สืออีเหนียงอี๋ตกใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่สวีลิ่งอี๋โมโหขนาดนี้ต่อหน้านาง
ม่านเตียงวาดด้วยหมึกสีดำ ที่นำกลับมาจากเซวียนถง
สวีลิ่งอี๋รู้
ม่านเตียงแบบนั้นในห้องเก็บของของสกุลสวีก็มีสองสามผืน
สกุลกงแห่งหยางโจวให้หอเซียนหลิงเป็นคนทำขึ้นมา เพราะว่ามีจำนวนจำกัด ดังนั้นมันจึงดูมีค่า
แต่เฉียวฮูหยินที่ชอบในความมั่งคั่งกลับส่งม่านเช่นนี้มาให้นาง
เขาอดไม่ได้ที่จะคิด
เฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามาเช่นไร เขาและหยวนเหนียงรู้ดีที่สุด พูดตรงๆ นางก็เป็นเพียงผลที่เกิดจากการต่อสู้ของพวกเขาสองคน ทุกครั้งที่คิดเช่นนี้ เขาก็มักจะรู้สึกโมโห แล้วหลังจากที่เฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามาแล้ว นางก็แทบจะไม่ไปมาหาสู่กับคนสกุลเฉียว เพราะเช่นนี้ ตัวเองถึงได้มองข้ามปัญหาบางอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน อย่างเช่น เหตุใดเฉียวเหลียนฝังต้องบุกเข้าไปในลานเล็กนั่น เหตุใดสกุลเฉียวถึงไม่คัดค้าน แล้วยังส่งนางแต่งเข้ามาในสกุลสวีทั้งๆ ที่มีทางเลือกอื่น
เฉียวเหลียนฝังรู้สึกไม่สบายตั้งแต่ตอนที่อยู่จวนเฉิงกั๋วกงเมื่อวาน แต่จนถึงวันนี้ ท่านป้าของสกกุลเฉียวมา สืออีเหนียงถึงได้รู้…
เหตุใดเฉียวเหลียนฝังไม่สบายไม่เพียงแต่ไม่บอกสืออีเหนียง แล้วยังไม่บอกตน? แต่เฉียวฮูหยินที่ปกติไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน จู่ๆ กลับขยันขันแข็งขึ้นมาก่อนที่จะรู้ว่านางตั้งครรภ์…
ทุกสิ่งทุกอย่าง เขาไม่คิดไม่ได้
แต่เขาอยากหาคนคุยด้วย
“สืออีเหนียง…” สวีลิ่งอี๋เงยหน้าขึ้น มองเห็นภรรยาที่กำลังตกใจ พลันได้ยินเสียงชาที่หยดลงบนพื้น นึกถึงเมื่อครู่ที่ตัวเองโมโห…คำพูดทั้งหมดติดอยู่ในคอ
แต่ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาเช่นไร
เขาจึงมองดูความยุ่งเหยิงบนโต๊ะแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ข้าไม่ได้ว่าอะไรเจ้า” เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ “ข้ากำลังว่าตัวเอง”
จากนั้นก็ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้
สืออีเหนียงเห็นเขายิ้มอย่างขมขื่น ท่าทีเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นางนึกถึงคำถามก่อนที่เขาจะโมโห ก็เริ่มเข้าใจ
เขาพูดความจริง
เขาโมโหใส่ตัวของเขาเองจริงๆ
เฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามาในสกุลสวีได้อย่างไร นางก็คือคนที่อยู่ในเหตุการณ์
หน้าตาสวยงามราวกับดอกไม้ อายุก็ยังน้อย บุตรสาวภรรยาเอกของจวนเฉิงกั๋วกง ต้องมามีจุดจบเช่นนี้เพราะเรื่องสามีภรรยาของพวกเขา สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้จะไม่รู้สึกผิดได้อย่างไร บวกกับความรักที่ลึกซึ้งของเฉียวเหลียนฝัง เขาจะไม่ชอบนางได้อย่างไร ปัญหาบางอย่าง มันก็จะถูกมองข้ามไปโดยธรรมชาติ อย่างเช่น มีสตรีตั้งมากมาย แต่เหตุใดนางถึงเป็นคนไปที่ลานเล็กนั้น หรือจะพูดได้ว่า เดิมทีพฤติกรรมของเฉียวเหลียนฝังก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ถึงแม้ว่ากระโปรงที่หยวนเหนียงถืออยู่ในมือจะเป็นหลักฐาน แต่การที่สกุลหลัวถือออกมา มันก็คือการฆ่าศัตรูแล้วยังทำร้ายตัวเอง ทำให้สกุลเฉียวเสียอับอายแล้วในขณะเดียวกันก็ทำให้สกุลสวีเสียหน้าเหมือนกัน แต่ในฐานะตระกูลที่มีประสบการณ์ในการจัดการบ้านเมืองอย่างจวนเฉิงกั๋วกงกลับเลือกที่จะนิ่งเฉยไม่ทำอะไร เห็นได้ชัดว่าสกุลเฉียวเต็มใจที่จะให้เฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามา และหลังจากที่เฉียวเหลียนฝังแต่งเข้ามาแล้วมีท่าทีต่อตัวเองอย่างไร สวีลิ่งอี๋ไม่มีทางที่จะไม่รู้
เพราะปกติไม่เคยคิดใส่ใจ แน่นอนว่านางจึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่วันนี้ พฤติกรรมของเฉียวเหลียนฝังไปกระตุกขีดจำกัดของสวีลิ่งอี๋ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยให้มันผ่านไปง่ายๆ
ถึงแม้ว่าเฉียวเหลียนฝังจะได้รับความไม่เป็นธรรม ถูกปรักปรำ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถูกต้อง
นางมีวันนี้ ก็เพราะว่าความประพฤติที่ไม่ถูกต้องของตัวเอง
หากเจ้าไม่เอียนตัวลง ใครเล่าจะขึ้นไปขี่บนหลังของเจ้าได้
เขาจึงโมโหใส่ตัวเอง
รู้อยู่ในใจคือเรื่องหนึ่ง พูดคุยกับสวีลิ่งอี๋คืออีกเรื่องหนึ่ง หัวข้อนี้อาจจะเหมาะสำหรับคนอื่น แต่เมื่อมันมาอยู่ที่ตนมันคงดูไม่ดี นางจึงตัดสินใจที่จะกระโดดข้ามไป ประเดี๋ยวเขาถามขึ้นมาตัวเองจะตอบไม่ได้ ปัญหาระดับนั้นมันควบคุมยากเกินไป จึงพูดบอกทำให้สวีลิ่งอี๋คิดว่านางนั้นกำลังฟ้อง เรื่องของเฉียวเหลียนฝังต้องให้เขาคิดได้เอง
นางยิ้มแล้วเรียกสาวใช้เข้ามาเก็บโต๊ะ “ท่านโหวโมโหมากไปหน่อยเจ้าค่ะ” จากนั้นก็รินชาให้สวีลิ่งอี๋ อีกครั้ง
แต่ถ้วยชายังส่งไม่ทันถึงมือของสวีลิ่งอี๋ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “พ่อบ้านไป๋มาแล้วเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เผชิญหน้ากับสืออีเหนียง เขารู้สึกไม่สบายใจ
พ่อบ้านไป๋มาได้ถูกเวลาจริงๆ
เขาลุกขึ้น “ข้าไปจัดการหินที่ลานข้างนอกก่อน” พูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด
สืออีเหนียงก็คิดว่าพ่อบ้านไป๋มาได้ถูกเวลาจริงๆ
พวกเขาสองคนถือโอกาสนี้ลืมเรื่องนี้ไป
นางยิ้มแล้วไปส่งสวีลิ่งอี๋ออกไป พึ่งจะเข้ามานั่งข้างใน ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน ป้าหังตรอกกงเสียนมาเจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงตั้งครรภ์ หวังหลังเสียชีวิต แล้วยังมีเรื่องบุตรบุญธรรมของสกุลหวัง…พวกเขากำลังวุ่นวาย สืออีเหนียงรีบเชิญป้าหังเข้ามา
“คุณหนูสิบเอ็ด” ป้าหังย่อเข่าคำนับนาง “นายหญิงใหญ่อาการไม่ค่อยดี คุณนายใหญ่บอกว่า ให้ท่านกลับไปเยี่ยมนางเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ
วันนี้เกิดเรื่องขึ้นพร้อมกันมากมาย
นางรีบลุกขึ้น “ข้าจะกลับไปกับท่านประเดี๋ยวนี้”
*****
จะกลับไปสกุลเดิม นางต้องไปบอกไท่ฮูหยินก่อน
ได้ยินว่าสถานการณ์ของนายหญิงใหญ่ไม่ค่อยดี ไท่ฮูหยินจึงส่งคนไปตามสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ลานข้างนอกมา “…เจ้าเป็นบุตรเขย ก็กลับไปกับนางเถิด!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า บอกคนขับรถม้าให้ไปเตรียมรถม้า แล้วยังบอกให้หลินปัวไปนำตั๋วเงินที่พ่อบ้านไป๋มาสองพันตำลึง จากนั้นก็เรียกผู้ดูแลจ้าวที่ส่วนรายงานมา พาไปที่ตรอกกงเสียนด้วยกัน
“หาก…เตรียมตัวไว้ก่อน”
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร คิดว่าหากถึงขั้นนั้นจริงๆ มีสวีลิ่งอี๋อยู่ด้วย ก็ยังพอทำให้นายหญิงใหญ่สบายใจ
นางไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยิน จากนั้นก็รีบไปที่ตรอกกงเสียนกับสวีลิ่งอี๋
ใครจะรู้ว่า บรรยากาศในตรอกกงเสียนเงียบสงัด ทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีบรรยากาศโศกเศร้าเหมือนที่พวกเขาคิดเอาไว้
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน หลัวเจิ้นซิ่งที่ออกมาต้อนรับพวกเขาเห็นว่าพวกเขาพาคนมาด้วยเยอะแยะ แล้วยังมีท่าทีตกใจ
“ท่านโหว นี่ นี่คือ…”
“ท่านแม่สถานการณ์ไม่ดีไม่ใช่หรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดด้วยความเป็นห่วง
หลัวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะจับหน้าผาก “ท่านแม่เอาแต่บอกว่าตัวเองไม่สบาย อยากเจอเจ้า…” แต่เมื่อเห็นท่าทีที่เป็นกังวลของสืออีเหนียง อีกทั้งสวีลิ่งอี๋ยังมาด้วย เขาก็อุ่นใจ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
สืออีเหนียงพูดไม่ออก
พลันนึกถึงนิทานเรื่อง ‘เด็กเลี้ยงแกะขึ้นมา’
คุณนายใหญ่รีบออกมากอบกู้สถานการณ์ “รีบเข้ามาเถิด รีบเข้ามา ท่านโหวเป็นแขกคนสำคัญ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าตัวเองกังวลไปเอง เขาก็บอกให้ผู้ดูแลจ้าวกลับไป จากนั้นก็ไปคารวะนายท่านใหญ่และนายหญิงใหญ่กับสืออีเหนียง
นายท่านใหญ่เห็นว่าพวกเขาสองคนกลับมาด้วยกันก็ตกใจ หลัวเจิ้นซิ่งจึงเดินไปกระซิบอธิบายให้นายท่านใหญ่ฟัง นายท่านใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าซ้ำๆ มองไปที่สวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่พึงพอใจ จากนั้นก็บอกให้หลัวเจิ้นซิ่งไปเอาสุราจินหวาอันล้ำค่าของเขาออกมาต้อนรับสวีลิ่งอี๋ บอกให้สืออีเหนียงไปพูดคุยกับนายหญิงใหญ่
แต่นายหญิงใหญ่พูดจาได้ที่ไหนกัน
มีแต่ป้าสวี่ที่พูดได้
“นายหญิงใหญ่มีเรื่องบางอย่างจะถามท่านเจ้าค่ะ ให้บ่าวมาถามท่านแทน คุณหนูสิบเอ็ดอย่าได้รำคาญบ่าวเลยเจ้าค่ะ”
“ท่านป้าเป็นคนของท่านแม่ ดูแลพวกเรามาตั้งแต่เด็ก แล้วยังเป็นความต้องการของท่านแม่ ท่านป้าไม่ต้องเกรงใจหรอกเจ้าค่ะ”
ป้าสวี่ยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ
“นายหญิงใหญ่ให้บ่าวมาถามทานว่า เฉียวอี๋เหนียงตั้งครรภ์แล้วหรือเจ้าคะ”
ข่าวเร็วขนาดนี้ นอกจากป้าเถาแล้วยังจะมีใคร ไม่แปลกที่ตอนนั้นนางสายตาเป็นประกาย
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงนั่งตัวตรงบนเก้าอี้แล้วตอบกลับ
“เช่นนั้นคุณหนูสิบเอ็ดคิดว่าเช่นไรเจ้าคะ”
ในที่สุดรองเท้าข้างที่ลอยอยู่ในอากาศก็ตกลงมาแล้ว
สืออีเหนียงถอนหายใจแล้วพูดว่า “ข้าเป็นภรรยาเอก มีหน้าที่ดูแลอนุภรรยาให้ดี ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ข้าไม่มีทางทำให้ท่านแม่ผิดหวังแน่นอน ข้าจะดูแลเฉียวเหลียนฝังเป็นอย่างดี”
ป้าสวี่ตกใจ
นายหญิงใหญ่ที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงตลอดก็ลืมตาขึ้นทันที
สายตาของนางเฉียบแหลมและเย็นชาราวกับดาบและลูกธนู
สืออีเหนียงยิ้มอย่างขมขื่น
นายหญิงใหญ่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าสุขภาพไม่แข็งแรง แต่นางก็ยังชอบควบคุมทุกอย่าง
คุณนายใหญ่ที่อยู่เป็นเพื่อนสืออีเหนียง นั่งอยู่หน้าเตียงของนายหญิงใหญ่ก็รีบยิ้มแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบเอ็ด ท่านแม่แค่เป็นห่วงเจ้า ถึงได้เรียกเจ้ากลับมา ให้ป้าสวี่ถามไถ่สองสามประโยค เจ้าต้องรู้ว่า พวกเราเป็นญาติของเจ้า ทำทุกอย่างก็เพื่อเจ้า”
“ท่านแม่โปรดชี้แนะเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดด้วยท่าทีเคารพ สีหน้าของนางมีความแน่วแน่
ป้าสวี่มองดูนายหญิงใหญ่ที่เคร่งขรึม มองดูสืออีเหนียงที่สงบนิ่ง จากนั้นก็มองดูคุณนายใหญ่ที่ยิ้มอยู่ข้างๆ ก็กัดฟันแล้วพูดว่า “คุณหนูสิบเอ็ด ตอนที่ท่านอยู่ที่สกุลเดิม นายหญิงใหญ่เอ็นดูท่านมากที่สุด ไม่เช่นนั้น ก็คงจะไม่ให้ท่านแต่งงานกับหย่งผิงโหวทั้งๆ ที่ยังอายุแค่นี้ ท่านต้องรู้ว่าโดยปกติแล้วนี่เป็นเรื่องที่ไม่กล้าแม้แต่จะคิด ช่วงนี้นายหญิงใหญ่เป็นห่วงคุณหนูจึงเรียกป้าเถามาซักถาม ได้ยินว่าท่านโหวมักจะนอนที่เรือนของท่าน แต่ตอนนี้เฉียวอี๋เหนียงตั้งครรภ์ มันอันตรายต่อท่านมากเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงนั่งยิ้มให้ป้าสวี่
ป้าสวี่เห็นว่าสายตานั้นมีความเยาะเย้ยและดูถูกเจืออยู่ ก็ราวกับมีหนามทิ่มแทงบนหลังแต่กลับไม่พูดอะไรไม่ได้
“เฉียวอี๋เหนียงไม่เพียงแต่สถานะสูงส่ง แล้วยังหน้าตาสวยงาม ตอนนี้ก็ตั้งครรภ์แล้ว หากนางคลอดบุตรชายออกมา เกรงว่าท่านโหวคงจะยิ่งให้ความสำคัญกับนาง นางแต่งเข้าไปเช่นไร คุณหนูสิบเอ็ดก็รู้อยู่แล้ว ตอนนี้นางเป็นที่โปรดปราน เกรงว่าคนแรกที่นางจะไม่ยอมปล่อยไว้ก็คือท่าน ถึงตอนนั้นท่านจะทำเช่นไรเจ้าคะ ท่านต้องรู้ว่า หากไม่มีบุตร สตรีก็เหมือนไม่ไร้ที่พึ่งพา รากฐานไม่มั่นคง แต่หากมีบุตร ก็ต้องให้ท่านโหวมาอยู่ที่เรือนของท่าน แต่ท่านอายุยังน้อย หากตั้งครรภ์ตอนนี้ ก็เท่ากับท่านก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในโลงศพ สกุลสวีอยากได้ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง แต่สกุลหลัวของเราแค่อยากให้ลูกหลานปลอดภัย!”
สืออีเหนียงก้มหน้าจิบชา “เช่นนั้น ท่านแม่หมายความว่า?”
“นายหญิงใหญ่หมายความว่า ให้คุณหนูสิบเอ็ดรับสาวใช้ห้องข้างเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเป่าใบชาที่ลอยอยู่บนถ้วยชาเบาๆ
“หนึ่งคือสามารถช่วยท่านมัดใจท่านโหวไว้ได้ สองคือสามารถชักสีหน้าให้เฉียวอี๋เหนียงดู นางจะได้ไม่หยิ่งผยอง สามคือคุณหนูสิบเอ็ดจะได้รักษาสุขภาพ ผ่านไปสักสองปีจะได้มีบุตรให้ท่านโหว แล้วอีกอย่าง สาวใช้ห้องข้างคนนั้นก็เลี้ยงในเรือนของท่าน ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงอะไร ท่านจะจัดการนางเช่นไรก็ได้ หากไม่เชื่อฟัง ท่านก็ส่งนางกลับสกุลหลัวได้ทุกเมื่อ นายหญิงใหญ่ของเราจะจัดการให้ท่านเองเจ้าค่ะ ถึงแม้ว่าจะตั้งครรภ์ เด็กคนนั้นจะเลี้ยงในนามของใคร จะเลื่อนให้นางเป็นอี๋เหนียงหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับท่านทั้งสิ้น…”