เฝิงจือรับคำออกไป กลับมาพร้อมกระดาษแดงและกรรไกร ลู่เจียวตัดดอกไม้แดงให้เด็กๆ
นางเพิ่งจะตัดดอกไม้แดงเสร็จ ลู่กุ้ยก็ค่อยๆ พาหลินตงเบียดกลุ่มคนเข้ามา
พอเขาเดินมาถึงข้างกายลู่เจียวก็รีบกระซิบเบาๆ ว่า “พี่เจียว พี่เขยเกิดเรื่องแล้ว”
สีหน้าลู่เจียวย่ำแย่ขึ้นมาทันที นางหันไปมองหลินตงทันที ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลินตงกล่าวเบาๆ ว่า “วันนี้ตอนคุณชายกลับมา ระหว่างทางพบกับเหลียงจื่อเหวินตระกูลเหลียง
เหลียงจื่อเหวินนำคนมาล้อมคุณชายไว้ บอกว่าคุณชายทำร้ายเขาจนพิการ เขาไม่ยอมปล่อยคุณชายไปแน่”
ลู่เจียวพลันคิดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นยืมมือนายท่านเฉาสามทำร้ายเหลียงจื่อเหวิน
แต่เหลียงจื่อเหวินรู้ได้อย่างไร
ลู่เจียวคิดไม่เข้าใจ แต่ในใจก็เป็นห่วงเซี่ยอวิ๋นจิ่นอย่างมาก ถามขึ้นทันทีว่า “คุณชายไม่เป็นไรใช่ไหม”
หลินตงกล่าวเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร มีหร่วนไคกับโจวเส้ากงอยู่ คุณชายไม่เป็นอะไร เพียงแต่สองฝ่ายปะทะกัน ผู้คุ้มกันเหลียงจื่อเหวินถูกหร่วนไคกับท่านอาโจวทำบาดเจ็บ ตอนนี้คุณชายกับเหลียงจื่อเหวินถูกมือปราบจ้าวนำตัวไปที่ที่ว่าการอำเภอแล้ว”
ลู่เจียวได้ฟังก็เข้าใจ มือปราบจ้าวนำสองฝ่ายไปจัดการที่ที่ว่าการอำเภอ
หลินตงยังกล่าวอีกว่า “คุณชายเป็นห่วงเหนียงจื่อว่าได้ยินข่าวแล้วจะร้อนใจ ให้ข้ากลับมาบอกเหนียงจื่อก่อน คุณชายว่าไม่มีเรื่องอะไร เหนียงจื่ออย่าได้ออกไป ป้องกันคนฉวยโอกาสทำร้ายเหนียงจื่อ”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อย แสดงการรับรู้
เพียงแต่ในใจยังคงเป็นห่วงเซี่ยอวิ๋นจิ่น แต่เพื่อไม่ให้ลูกทั้งสี่รู้เรื่อง ลู่เจียวต้องพยายามรักษาท่าทีสงบนิ่ง เจ้าหนูน้อยทั้งสี่เป็นเด็กละเอียดอ่อน หากนางแสดงท่าทีออกไป ไม่แน่ว่าอาจจะร้อนใจตาม
จากนั้นลู่เจียวก็เหมือนเหม่อลอย ดีที่เจ้าหนูน้อยทั้งสี่สนใจแต่การแข่งขัน ไม่ได้สนใจอาการผิดปกติของลู่เจียว
การแข่งขันกระโดดเชือกดำเนินต่อไป จนกระทั่งเย็นจึงได้จบลง สุดท้ายเอ้อร์เป่า หลินซีและโจวฉางอานได้สามอันดับแรก ได้ดอกไม้แดงไป
เด็กที่เหลือไม่ได้ดอกไม้แดงก็พากันแสดงอาการไม่พอใจ
ลู่เจียวยิ้มกล่าวกับพวกเขาว่า “วันหน้ากำหนดจัดการแข่งขันต่างๆ สามอันดับแรกของการแข่งขันก็จะได้รับดอกไม้แดง”
ยามนี้ทำเอาเด็กๆ พากันดีใจกันขึ้นมาทันที
ซื่อเป่าดึงมือลู่เจียวมากล่าวว่า “วันหน้าท่านแม่แข่งคำนวณดีไหม เช่นนี้ข้าก็จะได้ดอกไม้แดงแล้ว”
ลู่เจียวนึกขำ เรื่องนี้เขาย่อมได้ที่หนึ่ง
นางมองซื่อเป่า “แม่รู้ เจ้าคำนวณต้องได้ดอกไม้แดง แต่เราต้องได้ดอกไม้แดงจากการแข่งขันอื่นด้วย รู้ไหม ครั้งนี้แข่งกระโดดเชือก ทำไมแพ้ ก็เพราะร่างกายพวกเจ้าไม่ดีเหมือนพวกเอ้อร์เป่า ดังนั้นเราต้องพยายามออกกำลังกาย”
ซื่อเป่ายู่ปาก ยังคงไม่พอใจ ลู่เจียวกล่าวต่อว่า “ไม่ใช่ว่าวันหน้าเจ้าจะหาเงินเลี้ยงดูแม่กับน้องสาวหรือ สุขภาพไม่ดีจะหาเงินมาเลี้ยงดูแม่กับน้องสาวได้อย่างไร”
ซื่อเป่าพอคิดก็เข้าใจทันที เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ท่านแม่วันหน้าข้าจะพยายามออกกำลังกายให้เหมือนกับเอ้อร์เป่า”
“เยี่ยมมาก”
ลู่เจียวมองไปยังต้าเป่ากับซานเป่า กล่าวว่า “ครั้งนี้แข่งกระโดดเชือก พวกเจ้าเห็นแล้วหรือยัง เอ้อร์เป่าออกกำลังกายมีประโยชน์ แม้พวกเจ้าไม่เป็นแม่ทัพ ไปทำงานอื่น ก็ต้องมีสุขภาพดี ต้าเป่าชอบเรียนหนังสือ จะสอบเคอจวี่ แต่เจ้ารู้ไหมคนสอบตำแหน่งจวี่เหริน ต้องสอบถึงเก้าวัน เก้าวันนะ? หากลูกชายแม่สุขภาพไม่ดี เจ้าคิดว่าเจ้าจะทนได้ไหม”
ต้าเป่ากะพริบตาเหมือนรู้สึกตกใจกับเรื่องนี้มาก จากนั้นก็เขาตบหน้าอกแสดงท่าทีว่าวันหน้าจะต้องออกกำลังกายให้ดี
ลู่เจียวมองไปยังซานเป่าต่อ “ซานเป่าคิดแต่จะเป็นหมอเหมือนแม่ เจ้าไหมรู้หมอลำบากมาก บางครั้งรักษาผู้ป่วย ขึ้นเขาเก็บสมุนไพรเอง ต้องปีนเขาไปปีนเขามา หากไม่มีสุขภาพร่างกายที่ดี เจ้าจะปีนเขาได้หรือ”
เจ้าหนูน้อยทั้งสี่หันไปมองลู่เจียวพร้อมกัน กล่าวรับรองว่า “ท่านแม่วางใจ วันหน้าพวกเราจะตั้งใจออกกำลังกาย”
ลู่เจียวกินอาหารเย็นกับลูกๆ อย่างพอใจ หลังอาหารเย็นก็อาบน้ำและกล่อมลูกๆ นอน
พอเจ้าหนูน้อยทั้งสี่เข้านอน ลู่เจียวจึงได้เดินไปเรือนด้านหน้าอย่างเป็นห่วง
พอนางเดินถึงหน้าทางเชื่อมเรือนด้านหลังก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหน้า
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกับลู่กุ้ยกำลังจะเดินไปเรือนด้านหลัง
เซี่ยอวิ๋นจิ่นเห็นลู่เจียวก็รีบก้าวเข้ามาดึงมือนางไปกุม
“เจียวเจียว เจ้าอย่าร้อนใจไป ข้าไม่เป็นไร”
ลู่เจียวพยักหน้าเล็กน้อยถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหลียงจื่อเหวินรู้เรื่องครั้งก่อนว่าเจ้าเป็นคนทำได้อย่างไร”
ลู่เจียวกล่าวจบ ในสมองก็วาบขึ้นมาทันที นึกถึงสหายร่วมชั้นเรียนที่แอบลอบทำร้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่นขึ้นมา หรือว่าครั้งนี้ก็เป็นสหายร่วมชั้นเรียนทำ
“เป็นสหายร่วมชั้นเรียนเจ้าทำอีกแล้วหรือ”
ลู่เจียวกล่าวจบ ก็รู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้ว “คนผู้นั้นเป็นสหายร่วมชั้นเรียนเจ้า ตามหลักการควรรู้ว่าระยะนี้เจ้ากำลังมีเรื่อง เขาควรจะนิ่ง เหตุใดดึงล่อเหลียงจื่อเหวินให้ออกมาจัดการเจ้า”
ลู่เจียวกล่าวจบ เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น “เจียวเจียว ก่อนหน้านี้ที่ข้าเดาน่าจะผิดพลาด ข้าคิดมาตลอดว่าคนที่ลอบทำร้ายข้าก็คือเจิ้งจื้อซิ่ง เพราะข้าเหนือกว่าเขา ดังนั้นเขาต้องหาทางลอบทำร้ายข้า ตอนนี้มาคิดดู เป็นไปได้มากว่าคนผู้นี้จะเป็นหลี่เหวินปิน”
ลู่เจียวถามกลับด้วยสัญชาตญาณทันที “หากเป็นหลี่เหวินปิน เขาก็รู้ว่าตระกูลจางและตระกูลเฉาคิดดึงเจ้าไปเป็นพวก เหตุใดจึงลงมือจัดการเจ้าในตอนนี้”
“สองสามวันนี้พวกเราส่งคนไปแอบสืบตระกูลจาง เหลียง เฉา วัง สี่ตระกูลใหญ่เจ้าถิ่นในอำเภอชิงเหอ พวกเขาย่อมต้องรู้ตัวว่าพวกเราให้คนไปสืบพวกเขา สี่ตระกูลนี้รู้ว่าข้าสืบเรื่องพวกเขาจะยังเกรงใจข้าอีกหรือ”
“สี่ตระกูลคิดลอบวางอุบายข้า ก็ควรรู้ว่าข้างกายข้ามีผู้คุ้มกันร้ายกาจ ได้แต่กล่อมให้หลี่เหวินปินแอบลงมือกับข้า แต่พวกเขาไม่รู้ว่าหลี่เหวินปินเป็นคนรอบคอบระวังตัวมาก จะไม่ลงมือง่ายๆ ที่เขาชำนาญก็คือการลอบทำร้ายลับหลัง”
“แรกสุดก็สี่ปีกว่าที่แล้ววางยาข้า จากนั้นก็ให้คนมาชนข้าบาดเจ็บ ตอนนี้ล่อเหลียงจื่อเหวินออกมา วิธีการหลบซ่อนเหล่านี้เหมือนกันอย่างมาก”
เซี่ยอวิ๋นจิ่นกล่าวถึงตรงนี้ก็เหมือนจะแน่ใจแล้วว่าคนที่ลอบทำร้ายเขาลับหลังก็คือหลี่เหวินปิน เพราะเหลียงจื่อเหวินบาดเจ็บที่ลับ กลัวว่าจะเป็นที่หัวเราะเยาะ ระยะนี้จึงไม่ค่อยได้ออกมา ตอนนี้คนทั่วไปที่รู้เรื่องของเขาก็มีแต่หลี่เหวินปินบุตรเขยตระกูลจาง
“เพราะเหลียงจื่อเหวินได้รับบาดเจ็บ ไม่ค่อยได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชนในตอนนี้ คนทั่วไปยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน คนที่รู้ก็ย่อมมีแต่หลี่เหวินปินบุตรเขยตระกูลจาง”
แม้ว่าเขาคิดไม่ตกว่าทำไมหลี่เหวินปินจ้องทำร้ายเขามาตลอด เหมือนเขาไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกันมาก่อน
ลู่เจียวได้ฟังคำวิเคราะห์เซี่ยอวิ๋นจิ่น ก็คิดถึงสหายร่วมชั้นเรียนเขาอีกสองสามคน
สุดท้ายก็มั่นใจว่าคำวิเคราะห์เซี่ยอวิ๋นจิ่นถูกต้อง แม้ว่าหลี่เหวินปินดูแล้วหน้าตาซื่อที่สุด แต่เขาเป็นบุตรเขยตระกูลจาง เขาอยากรู้ว่าเหลียงจื่อเหวินอยู่ที่ไหนไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงรู้ว่าเหลียงจื่อเหวินปรากฎตัวที่ใดก็ย่อมลงมือได้ง่าย
เพียงแต่ลู่เจียวคิดไม่ตกว่าทำไมคนผู้นี้ต้องทำร้ายเซี่ยอวิ๋นจิ่น พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้มีความแค้นต่อกัน
ลู่เจียวขี้เกียจจะคิดถึงเป้าหมายแท้จริงของหลี่เหวินปินต่อ ตอนนี้ที่นางเป็นห่วงกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“เหลียงจื่อเหวินผู้นั้นราวกับหมาบ้า ตอนนี้เขาตั้งใจเล่นงานเจ้า เขาคงหาทางแก้แค้นเจ้าอย่างบ้าคลั่ง พวกเราต้องระวังตัวให้มาก”