หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 846 ภายในสุสานหลวง!

บทที่ 846 ภายในสุสานหลวง!

ด้วยเหตุนี้ ชีวิตก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สถานการณ์ใดก็ตามที่มีผู้เกี่ยวข้องเกินสองกลุ่มย่อมมีผลลัพธ์หลากหลายรูปแบบจนแทบนับไม่ถ้วน ดังนั้นความสัมพันธ์แบบสามทางจึงคลี่คลายและหาประโยชน์ได้ง่ายกว่า หวังเป่าเล่อเองก็เพิ่งทำเช่นนั้นมา ชายหนุ่มใช้เจตจำนงที่ซ่อนเร้นอยู่ของวิชาดวงเนตรปีศาจให้เป็นประโยชน์ ความหิวโหยและความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปของมัน ทำให้ชายหนุ่มต่อต้านอารยธรรมครามทองคำได้สำเร็จ

เรียกได้ว่า ทั้งตัวเขาและเจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจสามารถร่วมมือกันได้ระดับหนึ่ง

ขณะที่เจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจปลดปล่อยพลังของมันออกมา และผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างจื่อหลัวต้องหวีดร้องและถูกบีบบังคับให้ล่าถอย หวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวออกไปราวสายฟ้าและทะลุผ่านรอยร้าวที่จักรพรรดิชราสร้างเอาไว้โดยการสังเวยชีวิตตนเองได้สำเร็จ!

ชั่วอึดใจต่อมา ชายหนุ่มก็พุ่งตัวออกมาจากอาณาเขตที่ถูกผนึก เขาจ้องมองไปรอบกาย จื่อหลัวผู้ซึ่งดูราวกับว่าอยู่ใต้อิทธิพลของคาถามายากำลังถูกล้อมด้วยคลื่นปราณมืดเข้มข้น เขาหายใจหนักหน่วงสลับกับคำรามกู่ก้องอย่างดุร้าย เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากคาถา คลื่นปราณมืดกระจายตัวออกไป เผยให้เห็นนัยน์ตาแดงก่ำของจื่อหลัว

จื่อหลัวคำรามก่อนจะพุ่งใส่หวังเป่าเล่อทันทีที่สบตากัน เหออวิ๋นจื่อยืนมองอย่างตกตะลึง ขณะที่ตะเกียงทองแดงในมือของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่ภายในตะเกียเกรี้ยวกราดและพร้อมที่จะพุ่งออกมาทุกขณะ

ศัตรูของหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขา ขณะที่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจอยู่เบื้องหลัง ไม่มีทางเลยที่จะต่อสู้ฝ่าศัตรูออกไปได้ แต่หากชายหนุ่มเลือกที่จะละทิ้งโอกาสตอนนี้แล้วหนี เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจที่เพิ่งถูกบังคับให้ออกมาช่วยเขาก่อนหน้านี้ คงจะโจมตีเขาทันทีและขัดขวางไม่ให้เขาหนีไปได้เป็นแน่

เซี่ยไห่หยางอาจจะเคยสัญญากับเขาไว้ว่าแผ่นหยกที่เคยมอบให้หวังเป่าเล่อจะช่วยเคลื่อนย้ายชายหนุ่มออกไปได้อย่างปลอดภัย แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่เชื่อคำพูดของคนผู้นั้นอีกแล้ว

ชายหนุ่มขณะนี้มีทางเลือกสองทาง หนึ่งคือลองขอให้เซี่ยไห่หยางเคลื่อนย้ายเขาออกไปหรือ…พุ่งไปหาทางออกเดียว ซึ่งก็คือ…ทางออกในดวงตาของรูปปั้น ประตูสู่สุสานหลวง!

หวังเป่าเล่ออาจชั่งใจอยู่บ้างหากเขาอยู่ในร่างจริง ชายหนุ่มอาจเลือกอีกข้อหนึ่ง แต่เพราะขณะนี้ตัวเขาเป็นเพียงร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาจากกระบวนท่าสารัตถะ ดวงตาของเขาหรี่ลง

ในวินาทีนั้น ชายหนุ่มทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาใช้กระบวนท่าสารัตถะสร้างร่างอวตารออกมาและแทรกซึมเข้ามาในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อมั่นใจเพียงเรื่องเดียว คือเจตจำนงที่อยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจถูกกดดันและผนึกเอาไว้แทบจะตลอดเวลาที่ผ่านมา

แปลว่า เจตจำนงนั้นก็อาจเข้าใจผิด…มันอาจไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในร่างอวตาร!

แน่นอนว่า หวังเป่าเล่ออาจเดาผิด ตัวตนที่อยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจอาจรู้แล้วก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องนี้ก็เป็นจุดบอด ร่างอวตารจากกระบวนท่าสารัตถะไม่ใช่ร่างอวตารธรรมดาๆ แต่เป็นสิ่งที่ได้รับสืบทอดมาจากศิษย์พี่ของเขา ซึ่งเจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจไม่อาจเทียบเทียมได้ คงเป็นการยากยิ่งสำหรับเจตจำนงหากจะพยายามควบคุมร่างอวตารนี้ แม้ว่าเจตจำนงจะอยากได้ร่างอวตารของเขาเพียงใด โอกาสสำเร็จของมันก็…ต่ำยิ่งนัก!

ต่อให้ข้าถอยหลังกลับไปพลางมองดูสถานการณ์นี้อีกครั้ง และคิดว่าเขาทำสำเร็จก็ไม่มีความหมายอะไร อย่างเลวร้ายที่สุด ร่างจริงของข้าก็จะได้รับความเสียหายเล็กน้อยเท่านั้น แต่ข้าก็สามารถขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์แห่งไฟได้หากพบเจออันตราย ประกายเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มแผ่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายออกไปขณะที่ครุ่นคิด เพื่อป้องกันไม่ใช่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจอ่านใจเขาได้

หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่ใช่คนเดียวที่ควรต้องกลัว แต่เจ้าเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจ เจตจำนงที่เหมือนว่าจะเป็นของจักรพรรดิองค์แรกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ต้องกลัวเช่นกัน…นี่เป็นโอกาสของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือเป็นอันขาด!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้าอีกต่อไป หลังจากที่พุ่งออกจากอาณาเขตผนึก ชายหนุ่มก็มุ่งตรงไปข้างหน้าและฉวยโอกาสที่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจได้สร้างไว้ให้ ก่อนที่จื่อหลัวจะถึงตัวเขา และก่อนที่รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงจะทำอะไรได้ทัน พุ่งเข้าไปหาดวงตาบนรูปปั้น

ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและวิตกกังวลที่แผ่ออกมาจากเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจขณะที่เขาพุ่งตัวออกไป หวังเป่าเล่อหรี่ตาและลดความเร็วลงเล็กน้อย มีเสียงกัมปนาทดังลั่นราวกับสายฟ้าระเบิดขึ้นขึ้นด้านหลัง และจื่อหลัวก็พุ่งออกมาจากผนึกในวินาทีต่อมา รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ภายในตะเกียงปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ ก่อนจะส่งเสียงคำรามพลางแปลงกายเป็นฝ่ามือโปร่งใส่ขนาดใหญ่หมายจะจับตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้

เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจเริ่มตื่นกลัวเพราะหวังเป่าเล่อชะลอความเร็ว แต่จะโทษมันก็คงไม่ได้ โอกาสที่มันรอคอยมานานแสนนานได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว ความปรารถนาของมันแรงกล้ากว่าหวังเป่าเล่อเสียอีก แม้ว่ามันจะรู้ว่าชายหนุ่มจงใจลดความเร็วลง ก็ไม่อาจหยุดตนเองไม่ให้โจมตีได้

เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจคำรามก่อนจะใช้คาถามายาอีกคาถาหนึ่งใส่ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์และจื่อหลัวที่กำลังพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นและคลื่นพลังวิญญาณที่กระจายไปทั่ว เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจก็โจมตีอีกครั้งเพื่อหยุดการรุกไล่ศัตรูของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเร่งความเร็วขึ้นทันทีและรีบรุดเข้าไปยังดวงตาของรูปปั้น เขาไปปรากฏอยู่ข้างรูปปั้นในชั่วพริบตา ทั้งผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากอารยธรรมครามทองคำและจื่อหลัวต่างก็ทำได้เพียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดขณะที่เฝ้ามองชายหนุ่มพุ่งชนดวงตาของรูปปั้น ก่อนจะทะลุเข้าไปภายในอย่างง่ายดาย!

จื่อหลัวไล่หวังเป่าเล่อทันพอดีกับที่ชายหนุ่มหายตัวเข้าไปในรูปปั้น เขาปล่อยพลังทั้งหมดก่อนจะโจมตีเข้าไปยังดวงตาของรูปปั้นทันที แต่ไม่ว่าการโจมตีของเขาจะรุนแรงเพียงใด ดวงตาของรูปปั้นก็นิ่งสนิทไม่เปลี่ยนแปลง จื่อหลัวติดอยู่ด้านนอก!

“ต้นกำเนิดของรูปปั้นเป็นเรื่องลึกลับ มันอาจเป็นรูปปั้นจักรพรรดิองค์แรกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…หากไม่ได้มีพลังปราณระดับดารานิรันดร์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าเข้าไปได้ด้วยกำลัง!” ฝ่ามือที่กำเนิดมาจากรัศมีระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงแปรสภาพเป็นเงาร่างคน ร่างที่พร่าเลือนจ้องมองรูปปั้น ยิ้มเยาะ ก่อนจะเลิกสนใจจื่อหลัว แต่กลับหันหลังเดินกลับเข้าตะเกียงไป

เสียงของเขายังสะท้อนก้องอยู่ภายในสุสานหลวงกระทั่งหลังจากที่เขากลับเข้าไปในตะเกียงแล้ว

“เหออวิ๋นจื่อ โอกาสได้ผ่านไปแล้ว ไม่สำคัญอีกแล้วเจ้าเด็กนั่นจะอยู่หรือตายภายในสุสานหลวงดวงเนตรสวรรค์ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ดีสำหรับเรา บัดนี้…ทางออกเดียวคือต้องบีบให้มีการจุติและกู้เสถียรภาพกลับคืนมา จงรีบตัดสินใจเสีย!”

เหออวิ๋นจื่อฟังสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์พูด จากนั้นจึงหันไปเห็นประกายกล้าในดวงตาแข็งกร้าวของจื่อหลัว องค์ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ดูลำบากใจเช่นกัน พวกเขาพากันหันมามองเหออวิ๋นจื่อ

เหออวิ๋นจื่อรู้สึกชั่งใจ เขาตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิชราจะลอบทำการเช่นนี้ลับหลังเขา ในเวลาเดียวกัน ชายชราก็รู้ดีว่าผู้บุกรุกที่เข้ามาก่อนหน้านี้มีรัศมีที่เคยเป็นของจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิองค์แรกกำลังพยายามชุบชีวิตตนเอง…และเขาก็คงจะทำสำเร็จเสียด้วย สิ่งที่รอข้าอยู่ก็คือ…เส้นเลือดสีแดงปรากฏชัดในดวงตาของเหอหยุนจื่อ รัศมีของความบ้าคลั่งแผ่ออกมาจากกายของชายชราขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวและแน่นหนัก

“บรรดาสำนักหลักที่กระด้างกระเดื่องกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว ตอนแรกพวกมันมาล้อมพวกเรา มาบัดนี้ พวกมันก็ส่งนักฆ่ามาแทรกซึมในราชวงศ์ สังหารจักรพรรดิของเขา แล้วยังปล้นพลังโบราณของตระกูลเราไปอีก พวกมันจะต้อง…ชดใช้อย่างสาสม!

“จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ชั่วคราว ข้าสาบานว่าจะนำพลังโบราณของตระกูลหลวงของเรากลับคืนมา กำจัดสามสำนักหลัก และล้างแค้นให้จักรพรรดิของเรา ข้าจะไม่หยุดจนกว่าราชวงศ์จะหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่เช่นที่เคยเป็นมา!

“ข้าจะใช้พลังของราชวงศ์ปลดผนึกดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และเชิญอารยธรรมครามทองคำมาจุติบนอารยธรรมของเรา ช่วยเราปิดผนึกสุสานหลวง พวกเขาจะช่วยเราส่งสุสานเข้าไปยังดินแดนนพภูมิ จากนั้นจึงช่วยเราถอนรากถอนโคนพวกกระด้างกระเดื่องในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้!”

“ข้าเห็นด้วย!” น้ำเสียงที่ดำมืดและเย็นชาดังออกมาจากในตะเกียง เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากตะเกียงเข้าท่วมทั่วบริเวณ ล้อมรูปปั้นและแปรสภาพพื้นดินภายใต้รูปปั้น.shเป็นโคลนนิ่มๆ รูปปั้นจมลงไปในดินอย่างรวดเร็ว หายไปจากพื้นโลกและหายไปยังสถานที่ที่เหออวิ๋นจื่อเรียกว่า…ดินแดนแห่งนพภูมิ

นพภูมิเป็นชื่อที่มอบให้พื้นที่ใต้ดินที่ถูกผนึกเอาไว้ใต้พื้นผิวของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มันอยู่ห่างไกลกับส่วนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ตามองเห็นหลายโยชน์นัก

ตามความเข้าใจของโลกมนุษย์ ทุกสิ่งในจักรวาลมีสองด้าน ชีวิตและความตาย แสงสว่างและความมืด ในแง่หนึ่ง นพภูมิก็คล้ายคลึงกับยมโลก!

คนมีชีวิตที่ก้าวเข้าไปในโลกนี้ย่อมหาทางออกมาได้ยากยิ่ง!

เหออวิ๋นจื่อไม่ได้หันหลังกลับไปหลังจากที่พูดจบ กลับกันชายชราเดินนำราชวงศ์และคนของจื่อหลัวออกเดินไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือสิ่งที่จะต้องจบให้ได้โดยเร็วที่สุด นั่นคือบางสิ่งที่สำนักหลักทั้งสามไม่ได้เตรียมตัวรับมือและเป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งจะเริ่มลงมือ…สิ่งนั้นก็คือสงคราม!

ราชวงศ์เองก็ไม่ได้เตรียมตัวเช่นกัน พวกเขาไม่อาจปลดผนึกดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และปล่อยให้อารยธรรมครามทองคำจุติลงมายังอารยธรรมของเขาได้เต็มที่ แต่เวลาก็กระชั้นชิดนัก แทนที่จะชั่งใจและรีรอ ก็ควรตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เช่นนั้น…พวกเขาก็จะสามารถโจมตีอย่างฉับพลันจนศัตรูไหวตัวไม่ทัน!

สงคราม…กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!

ขณะเดียวกัน ภายในดวงตาของรูปปั้นที่ถูกผนึกอยู่ภายในดินแดนนพภูมิ ภายในสุสานหลวงของจริงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อ…ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!

ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นและเห็นสิ่งที่อยู่รอบกาย ชายหนุ่มก็ชะงักไปชั่วครู่ด้วยความตื่นตะลึง ประกายแปลกประหลาดสะท้อนวาบอยู่ในดวงตา

ที่นี่มัน…

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท