินเช่นนี้ก็สะดุ้งโหยง “พี่สี่ ข้าไม่ได้รับปากอะไรเขาทั้งนั้นจริงๆ ขอรับ ไม่ได้รับปากอะไรทั้งสิ้น” เขาโบกมือซ้ำๆ แต่สายตากลับมองไปที่สืออีเหนียง
“พี่สะใภ้ของเจ้าไม่ใช่คนนอก มีเรื่องใดก็ให้รีบพูด ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่สนใจเรื่องนี้”
สวีลิ่งควนหัวเราะ
“เริ่นคุนบอกว่า ก่อนจะตัดสินคดีเขาจะอยู่ที่วัดจั่งชุน หากพี่สี่จะไปหาเขา เขาก็ยินดีต้อนรับเสมอ” พูดจบก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น “แล้วยังบอกว่า หากมีโอกาสอีกครั้งเขาก็จะทำเหมือนเดิม…”
เป็นคำพูดที่หยิ่งทะนง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็พลันรู้สึกขนลุก
แผลมีดยี่สิบเจ็ดแผล แต่ละแผลแทงเข้าที่จุดสำคัญ ให้บ่าวรับใช้เป็นแพะรับบาป ส่วนตัวเองลอยนวลอย่างสบายใจ จัดการน้องสาวของบ่าวรับใช้อย่างเปิดเผย เมื่อเทียบกับการตายของหวังหลังแล้ว บอกคนอื่นว่านี่คือจุดจบของคนที่ทรยศตัวเองและคนที่จงรักภักดีต่อตัวเอง ให้สวีลิ่งควนมารายงานสวีลิ่งอี๋ บอกสวีลิ่งอี๋เป็นนัยว่า เขารู้ความแข็งแกร่งของสกุลหวังเป็นอย่างดี หากสวีลิ่งอี๋อยากจะออกหน้าแทนสกุลหวัง เขาใช่ว่าจะไม่มีการเตรียมการ สำหรับประโยคสุดท้ายที่บอกว่ารอสวีลิ่งอี๋อยู่ที่วัดจั่งชุน คือการตอกย้ำเพื่อบอกสวีลิ่งอี๋ว่า ไม่ว่าสุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ไม่หวั่นกลัว
เด็ดเดี่ยว มั่นใจ แน่วแน่ ครบถ้วนทุกอย่าง
คนเช่นนี้ จะไม่หวั่นกลัวได้เช่นไร
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็หยุดเดิน
เขาถามสวีลิ่งควนด้วยสีหน้าที่เป็นมิตร “น้องห้า เจ้ากับเริ่นคุนสนิทสนมกันหรือไม่”
สวีลิ่งควนไม่เข้าใจความหมายของสวีลิ่งอี๋ เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ไม่เคยไปมาหาสู่กันโดยตรง แต่ว่า หากพี่สี่มีเรื่องอันใดให้ข้าช่วย ข้าก็พอพูดให้ได้”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ เขามองไปที่สวีลิ่งควนด้วยสายตาที่เคร่งขรึม “ต่อไปเจ้าอยู่ให้ห่างจากเขาสักหน่อย คนคนนี้ โหดเหี้ยมเกินไป”
สวีลิ่งควนตกใจ
สวีลิ่งอี๋อธิบาย “เจ้าดูวิธีฆ่าคนของเขา สะอาดหมดจด แล้วดูแผนการของเขา กล้าหาญและรอบคอบ ไม่ปฏิเสธเรื่องที่ตัวเองฆ่าหวังหลัง บอกคนอื่นว่า คนที่ทรยศเขา ถึงแม้ว่าจะถูกเขาฆ่าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ แล้วยังจัดการบ่าวรับใช้ของตัวเอง บอกคนอื่นว่า คนที่จงรักภักดีต่อเขา ถึงแม้ว่าจะตายไปแล้วแต่ครอบครัวก็จะเจริญรุ่งเรือง วางแผนอย่างรอบคอบ แล้วก็ให้เจ้ามารายงานข้า ยอมรับตรงๆ ทำท่าทีว่ากล้าทำก็กล้ารับและตรงไปตรงมา น้องห้า คนแบบนี้ จิตใจลึกลับโหดเหี้ยม รู้จักแค่ผิวเผินก็พอแล้ว”
สวีลิ่งควนก้มหน้าลงไตร่ตรองคำพูดของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าน้องชายของตัวเองจริงจังมากกว่าแต่ก่อน สายตาของเขาก็มีรอยยิ้ม ตบไหล่สวีลิ่งควนเบาๆ “ดึกแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด”
สวีลิ่งควนพยักหน้าแล้วพูดอย่างลังเล “แล้วเรื่องของหวังหลัง เรายังจะสนใจอยู่หรือไม่ขอรับ”
“ถึงแม้ว่าจะสนใจ แต่ก็จะไปติดกับดักเองไม่ได้” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ต้องรู้ก่อนว่าเขาต้องการอะไร หากคนอื่นใช้ไหล่มาเกาต้นขาให้เจ้าจะมีประโยชน์อันใด”
พูดจนสวีลิ่งควนหัวเราะ “ข้าฟังพี่สี่ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ไปพักผ่อนเถิด! หากมีอะไรข้าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้า”
สวีลิ่งควนคำนับสืออีเหนียงแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
สวีลิ่งอี๋มองแผ่นหลังของเขาแล้วถอนหายใจ “ใครจะรู้ว่าน้องห้าก็มีวันที่รู้ความเช่นนี้”
สืออีเหนียงปิดปากยิ้ม
พวกเขาสองคนเดินไปที่เรือนของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋พูดกับสืออีเหนียง “ในเมื่อเริ่นคุนกล้าทำเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะมีแผนอยู่แล้ว เมื่อก่อนเราอยากทำตัวเป็นผู้สร้างสันติ ยังกลัวว่าเจียงฮูหยินจะไม่รับปาก จะคิดว่าเราสนใจแต่สือเหนียงไม่สนใจหวังหลัง ตอนนี้ดูเหมือนว่า เกรงว่าเจียงฮูหยินคงจะไม่รับปากไม่ได้แล้วกระมัง สองสามวันนี้เจ้าอย่าพึ่งออกไปข้างนอก พักผ่อนอยู่ที่เรือนเถิด หากไม่มีสิ่งใดทำก็เย็บปักถักร้อย คอยเลี้ยงดูเด็กๆ ปล่อยให้เจียงฮูหยินได้เจอกับตัวเสียบ้าง เมื่อข่าวที่ข้าลาออกจากตำแหน่งเผยแพร่ออกไปแล้ว นางก็คงจะหยุดเอง ถึงตอนนั้นเราจะได้เจรจาเงื่อนไขกับสกุลหวัง”
ได้ยินเขาพูดถึงเรื่องของเด็ก สืออีเหนียงจึงถือโอกาสพูดเรื่องต่อเติมเรือนกับเขา “…ท่านไม่มีอะไรทำพอดี ไม่สู้ตัดสินใจเรื่องนี้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
ต่อเติมเสียบ้าง จะได้มีบรรยากาศใหม่ๆ
สวีลิ่งอี๋ก็สนใจเรื่องนี้ “ได้สิ พรุ่งนี้ข้าจะไปปรึกษากับพ่อบ้านไป๋ ดูว่าเพิ่มลานอีกสักลานหนึ่งได้หรือไม่ ต่อไปเด็กๆ ก็คงจะเยอะขึ้น”
สืออีเหนียงพูดไม่ออก