ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 2 เล่ม 4 ตอนที่ 7-5

ภาค 2 เล่ม 4 ตอนที่ 7-5

“ฮึก…”

เขานึกไว้แล้วว่าวันแบบนี้จะต้องมาถึงสักวัน ในวรรคสุดท้ายของหนังสือเกี่ยวกับความรักที่อินซอบอ่านมักจะมีวิธีรับมือกับการบอกลาเขียนเอาไว้เสมอ อินซอบมักจะเก็บส่วนนั้นเอาไว้ท้ายสุด และหาวันอ่านวรรคสุดท้ายของหนังสือเกี่ยวกับความรักทั้งหมดรวดเดียว แต่ตอนนี้ข้อความหนึ่งบรรทัดที่เขียนอยู่ในหนังสือหลายสิบเล่มนั้นไม่สามารถช่วยปลอบตนได้เลย

น้ำตาของเขาไหลอย่างไม่มีเวลาให้เช็ด เขาสมเพชตัวเองเป็นอย่างมาก และรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ การที่อีอูยอนเลือกตนเป็นเรื่องที่ใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์ และเขาก็มัวเมากับความโชคดีนั้นจนทำความผิดที่เรียกได้ว่าอวดดี

ความรู้สึกของคนเราไม่สามารถที่จะคงเดิมได้ตลอดไป…

พ่อแม่เองยังทิ้งลูกที่ตัวเองคลอดออกมาได้เลย เราจึงไม่สามารถที่จะเกาะติดและขอให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดรับผิดชอบความรู้สึกของเราไปทั้งชีวิต

อีอูยอนก็ไม่ได้แย่อะไร เขาไม่อยากโกรธเกลียดอีกฝ่าย และอะไรพวกนั้นก็ไม่สามารถสร้างรอยแผลบนความสุขที่รู้สึกมาจนถึงตอนนี้ได้ด้วย

แต่ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป การที่ความรู้สึกจะเปลี่ยน และถูกลดทอนลงไปก็เป็นเรื่องที่เป็นไปตามธรรมชาติ มันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว ถึงจะเป็นเรื่องที่สมเหตุผล แต่…

ถ้าช่วยทำให้คิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลลงมาหน่อยก็น่าจะดี

อินซอบมุดหน้าลงกับที่นอน และกลั้นเสียงร้องไห้ไว้

ไม่ว่าจะด้วยความหมายที่ดี หรือไม่ดีก็ตาม แต่เวลาของเขาทั้งหมดในช่วงสองสามปีมานี้ล้วนแต่มุ่งไปทางอีอูยอน

เขากลัว

แม้กระทั่งตอนนี้ก็ไม่มีความรู้สึกว่านี่เป็นความจริงเลย ตอนที่คบกับอีอูยอนก็เหมือนกัน แต่ยิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งรู้สึกกลัวกับการไม่มีอยู่ของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ กลายเป็นความจริงเป็นอย่างมาก

หัวใจของเขาเจ็บแปลบ นี่ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รู้สึกเพราะเศร้า แต่เป็นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริง แล้วเขาก็ได้รู้อีกครั้งว่าร่างกายของตัวเองถูกความเครียดจู่โจมได้ง่ายขนาดไหน

อินซอบลุกขึ้นและหายามากิน แต่ความเจ็บแปลบนั้นก็ไม่หายไป เขาจึงกดบริเวณหน้าอก ในที่สุดเขาก็รู้สึกคลื่นไส้ และต้องวิ่งไปที่ห้องน้ำเพื่ออ้วกเอาทุกอย่างที่อยู่ข้างในออกมา

หลังจากกลั้วปากออกมาแล้ว อินซอบก็ตั้งใจจะหาคู่มือการใช้ยาว่าสามารถกินยาเข้าไปอีกครั้งได้ไหม แล้วก็ล้มเลิกไป เขานึกถึงคำพูดของหมอที่บอกว่าการหลุดออกจากสาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียดเป็นวิธีที่ดีที่สุด

อินซอบนอนลงบนเตียงและพยายามนึกถึงเรื่องอื่น แต่ยิ่งทำแบบนั้น เขาก็ยิ่งหลุดออกจากความคิดเกี่ยวกับอีอูยอนไม่ได้

ถ้าตอนนั้นเราทำแบบนี้ มันจะต่างออกไปไหม ถ้าเราไม่พูดคำนั้นออกไป สถานการณ์จะดีขึ้นหรือเปล่า ความรู้สึกผิดที่ทำลงไปซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วจะเป็นแบบนั้นอีกนานแค่ไหน แพขนตาที่มีน้ำตาเกาะอยู่ถูกยกขึ้นเพราะเสียงที่ได้ยินจากด้านนอก

ประตูกำลังถูกเขย่าดังกึกๆ

“…ใครครับ”

ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว อินซอบลุกขึ้น

“ใครครับ”

คราวนี้เขาถามให้ดังขึ้นกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาเหมือนเดิม และประตูก็ถูกเขย่าอีกครั้ง

ขนของเขาลุกซู่ ข้อดีของห้องบนชั้นดาดฟ้าคือมีโครงสร้างที่แยกออกมาเป็นส่วนตัว และข้อเสียก็คือโครงสร้างที่แยกออกมาเป็นส่วนตัวด้วยเหมือนกัน

โครงสร้างแบบนี้ทำให้ขโมยเข้ามาได้ง่าย และต่อให้เข้ามาแล้วก็ยากที่เพื่อนบ้านจะรับรู้ เขาตั้งใจจะโทรศัพท์หาตำรวจ แต่เขาดันปิดโทรศัพท์มือถือเอาไว้

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าและเปิดเครื่อง แต่ก็รู้สึกว่าเวลาเดินไปอย่างช้าๆ เป็นพิเศษ และในระหว่างนั้นประตูก็ถูกเขย่าต่ออีกหลายครั้ง

ต้องทำอะไรสักอย่าง…

ขณะมองไปรอบๆ กระทะที่ยกขึ้นไปวางก่อนหน้านี้โผล่เข้ามาในสายตา เขากำกระทะไว้อย่างไม่รู้ตัว และมองไปที่ประตูหน้าบ้าน

ประตูส่งเสียงดังกึกกักต่ออีกสองสามครั้ง

“คะ ใครครับ บอกมานะ”

แม้จะรู้ความจริงว่าไม่มีทางที่ขโมยจะตอบ แต่เขาก็ทำได้แค่พูดแบบนั้นออกไป หากไม่ทำแบบนั้น หัวใจของเขาก็คงจะระเบิดออกมาด้วยความกลัว เขารู้สึกถึงการสั่นในกระเป๋า โทรศัพท์มือถือถูกเปิดเครื่องแล้ว

วินาทีที่เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อที่จะแจ้งตำรวจ หน้าต่างที่กำลังสั่นก็เข้ามาในสายตา อินซอบเบนสายตากลับไปทางประตูหน้าบ้าน ทั้งประตูและหน้าต่างสั่นพร้อมๆ กัน

“เฮ้อ…”

อินซอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ห้องบนชั้นดาดฟ้ามีโครงสร้างที่ทำให้ได้รับผลกระทบจากเงื่อนไขทางสภาพอากาศเยอะมาก ถ้าลมพัดหรือฝนตก ประตูหน้าบ้านและหน้าต่างจะสั่นมากเป็นพิเศษ เขาเพิ่งอาศัยอยู่ที่ห้องบนชั้นดาดฟ้าได้ไม่กี่ปี และลืมความทรงจำนั้นไปเสียสนิท

อินซอบวางกระทะที่ถืออยู่ในมือลง

จะว่าไปแล้ววันนี้มีพยากรณ์ว่าฝนจะตกนี่นา…งานจะจบลงด้วยดีไหม เขาได้รับรางวัลใหญ่หรือเปล่า ลองเสิร์ชดีไหมนะ

อินซอบรีบส่ายหน้า วินาทีที่ตัดสินใจว่าควรจะปิดเครื่องอีกครั้งก่อนที่จะใจอ่อน เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้น พอเช็กชื่อของคนที่โทรศัพท์เข้ามาก็เห็นว่าเป็นคิมคังอู

โทรศัพท์ถูกตัดสายไปหลังจากที่ดังอยู่สองสามครั้ง และหน้าต่างข้อความก็เด้งขึ้นมาทันที

[ฮยองนิม อยู่ไหนครับ ไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นใช่ไหมครับ ช่วยตอบหน่อยครับ]

ดูเหมือนเขาได้รับโทรศัพท์มือถือคืนจากอีอูยอนแล้วหลังจากที่พิธีมอบรางวัลจบ ในขณะที่อินซอบชะงักไป ก็มีข้อความถูกส่งเข้ามาอีกครั้ง

[ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหมครับ บอกหน่อยนะครับว่าอยู่ไหน ผมจะไปหา พอดีว่าผมเป็นห่วงน่ะครับ]

“…”

พอคิดถึงคิมคังอูที่ต้องลำบากแทนตัวเอง เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา และการปิดโทรศัพท์หนีหายไปก็ไม่ใช่เรื่องที่มีมารยาท

[ผมจะไม่บอกกรรมการผู้จัดการ หรือหัวหน้าทีม ดังนั้นช่วยบอกให้รู้หน่อยนะครับ ไม่ได้เจ็บป่วยใช่ไหมครับ แล้วอยู่ที่ไหนเหรอครับ]

ข้อความถูกส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีโอกาสที่จะตอบ

[ช่วยตอบหน่อยครับ ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ วันนี้มันวุ่นวายสุดๆ เลยครับ]

[ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ห้ามปิดเครื่องนะครับ ช่วยบอกทีครับว่าอยู่ที่ไหน ผมจะได้ช่วย แล้ววันนี้ผมก็เกือบจะตายแล้ว คุณนักแสดงโมโหใส่ผมใหญ่เลยครับ]

พอเขาทิ้งเงินกับจดหมายเอาไว้ และออกมาโดยไม่พูดอะไร คิมคังอูก็ต้องพะวงอยู่แล้ว ที่เขาต้องขอโทษคิมคังอูมากกว่าใครทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว

อินซอบครุ่นคิดก่อนจะกดปุ่มโทรออก เขาได้ยินเสียงต่อสาย และเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนึ่งครั้ง สองครั้ง…

แล้วความรู้สึกแปลกแยกที่ซับซ้อนเกินบรรยายก็โผล่มาในหัว คิมคังอูมักจะสะกดคำอย่างไม่มีระเบียบแบบแผน ไม่ใช่แค่การแยกสระ แ- กับสระ เ- ไม่ได้เท่านั้น แต่เขายังเว้นวรรคตามใจชอบด้วย ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายมักจะใช้อีโมติคอนประมาณสองตัวในการจบแต่ละประโยค แต่การสะกดคำของข้อความที่ตนอ่านอยู่ตอนนี้กลับถูกต้องทั้งหมด และต่อให้ขยี้ตาแล้วก็ยังหาอีโมติคอนไม่เจอเลยสักตัว ไม่เพียงเท่านั้น แม้จะต่างออกไปเล็กน้อย แต่เนื้อหาในข้อความกลับคล้ายกัน

อยู่ไหนครับ อยู่ที่ไหนครับ ตอนนี้อยู่ที่ไหนเหรอครับ ช่วยบอกให้รู้หน่อยครับว่าอยู่ไหน

…เขาเอาแต่ถามถึงที่อยู่ปัจจุบัน

คงไม่ใช่หรอกมั้ง ไม่มีทางที่อีอูยอนจะถือโทรศัพท์มือถือของคิมคังอูไว้จนถึงตอนนี้ระ…

เสียงเรียกเข้าดังขึ้น อินซอบกะพริบตา และเอาโทรศัพท์ออกจากหู เขาไม่ได้คิดไปเอง เสียงเรียกเข้าดังมาจากข้างนอกจริงๆ แล้วเสียงเรียกเข้านั้นก็กำลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

“…”

ขนของเขาลุกซู่ อินซอบกดวางสาย

ข้อความฉบับใหม่ถูกส่งเข้ามา

[ตอนนี้อยู่ที่บ้านใช่ไหมครับ]

อินซอบวางโทรศัพท์มือถือลง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังกึกกัก ถึงอยากจะหนี แต่ก็ไม่สามารถหนีได้ เสียงฝีเท้าหยุดลง และเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้นต่อกันทันที คราวนี้ไม่ใช่เสียงลมแน่นอน

“…ใครครับ”

เสียงของเขาสั่น

“เปิดประตูครับ”

อีอูยอนนั่นเอง

ได้ยังไง เขารู้ได้ยังไง…

“คุณอินซอบ เปิดประตูให้หน่อยครับ เพราะถ้าไม่เปิด ผมจะพังเข้าไป”

นี่ไม่ใช่คำขู่ที่พูดไปอย่างนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำเผยให้เห็นถึงความตั้งใจของเขา อินซอบรีบไปที่ประตูหน้าบ้านและเปิดประตู อีอูยอนสะบัดฝนออกจากเสื้อ และเข้ามาในบ้าน

“ทำไมพยากรณ์อากาศถึงตรงก็ไม่รู้นะครับ ตอนกลางคืนฝนคงจะเทลงมา”

ท่าทีของเขาไม่ต่างไปจากปกติ อินซอบคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้รับโน้ตที่เขาฝากไว้หรือเปล่า แต่วินาทีที่เห็นช่อดอกไม้ที่อีอูยอนถืออยู่ในมือ เขาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น

“ขอบคุณสำหรับดอกไม้ครับ”

อีอูยอนวางช่อดอกไม้ที่เหลือแค่ครึ่งเดียวลงบนชั้น เพราะรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา ขณะเดียวกันก็ยิ้มน้อยๆ ไม่มีทางที่อีอูยอนจะไม่ได้รับซอง เพราะอินซอบฝากเรื่องช่อดอกไม้ไว้กับคิมคังอู

“ย้ายบ้านวันนี้เหรอครับ”

อีอูยอนมองไปรอบๆ บ้านพลางเอ่ยถาม อินซอบพยักหน้าเล็กน้อย

“เหมือนบ้านที่อยู่สมัยก่อนเลยนะครับ”

คำพูดนั้นทำให้อินซอบนึกถึงวันที่อีอูยอนมาหาที่ห้องบนชั้นดาดฟ้าที่ตัวเองเคยอยู่

…แม้สถานการณ์จะต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่การที่เขารู้สึกว่ามันคล้ายคลึงกันไม่ใช่การคิดไปเองแน่นอน

“รู้…ได้ยังไงครับ”

พออินซอบละล่ำละลักถาม อีอูยอนก็ครางรับในลำคอก่อนจะฉีกยิ้ม

“สงสัยเรื่องนั้นเหรอครับ”

“…”

“ผมได้ยินว่าคุณอินซอบได้สำเนาพาสปอร์ตและไปสนามบินน่ะครับ ฮ่าฮ่า ผมไม่อยากไปหาคุณอินซอบที่สนามบินอีกเป็นครั้งที่สองเลยจริงๆ”

อีอูยอนหัวเราะอย่างขมขื่นราวกับนึกถึงความทรงจำที่ไม่ดี

“แต่พอเช็กดูก็ได้รู้ว่าชาวต่างชาติไม่สามารถใช้แค่สำเนาพาสปอร์ตออกจากประเทศได้ ฮ่า งั้นจะหายังไงนะ”

อีอูยอนกระดิกนิ้วพลางกอดอก แม้จะดูขี้เล่น แต่แววตาของเขากลับไล่มองอินซอบอย่างไม่วางตา

“ดังนั้นผมก็เลยไปหาที่บ้านก่อน เพราะคิดว่ารอหน่อยเดี๋ยวคุณก็คงจะมา”

ดวงตาเรียวของอีอูยอนถูกวาดเป็นเส้นโค้ง ราวกับพระจันทร์เสี้ยวที่น่าหวาดกลัวลอยอยู่ในดวงตาของเขา

“แต่คุณก็ย้ายบ้านไปแล้ว?”

“เรื่องนั้น…”

อินซอบพูดไม่ออก แม้จะไม่ได้ย้ายบ้านเพราะอีอูยอน แต่เวลากลับเหมาะเจาะอย่างบังเอิญ

ตอนนี้ต่อให้พูดอะไรออกไปก็คงเป็นได้แค่คำแก้ตัว

“ผมนึกว่าตัวเองจะเป็นบ้าไปแล้ว เพราะคุณปิดโทรศัพท์มือถือ ก็เลยไล่ตามตำแหน่งที่อยู่ไม่ได้”

ผู้กำกับถือว่าการแสดงแววตาของนักแสดงเป็นสิ่งสำคัญ เขาบอกว่าควรมีส่วนที่แสดงให้เห็นถึงความบ้าโดยทั่วไปก่อนจึงจะแสดงความรู้สึกลึกๆ ออกมาในดวงตา พวกผู้กำกับชอบแววตาของอีอูยอนเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่มองผ่านกล้อง พวกเขาจะไม่หวงคำชมว่าเป็นดวงตาที่มีเสน่ห์เลย แม้กรรมการผู้จัดการคิมจะบอกว่ามันไม่ใช่ความบ้า แต่เป็นความวิกลจริตต่างหากก็ตาม

อีอูยอนมองอินซอบด้วยดวงตาที่เป็นประกาย เป็นดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความวิกลจริต

“ผมตามสืบประวัติการโทรน่ะครับ ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ดีมากเลยนะครับ เพราะถ้ามีเงิน ก็ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ แล้วก็เร็วมากด้วย”

น้ำเสียงทุ้มต่ำของอีอูยอนดังขึ้นตามมา

“คนที่คุณคุยด้วยเป็นคนสุดท้ายคือบริษัทนายหน้าอสังหาริมทรัพย์อย่างนั้นเหรอ ต้องเรียกว่าโชคดีหรือเปล่านะ ไม่สิ คงจะเป็นโชคร้ายสำหรับคุณอินซอบใช่ไหม”

“…ขอโทษที่ทำให้วุ่นวายครับ”

แม้จะพูดว่าทุกอย่างแก้ได้ด้วยเงิน แต่เขาต้องผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนเป็นอย่างมากกว่าจะมาหาตนถึงที่นี่ได้แน่ๆ

“ก็วุ่นวายนิดหน่อยแหละครับ นึกว่าย้ายไปที่บ้านใหม่กับปิดเครื่องทิ้งไว้แล้วผมจะตามหาไม่เจอเหรอครับ”

อีอูยอนยิ้มอย่างสดใสพลางเอ่ยถาม อินซอบส่ายหน้า

“ผมตั้งใจจะบอกทีหลังน่ะครับ”

“ที่ว่าทีหลังน่ะ เมื่อไร?”

อีอูยอนโน้มตัวลงมาสบตาอินซอบก่อนจะเอ่ยถามอย่างมุ่งมั่น

“จะบอกหลังจากที่จัดการทุกอย่างรอบตัวเสร็จแล้วเตรียมกลับไปที่อเมริกาหรือเปล่า”

“…”

อินซอบที่โดนจี้จุดไม่สามารถตอบอะไรได้

เนื่องจากไม่มีความกล้าที่จะไปเจอหน้าอีอูยอนสักระยะหนึ่ง เขาจึงคิดที่จะติดต่อไปหลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จแล้วประมาณหนึ่ง

“ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วล่ะ เหอะ”

อีอูยอนทำคอตกก่อนจะหัวเราะสั้นๆ ไม่รู้เป็นเพราะสูททอมฟอร์ดที่เปียกฝนกับทรงผมที่ยุ่งเหยิงหรือเปล่า วันนี้รูปร่างหน้าตาของเขาถึงได้ดูเด่นเป็นพิเศษ

ราวกับว่าเขากำลังมองอีอูยอนที่อยู่ในจอ เขารู้สึกแบบนั้นเป็นบางครั้ง ไม่สิ รู้สึกอยู่บ่อยๆ เลยล่ะ เขารู้สึกถึงความไม่เป็นจริงที่เหมือนกับจะไม่สามารถอยู่ในชีวิตของอีกฝ่ายได้ตลอดไป

ตอนนั้นเองอีอูยอนก็ยื่นมือมาหา อินซอบกลั้นหายใจ มือเย็นๆ กุมแก้มของอินซอบไว้

“พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว ผมรู้สึกแย่มากเลยครับ”

ปลายนิ้วที่เปียกฝนทำให้เขาตระหนักได้ถึงความเป็นจริง อินซอบช้อนสายตาที่เหม่อลอยราวกับเพิ่งถูกปลุกจากฝันขึ้นมองอีอูยอน

“แต่ทำไมจู่ๆ คุณถึงทำแบบนั้นล่ะครับ”

ปลายนิ้วของอีอูยอนลูบแก้มของอินซอบ เขาไม่ได้แสดงออกว่าโกรธ หรือรำคาญเลยสักนิด แต่กลับแสดงสีหน้าว่าสงสัยอย่างนั้นจริงๆ

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท