ความคิดนั้นอยู่ได้ไม่นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังออกมาจากกระเป๋า อินซอบมองชื่อของคนที่โทรศัพท์เข้ามาและรีบรับสาย
“ฮัลโหลครับ”
[นี่บริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งความหวังนะครับ สะดวกคุยไหมครับ]
นี่เป็นสายที่เขารอคอย
“ครับ สะดวกครับ”
อินซอบตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส
[ผมลองโทรศัพท์ไปหาเจ้าของบ้านมาน่ะ แต่เขาถามว่าสามารถมาเจอกันวันนี้ได้ไหม]
“ครับ? วันนี้เหรอครับ ไม่ใช่ว่าเขากลับประเทศวันนี้เหรอครับ”
[ใช่ เขากลับประเทศวันนี้ แต่เห็นว่าเป็นบ้านของลูกสาวที่เกาะเชจูน่ะ และจะไปที่นั่นเช้าวันพรุ่งนี้ ให้ตายเถอะ]
เจ้าของบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เดาะลิ้นราวกับจะบอกว่าไม่อยากจะเชื่อเลย
[ดังนั้นที่จะบอกก็คือเดี๋ยวตอนเย็นมาเจอกันสักหน่อยได้ไหม แค่หนึ่งชั่วโมงก็น่าจะได้]
“ขอโทษครับ ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่ได้ เพราะผมมีงานที่สำคัญมากๆ”
[งั้นสักสามสิบนาทีได้ไหม แค่เจอกันแป๊บเดียวจริงๆ ไม่ใช่เรื่องพิถีพิถันอะไรหรอก เพราะตาแก่ที่มีวิธีเฉพาะตัวนั่นต้องเห็นหน้าด้วยตัวเองก่อนถึงจะอนุญาตให้ทำสัญญาน่ะ]
“…แต่วันนี้คงจะไม่ได้จริงๆ ครับ”
ท่ามกลางวันมากมายที่ทำได้ ทำไมต้องเป็นวันนี้ด้วยนะ ถึงจะเสียดาย แต่ก็คงต้องหาบ้านหลังอื่น แม้ว่าเขาจะสงสัยว่าจะมีบ้านที่เงื่อนไขในเรื่องของราคาและทำเลที่ตั้งแบบนั้นโผล่ออกมาหรือเปล่า
[โอ๊ย งั้นก็คงจะไม่ได้แล้วล่ะ]
“ขอโทษนะครับ คุณทำงานหนักเพื่อผมแท้ๆ ถ้ามีบ้านหลังอื่นเสนอขาย ช่วยติดต่อมาด้วยนะครับ”
[ได้ แต่นักเรียน อย่าคาดหวังมากเกินไปนะ]
“ขอบคุณครับ”
อินซอบเอ่ยขอบคุณอย่างสุภาพก่อนจะวางสาย พอความคาดหวังที่พุ่งขึ้นมาพังทลายลง เท้าของเท้าก็หนักขึ้น
งั้นเราคงต้องอยู่ที่โมเต็ลไปอีกสักพัก
ความเศร้าหมองเอ่อล้นขึ้นมาในดวงตากลมโตของอินซอบ เมื่อวานเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ จากห้องที่ไม่รู้ว่าเป็นห้องข้างบน ห้องข้างล่าง หรือห้องข้างๆ ตลอดทั้งคืน และไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสนิท
“สู้ๆ”
มันเป็นเรื่องใหญ่อะไรกัน
อินซอบพยายามปลุกใจตัวเองพร้อมกับเดินลงบันไดไป เขาเจอเครื่องขายของอัตโนมัติตั้งอยู่ตรงมุมทางเดิน จึงวิ่งรวดเดียวเข้าไป
“กาแฟ กาแฟ…”
เขาใส่เงินเข้าไปก่อน และใช้สายตามองหากาแฟกระป๋อง กาแฟกระป๋องมีอยู่ด้วยกันห้าแบบ ในระหว่างที่เขาคิดว่าจะต้องเลือกแบบไหนดี ใครบางคนก็ใช้หมัดต่อยปุ่มเครื่องขายของอัตโนมัติมาจากทางด้านหลัง
“อ๊ะ…”
พออินซอบหันหลังไปมองด้วยความตกใจ ใบหน้าที่คุ้นเคยก็ยืนยิ้มอย่างมีเลศนัยให้
“แต๊งกิ้ว จะดื่มอย่างดีเลย”
คังยองโมว่าพลางหยิบกระป๋องเครื่องดื่มมาจากช่องปล่อยของ อินซอบรู้สึกเป็นทุกข์ แม้จะคิดว่าคงจะได้เจอกันอีกในสักวัน แต่เขาไม่รู้ว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้
“สวัสดีครับ”
อินซอบซ่อนความรู้สึกไม่สบายใจไว้ และทักทายอย่างสุภาพ
“อืม สวัสดิ์ไม่ดีหรอกนะ เพราะใครบางคนน่ะ”
“…”
อินซอบไม่ตอบ และใส่แบงก์เข้าไปในเครื่องขายของอัตโนมัติอีกครั้ง
“ได้รับกระถางต้นไม้ที่ฉันส่งไปไหม มันแพงมากเลยนะ”
“…ได้รับแล้วครับ”
ท้ายที่สุดต้นไม้นั้นอินซอบก็ต้องเป็นคนเลี้ยง เขาเจอก้นบุหรี่หลายอันอยู่ในดินในขณะที่ย้ายกระถางต้นไม้ และก็ได้รู้สึกจริงๆ ว่าคนในบริษัทเกลียดคังยองโมมากขนาดไหน แม้ความเกลียดที่มีต่อคังยองโมจะไม่เปลี่ยนแปลงไป แต่อินซอบก็ไม่สามารถรังแกต้นไม้ได้
“อีอูยอนรับกระถางต้นไม้ไปแล้วไม่พูดอะไรสักคำเลยเหรอ เด็กๆ สมัยนี้ไม่ค่อยมีมารยาทเลยนะ อย่างที่สมัยเราจินตนาการไม่ถึงเลยล่ะ”
อินซอบไม่คิดอีกต่อไป เขากดเลือกกาแฟกระป๋องทุกประเภทอย่างละกระป๋องตามลำดับ กาแฟกระป๋องเย็นๆ หล่นลงมาตรงช่องทางรับของพร้อมกับเสียงดังตุบ อินซอบหยิบกาแฟขึ้นมาทีละกระป๋องตามลำดับและเอาใส่กระเป๋า
เขาไม่อยากพูดคุยกับคังยองโมต่อ
“อย่าบอกนะว่าวันนี้อีอูยอนมาที่นี่ด้วย?”
อินซอบที่กำลังจะเดินไปชะงัก และหยุดยืนอยู่กับที่ ไม่มีใครไม่รู้ว่าอีอูยอนเป็นผู้เข้าชิงรางวัลใหญ่ที่คาดว่าจะได้รับรางวัล แต่คังยองโมกลับพูดเหมือนการที่อีอูยอนเข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก
“มีเหตุผลที่มาไม่ได้ด้วยเหรอครับ”
“โอ้ ก็ต้องไม่มีเหตุผลที่มาไม่ได้อยู่แล้วสิ”
คังยองโมเล่นใหญ่และโบกมือปฏิเสธ จากนั้นเขาก็เปิดกระป๋องและดื่มกาแฟเข้าไปอึกหนึ่งก่อนจะยิ้มกว้าง
“ก็แค่เป็นห่วงนิดหน่อยในฐานะรุ่นพี่เท่านั้นเอง ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เขาเกลียดการสนทนาด้วยวิธีแบบนี้มาก แต่อินซอบก็ไม่ได้แสดงออกว่าเกลียด และถามกลับไปว่า “คุณพูดถึงเรื่องอะไรอยู่เหรอครับ” อย่างสุขุม
“ก็พูดถึงข่าวลือที่ออกมากับแชยอนซอไง ที่ว่าทั้งคู่ตกหลุมรักกันจริงๆ น่ะ”
อินซอบเหมือนจะหัวเราะว่าพูดมาได้
“คนเขาก็รู้เรื่องที่สองคนนั้นคบกันจากการออกข่าวและลงหนังสือพิมพ์แล้วนี่ครับ”
“ไม่ ไม่ ที่บอกว่าตกหลุมรักกัน ‘จริงๆ’ น่ะ”
คังยองโมประกบมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันจนเกิดเสียง และทำท่าทางหยาบคาย
“เห็นว่าท้องได้สี่เดือนแล้วมั้ง?”
เรื่องนั้นเป็นข่าวโคมลอยขึ้นชื่อที่พัวพันอยู่กับสองคนนั้น
“ถ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
อินซอบหันหลัง
“ตอนนี้ผู้อำนวยการอีน่าจะโกรธจนไม่ลืมหูลืมตาเพราะรูปนั้นนะ คงจะคิดว่าทำให้ตัวเองดูเป็นคนโง่น่ะ เดิมทีเขามีนิสัยโมโหง่ายอยู่แล้ว”
“พูดถึงรูปอะไรเหรอครับ”
คำว่ารูปทำให้อินซอบเผลอกระวนกระวายใจและพูดเสียงสั่นโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นความผิดพลาด เพราะเขาจะต้องไม่แสดงปฏิกิริยาอะไรเลย
“รูปที่เดินเข้าโรงแรมไง นักข่าวที่ฉันรู้จักดีบอกว่าเพื่อนของเขาถ่ายไว้ได้ ดูเหมือนว่าจะมีบรรณาธิการอะไรสักอย่างห้ามไว้อยู่ ก็เลยยังไม่ได้ลงข่าว การปล่อยข่าวออกมาก็เป็นเรื่องของเวลาล่ะมั้ง?”
“…”
“อีอูยอนเนี่ยถึงจะดูไม่เป็นอย่างนั้น แต่ก็เป็นพ่อหนุ่มคลั่งรักคนหนึ่งเลยนี่ เพราะอย่างนั้นก็เลยโมโหถึงขนาดนั้นตรงถนนเหรอ ก็ผู้หญิงที่ตั้งท้องลูกของตัวเองโดนด่านี่นะ ถ้าอยู่เฉยๆ ได้ก็โง่แล้ว”
คังยองโมโยนกระป๋องเปล่าลงถังขยะหลังจากที่ดื่มเครื่องดื่มเสร็จ
“ตอนนี้สองคนนั้นก็คงจะต้องประกาศแต่งงานกันอย่างไม่มีทางเลือกแล้วล่ะ ฉันไม่รู้นะว่ากับอีอูยอนจะเป็นยังไง แต่รูปภาพที่เดินเข้าโรงแรมเป็นอะไรที่รุนแรงมากสำหรับนักแสดงหญิง เขาจะใช้คำพูดแสดงความรู้สึกตอนรับรางวัลเป็นคำขอแชยอนซอแต่งงานใช่ไหม”
“…อย่างนั้นเหรอครับ”
อินซอบตอบกลับราวกับเป็นเครื่องจักร
“แต่วันนี้โปรดิวเซอร์อีชอลฮวานน่าจะมาเป็นผู้มอบรางวัลใหญ่นะ อีอูยอนจะกลัวหรือว่าจะสมองช้าหรือเปล่า สองคนนั้นน่าจะถูกจับถ่ายรูปคู่เยอะอยู่นะ”
วันนี้แชยอนซอเองก็เป็นผู้เข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด เรื่องการคบกันของนักแสดงระดับแนวหน้าสองคนก็เป็นเรื่องที่ผู้คนชอบที่สุด และก็ไม่มีทางที่กล้องจะอยู่เฉยๆ กับเรื่องนั้น
“ด้วยนิสัยของอีชอลฮวานแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะอดทนต่อการเสียศักดิ์ศรีในวันนี้ได้หรอก ก็คงจะไม่มีผลงานอะไรไปสักพักหนึ่งล่ะนะ ฮ่าๆๆ”
อีชอลฮวานไม่ใช่ผู้อำนวยการฝ่ายละครธรรมดา และคังยองโมที่เคยเจอกับอำนาจนั้นก็รู้ดีกว่าใคร
“ฝากไปบอกอีอูยอนด้วยล่ะว่า ‘ยินดีด้วยสำหรับรางวัลใหญ่’”
คังยองโมตบบ่าอินซอบก่อนจะจากไป
อินซอบยืนกะพริบตาอย่างเหม่อลอย
ทำไมทั้งสองคนถึงไปที่โรงแรม…
“ไม่”
อินซอบรีบส่ายหน้า และสำนึกผิดกับตัวเองที่หวั่นไหวไปตามคำพูดของคังยองโม ไม่มีทางที่อีอูยอนจะทำแบบนั้น เขาจะต้องแก้ไขนิสัยที่มักจะระแวงกับเรื่องไม่เป็นเรื่องในเร็ววัน…
อินซอบหยุดเดิน
“รูป…”
หากนึกถึงเรื่องที่คังยองโมพูดเกี่ยวกับอีอูยอนแล้ว เขาควรจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แต่กลับกังวลใจกับคำว่ารูปถ่ายเป็นพิเศษ ผู้จัดการส่วนตัวจะต้องเตรียมพร้อมในทุกสถานการณ์
อินซอบครุ่นคิดและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แม้จะมีนักข่าวที่ตนมีเบอร์โทรศัพท์ติดต่ออยู่ แต่ผู้จัดการส่วนตัวของอีอูยอนก็ไม่สามารถโทรศัพท์ไปถามเกี่ยวกับรูปที่อาจจะมีหรือไม่มี คนที่เขาจะลองถามเรื่องแบบนี้ได้มีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
หัวใจเขาเต้นดังตึกตักในตอนที่สัญญาณโทรศัพท์ดัง เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองทำได้ดีแล้วหรือเปล่า
[ฮัลโหล]
“สวัสดีครับ ผมชเวอินซอบครับ”
[มีเรื่องอะไรเหรอคะ หรือว่าหาบ้านได้แล้ว]
อินซอบบอกกับยุนอารึมไว้ว่าถ้าหาบ้านใหม่ได้ เขาอยากจะพาจอห์นไปอยู่ด้วย แน่นอนว่ายุนอารึมกับพ่อของเธอตอบตกลงในทันที
“เปล่าครับ ดูเหมือนจะต้องใช้เวลาอีกหน่อย ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือผมขอรบกวนอะไรสักอย่างได้ไหมครับ ถ้าคุณไม่สะดวกใจจะปฏิเสธก็ได้นะครับ”
[เรื่องอะไรกันคะ เสียงถึงได้สั่นขนาดนั้น ไม่ได้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นใช่ไหมคะ]
แม้จะเอ่ยปากว่าขอรบกวน แต่ยุนอารึมก็เป็นห่วงอีกฝ่ายก่อน อินซอบรู้สึกน้ำตารื้น เพราะความอ่อนโยนของหญิงสาว
“ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือ…”
อินซอบหายใจลึกๆ
“ถ้ามีนักข่าวที่พอจะติดต่อได้ ช่วยถามอะไรบางอย่างให้หน่อยได้ไหมครับ”
[อืม เกี่ยวกับคุณอีอูยอนเหรอคะ]
เธออ่านสถานการณ์ออกได้เร็วอย่างที่คิด อินซอบรีบตอบว่า “ครับ” และพยักหน้า
[ผู้จัดการส่วนตัวคงไม่สามารถถามนักข่าวเองได้สินะคะ จะให้ถามเรื่องอะไรให้เหรอคะ]
“จะช่วยถามให้หน่อยได้ไหมครับว่าตอนนี้มีข่าวเกี่ยวกับคุณอีอูยอนที่ถูกเลื่อนการนำเสนอออกไปหรือเปล่า”
หากคำพูดของคังยองโมเป็นความจริง นักข่าวที่รู้ต้องมีมากกว่าหนึ่งคนอย่างแน่นอน
[แค่ถามว่ามีหรือไม่มีข่าวเฉยๆ ได้ไหมคะ]
“ครับ ผมอยากรู้แค่นั้นแหละครับ รบกวนด้วยนะครับ”
[ไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรเลยค่ะ พอเสียงของคุณอินซอบไม่สดใส ฉันก็รู้แล้วล่ะค่ะว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ]
“…ขอโทษนะครับที่เอาแต่รบกวนอยู่เรื่อย”
[ไว้ซื้ออาหารแพงๆ อร่อยๆ ให้ฉันด้วยนะคะ]
“ครับ ผมจะซื้ออาหารที่แพงและอร่อยให้แน่นอนครับ”
อินซอบรีบตอบ ยุนอารึมเอ่ยลาด้วยเสียงเจือหัวเราะจากปลายสายว่า “งั้นฉันจะติดต่อไปนะคะ”
อินซอบเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าหลังจากวางสาย แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าความกังวลไม่ได้ลดน้อยลงเลย อินซอบไม่ปล่อยมือออกจากโทรศัพท์เลยตลอดเวลาที่เดินขึ้นบันไดมา
เขาต้องคุยกับกรรมการผู้จัดการคิมก่อน แม้จะยังไม่ได้ยืนยัน แต่การรายงานถึงปัจจัยของความอันตรายนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เขายืนอยู่หน้าห้องพักรับรอง และกำลังจะเคาะประตู แต่ก็ได้ยินเสียงแหลมบาดหูมาจากด้านในเสียก่อน
“ทำไมคนที่ปกติฉลาดและมีไหวพริบเหมือนสุนัขจิ้งจอกถึงได้ทำอะไรโง่ๆ แบบนี้!”
อินซอบรีบมองไปรอบๆ โชคดีที่รอบข้างเสียงดัง และไม่มีคนจ้องมองมาทางนี้ เพราะกำลังเตรียมงานกันอยู่
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ”
คำตอบของอีอูยอนถูกตอบกลับมา น้ำเสียงของเขาสุขุมต่างจากกรรมการผู้จัดการคิมจนถึงขนาดที่หากไม่เข้าไปใกล้ประตูก็ไม่ได้ยิน
“ที่ว่าช่วยไม่ได้เนี่ย อะไรกันล่ะที่ช่วยไม่ได้ ตอนนี้มันยังไม่สายไปหรอกนะ ฉันจะกุเรื่องขึ้นมาเอง เพราะฉะนั้นในตอนที่ยังไม่ถูกกล้องจับ เรากลับกันเถอะ”
“ไปไหนล่ะครับ”
“ไม่คิดถึงอาชีพของนายบ้างเหรอ เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมประสาอะไรถึงได้ทำเรื่องให้ใหญ่ขึ้นขนาดนั้น!”
เลือดของอินซอบเย็นเป็นน้ำแข็งทันที
“ฮ่าๆๆ”
อินซอบได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของอีอูยอน เขาตั้งสติไม่ได้ และไม่สามารถเข้าไปได้ด้วย เพราะไม่รู้เลยว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ จึงได้แต่ยืนกะพริบตาอยู่อย่างนั้น
“พูดเรื่องที่อยากพูดเสร็จแล้วก็ควรจะกลับไปสิครับกรรมการผู้จัดการ”
เป็นน้ำเสียงที่นุ่มนวลทว่าเด็ดขาด
“ทำตามใจนายเลย! ต่อให้ข่าวออก ฉันก็จะไม่จัดการอะไรให้ทั้งนั้น!”
กรรมการผู้จัดการคิมตวาด และเปิดประตูพรวด คนทั้งคู่เผชิญหน้ากันโดยที่อินซอบไม่มีเวลาให้ซ่อนตัว
“…!”
ความลำบากใจปรากฏบนใบหน้าของกรรมการผู้จัดการคิมอยู่แวบหนึ่ง เขาปิดประตูก่อนเป็นอย่างแรก
เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างอีอูยอนกับแชยอนซอจริงๆ เหรอ เพราะอย่างนั้นกรรมการผู้จัดการคิมถึงมาหาถึงที่นี่เหรอ แม้ภายในหัวของอินซอบสับสนวุ่นวาย แต่เขาก็ยืนรอฟังคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมเงียบๆ
และหลังจากความเงียบที่กินเวลาไปครู่ใหญ่
“…ลำบากหน่อยนะ”
กรรมการผู้จัดการคิมเดินจากไปพร้อมกับคำพูดที่ปนเสียงถอนหายใจ ตอนที่อินซอบเงยหน้า กรรมการผู้จัดการคิมก็หายไปจากปลายทางเดินแล้ว