เสียงฆ้องดังขึ้น งานประลองบทกวีที่ดำเนินต่อเนื่องมาหนึ่งเดือนจบสิ้นลงแล้ว
หอไจซิงและหอเหยาเย่ว์ยังคงเต็มไปด้วยเหล่าบัณฑิต แต่พวกเขาไม่ได้สะบัดพู่กันสาดหมึก เจ้าโต้ข้าแย้ง ใช้มือเท้าเตะต่อย…บางครั้งเมื่อการอภิปรายถึงจุดดุเดือด มีบัณฑิตบางคนอาจลงไม้ลงมืออย่างควบคุมไม่อยู่ แน่นอนว่าการลงไม้ลงมือของบัณฑิตไม่อาจบอกว่าเป็นการต่อสู้ หากแต่เป็นความสง่างามอีกแบบ
บนเวทีสูงเปลี่ยนเป็นเหล่าอาจารย์หยูผู้อาวุโสนั่งประจำการแทน ตำราแต่ละเล่มแบ่งตามประเภทของวิชาทั้งหกถูกส่งขึ้นมาเพื่อตัดสิน
ถึงแม้ตำราจะมีความสูงเท่าภูเขา แต่สำหรับเหล่าอาจารย์หยูแล้วไม่ถือว่าเป็นเรื่องยากนัก คนส่วนใหญ่ล้วนชมอยู่ตลอดการประลอง บางคนที่ไม่ได้ชื่นชมในเหตุการณ์ แต่ก็ไม่พลาดตำราแม้แต่น้อย ภายในใจมีคำตัดสินอยู่ก่อนแล้ว
อาจารย์หยูเหล่านี้ไม่ได้มาจากกั๋วจื่อเจี้ยนทั้งหมด แต่ยังมีอาจารย์หยูที่มีชื่อเสียงหากแต่มีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน ซึ่งเงื่อนไขนี้ย่อมเป็นคำร้องของเฉินตันจู
“พวกท่านจะได้ไม่เข้าข้างกันเอง”
โจวเสวียนหัวเราะ “จิตใจของผู้ต่ำต้อย” ก่อนจะชี้ไปยังสวีลั่วจือที่ยืนอยู่ “หรือการตัดสินแพ้ชนะจากใต้เท้าสวีหลังจากนี้ เจ้ายังไม่ยอม? ไม่ยอมเจ้าก็ไปหาอาจารย์หยูสามัญชนที่เทียบเทียมใต้เท้าสวีได้มาทำให้ผู้อื่นยอมรับทั้งหมด!”
โจวเสวียนไม่ได้เฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา ยิ่งไม่คบสหายด้วยบทกวี หรือจับตาเฝ้าดูอยู่เป็นประจำดังเช่นองค์ชายห้า องค์ชายสาม และองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี
“ข้าไม่สน อีกทั้งข้าไม่ต้องการรู้วิธีการประลอง” เขาพูด “ข้าต้องการแค่ผลลัพธ์”
จริงด้วย พวกเขาลืมไปว่าการประลองครั้งนี้ เดิมทีเริ่มต้นจากโจวเสวียนและเฉินตันจู
ดังนั้น ถึงแม้เหล่าบัณฑิตไม่เคยพบโจวเสวียนแม้แต่น้อย อีกทั้งไม่มีโอกาสได้สนทนากับโจวเสวียน แต่การแพ้ชนะของพวกเขาย่อมต้องให้โจวเสวียนมาตัดสิน โจวเสวียนไม่เพียงเดินทางมา อีกทั้งยังพาสวีลั่วจือมาด้วย
เหล่าอาจารย์หยูตัดสินคัดเลือกจากผู้ที่โดดเด่นจากเหล่าบัณฑิตที่เข้าร่วมการแข่งขัน สุดท้ายให้
สวีลั่วจือเป็นผู้ตัดสินคนเหล่านี้ ก่อนจะตัดสินการแพ้ชนะของชนชั้นสูงและสามัญชน
สวีลั่วจือเดินทางมาได้ ทำให้คนประหลาดใจอย่างมาก
เพราะว่าเรื่องนี้ มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างเฉินตันจูและกั๋วจื่อเจี้ยน หากพูดกันตามจริง อย่างไรก็เป็นการทำให้สวีลั่วจืออับอาย
คงอาจมีเพียงโจวเสวียนที่สามารถเชิญเขามา ส่วนการตัดสินของเขาย่อมทำให้ทุกคนยอมรับ อีกทั้งทำให้เรื่องกลับไปยังจุดเริ่มต้น ซึ่งเป็นเรื่องของความขัดแย้งของเฉินตันจูและกั๋วจื่อเจี้ยนในที่สุด
เฉินตันจูย่อมรู้เรื่องนี้ นางทิ้งคำพูดหนึ่งเอาไว้ “ข้าแค่ไม่ยอมรับการมองคนของสวีซินแส แต่ความรู้ของเขาข้ายังคงยอมรับอยู่” ก่อนจะเสียดสี “บทกวีที่ส่งมาปิดชื่อเอาไว้จะดีที่สุด สวีซินแสจะได้ไม่เพียงมองแต่คนไม่มองความรู้”
สวีลั่วจือยังคงทำหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย “ไม่ต้องปิดชื่อ ความสกปรกบางสิ่งบนโลกใบนี้ข้าไม่อยากดู แต่ตัวอักษรและบทกวีล้วนเป็นสิ่งบริสุทธิ์”
โจวเสวียนตะโกนว่าดี ก่อนจะมองเฉินตันจู “ถึงแม้ท่านพ่อข้าอยู่ เพียงแค่สวีซินแสเป็นผู้ตัดสินแพ้ชนะ ท่านย่อมไม่มีข้อสงสัย”
โจวชิงยิ่งไม่มีคนสงสัย
เฉินตันจูไม่ตอบโต้
หอทั้งสองไม่มีความคึกคักเหมือนก่อนหน้านี้ บัณฑิตส่วนมากไม่ได้เดินทางมา ในฐานะของผู้เป็นบัณฑิต สิ่งที่ทุกคนต้องการคือความสนุกสนานระหว่างบทกวี ส่วนการแพ้ชนะไม่จำเป็นต้องสนใจ
ส่วนผู้ใดแพ้ ผู้ใดชนะไม่มีความหมายสำหรับพวกเขา ชนชั้นสูงชนะเพียงแค่มีชื่อเสียงมากขึ้น แต่ชื่อเสียงนี้ไม่มีความสำคัญสำหรับพวกเขา สามัญชนชนะ ก็แค่มีชื่อเสียงมากขึ้น ซึ่งชื่อเสียงนี้ก็เป็นเพียงความรุ่งโรจน์ในชั่วขณะ สำหรับอนาคต ความรู้ของชีวิตยังต้องเดินทางไปอีกยาวไกลเหมือนเคย
นอกจากองค์ชายสามยังอยู่ในหอไจซิง…เคียงข้างหญิงงามเฉินตันจู องค์ชายห้าและองค์รัชทายาทเมืองฉีจัดงานขึ้นในสถานที่แห่งอื่นขึ้นมาแทน เชิญบัณฑิตไม่ว่าจะเป็นชนชั้นสูงหรือสามัญชนมาร่วมดื่มสุราฉลองงานอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้
เรื่องนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับบัณฑิต ไม่เกี่ยวกับเฉินตันจูที่ก่อเรื่องเพราะชายรูปงามผู้นั้น
ส่วนองค์ชายสามที่อยู่กับเฉินตันจูก็ไม่มีชื่อเสียงดีอะไรแล้ว องค์ชายห้านั่งอยู่ที่โต๊ะ มองดูเหล่าบัณฑิตที่นั่งล้อมรอบเต็มโถง ยกแก้วหัวเราะร่า “ทุกท่าน ข้าดื่มแก้วนี้ร่วมกับทุกท่าน”
เหล่าบัณฑิตต่างยกแก้วสุราพร้อมเสียงหัวเราะ ก่อนจะร่วมดื่มกับองค์ชายห้า จากนั้นผลัดกันเดินเข้าไป อภิปรายบทกวีร่วมกับองค์ชายห้า องค์ชายห้านั่งฟังอย่างกัดฟันอดทนกับความปวดหัว โชคดีที่เขาพาบัณฑิตอีกสี่ห้าคนมาด้วย พวกเขาสามารถรับมือกับบัณฑิตเหล่านี้แทนเขาได้
องค์ชายห้ายิ้มแย้มต่อบัณฑิตสามัญชนที่เชิญมาด้วยเช่นกัน เขากำชับด้วยความจริงใจ “ไม่ว่าชาติกำเนิดเป็นอย่างไร พวกเราล้วนเป็นบัณฑิต ย่อมเป็นคนในตระกูลเดียวกัน เรื่องเหลวไหลเหล่านั้นของเฉินตันจูไม่เกี่ยวกับพวกท่าน”
เหล่าบัณฑิตสามัญชนต่างกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง แต่ก็มีคนเบื่อหน่าย นั่งเศร้าโศกอยู่บริเวณที่นั่ง ถึงแม้จะบอกว่าเป็นคนในตระกูลเดียวกัน แต่อนาคตของคนในตระกูลเดียวกันช่างแตกต่างกันอย่างมาก อีกทั้งสิ่งที่น่าขบขันมากกว่าคือ หากไม่ใช่เพราะความเหลวไหลของเฉินตันจู เวลานี้พวกเขาคงไม่มีโอกาสได้นั่งร่วมงานเลี้ยงกับองค์ชาย
เมื่อเรื่องครั้งนี้ผ่านพ้นไป ทุกคนอาจไม่มีการติดต่อกันอีก เหล่าบัณฑิตจากชนชั้นสูงบ้างรับราชการ บ้างนั่งดื่มด่ำกับทรัพย์สมบัติในตระกูล สนุกสนานไปเรื่อยๆ แต่พวกเขาต้องวางแผนดิ้นรนหาที่พึ่งพา เมื่อรอโชคชะตามาถึง พวกเขาจึงได้รับตำแหน่ง สามารถทำตามเป้าหมายของตนเอง เปลี่ยนชนชั้นได้…
เวลานี้ผู้ที่นั่งอยู่ในงานเลี้ยงนี้สนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวนั้น ความสนุกสนานกับงานเลี้ยงเพียงชั่วคราว เขายกแก้วสุราขึ้นยิ้มเยาะตนเองเล็กน้อย ความแตกต่างระหว่างชนชั้นหากไม่ถูกถาม พวกเขาย่อมไม่มีวันกลายเป็นคนในตระกูลเดียวกัน
“เจ้าคิดสิ่งที่น่าดีใจบ้างเถิด” สหายที่อยู่ด้านข้างพูดเสียงเบา “หาโอกาสพึ่งพาองค์ชายห้า เผื่อภายหน้าเปลี่ยนชาติกำเนิดได้ รุ่นลูกหลานของเจ้าจะได้ไร้ความกังวล”
คนผู้นั้นยิ้ม “โอกาสเช่นนี้ต้องอาศัยโชคชะตาของคนผู้นั้น ก่อนจะสานสัมพันธ์ ถึงแม้ข้าได้รับโอกาสนี้ แต่รุ่นลูกหลานของข้าไม่ใช่ตัวข้า ดังนั้นอนาคตย่อมไม่ไร้กังวล”
สหายระอา “เจ้านี่ คิดเรื่องที่น่าดีใจบ้างไม่ได้หรือ”
“ไม่มีเรื่องใดน่าดีใจ” คนผู้นั้นถอนหายใจเสียงยาว ก่อนจะยกสุราขึ้นดื่มจนหมด “ฝืนยิ้มไปอย่างไร้จุดหมายเถิด”
สหายส่ายหัวพร้อมต้องการพูดบางสิ่ง ทันใดนั้นมีขันทีวิ่งเข้ามาจากด้านนอกประตูอย่างเร่งรีบ “องค์ชาย องค์ชาย”
องค์ชายห้าถูกขัด เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “เรื่องใด ผลการตัดสินออกมาแล้วหรือ ไม่ต้องสนใจเรื่องนั้น”
ขันทีวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ เขาหอบหายใจพลางกลืนน้ำลาย ก่อนจะพูด “มิใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ฝ่าบาท ฝ่าบาทเสด็จไปหอเหยาเย่ว์แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทรงต้องการดูผลการตัดสินวันนี้พ่ะย่ะค่ะ”
อย่างไรนะ
ฮ่องเต้!
ฮ่องเต้เสด็จออกจากพระราชวัง? อีกทั้งยังเสด็จไปดูผลการตัดสิน?
องค์ชายห้าไม่พูดมากความ เขาลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก อีกทั้งยังปัดแก้วสุราหก เตะโต๊ะเอียง เขาพุ่งตัวออกไปอย่างรีบร้อน คนอื่นต่างได้ยินว่าฮ่องเต้เสด็จไปหอเหยาเย่ว์ ผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว…
มีฮ่องเต้เสด็จไปดูผลการตัดสิน ย่อมเป็นความสนุกสนานมากที่สุด! แพ้ชนะย่อมสำคัญ!
แต่น่าเสียดายคือ ฮ่องเต้เสด็จออกจากพระราชวังอย่างลับๆ ราษฎรไม่รู้ข่าว จึงไม่ได้ก่อให้เกิดความติดขัด เมื่อรอฮ่องเต้เสด็จมาถึงหอเหยาเย่ว์ ทุกคนถึงได้รู้ จากนั้นทางหอเหยาเย่ว์จึงถูกองครักษ์หลวงปิดล้อมเอาไว้
นอกจากเหล่าบัณฑิตที่อยู่ด้านในก่อนหน้านี้ ผู้ที่อยู่ด้านนอกล้วนเข้ามาไม่ได้ แต่องค์ชายห้าและองค์รัชทายาทเมืองฉีย่อมเข้าไปได้ เวลานี้เขาย่อมไม่มีทางบอกว่าเหล่าบัณฑิตทุกคนทำได้เพียงทุบหน้าอกอยู่ด้านนอกอย่างเสียดาย มองร่างในชุดสีเหลืองบนเวทีสูงทางนั้นจากระยะไกล
ฮ่องเต้ไม่ได้เสด็จมาคนเดียว หากแต่ยังมีองค์หญิงจินเหยาติดตามมาด้วย
ทันทีที่ลงจากราชรถ องค์หญิงจินเหยาต้องการไปหาเฉินตันจูทันที นางถูกฮ่องเต้ถลึงตาใส่จึงหยุดลง ยืนกะพริบตาให้เฉินตันจูอยู่ข้างกายฮ่องเต้
เฉินตันจูส่งสายตากลับไปให้องค์หญิง ก่อนจะโค้งตัวคำนับฮ่องเต้ ถามด้วยความประจบและเป็นห่วง “ฝ่าบาทเสด็จมาได้อย่างไรเพคะ สิ้นปีมีเรื่องมากมายเช่นนี้”
ฮ่องเต้ส่งเสียงสงสัย มองดูหญิงสาวตรงหน้า “เจ้ายังรู้ว่าสิ้นปีมีงานมากหรือ แต่เจ้ายังออกมาก่อเรื่องวุ่นวายให้ข้า?”