ปีใหม่นับวันใกล้เข้ามา ฮ่องเต้นับวันยิ่งทรงงานมาก ตำราที่ส่งมาใหม่ล่าสุดถูกหยิบขึ้นอ่านมาหลังจากผ่านไปสองวัน
ถึงแม้เรื่องนี้ทำให้เขาปวดหัวยิ่งนัก แต่ก็ไม่ได้มาถึงตรงหน้าของเขา เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างมีความคิด บ้างคิดว่าเฉินตันจูได้รับการเอาใจตั้งแต่ไรมาเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ บ้างคิดลึกมากยิ่งกว่านั้น ความอันตรายที่ไม่อาจแตะต้องได้ เหล่าขุนนางต่างก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อหน้าฮ่องเต้ เพียงแค่มองเรื่องนี้เป็นเรื่องของกั๋วจื่อเจี้ยน
ฮ่องเต้ดีใจอย่างมาก เพียงแค่เรื่องไม่มาถึงต่อหน้าของเขา เขาอ่านตัวอักษรที่ถกเถียงกันบนตำรายิ่งดุเดือดยิ่งสนุก
ขันทีจิ้นจงเข้าใจฮ่องเต้อย่างเป็นที่สุด เขาปูเบาะรองนั่งและหมอนพิง จากนั้นรินชาร้อนเอาไว้ ห้องทรงพระอักษรนี้ถูกดัดแปลงจากพระตำหนักของท่านอ๋องอู๋ ไม่บอกไม่ได้ว่า ท่านอ๋องอู๋รู้การเสพสุขที่ดีเยี่ยม ด้านล่างพระตำหนักมีการชักน้ำจากบ่อน้ำร้อนเข้ามา ไม่ว่าด้านนอกจะหิมะตกหนักเพียงใด ในห้องแห่งนี้ยังคงอบอุ่นยิ่งนัก
ชาตินี้ฮ่องเต้ไม่เคยดื่มด่ำเท่านี้มาก่อน ภายในใจยังคงระแวงเล็กน้อย เกรงว่าตนเองจะหลงใหลในความสุข จนลืมทรงงาน ไม่รู้จักการพัฒนา…
“ฝ่าบาท” ขันทีคนหนึ่งชะโงกหน้าอยู่ด้านนอก เรียกขานด้วยความตระหนกเล็กน้อย “คุณหนูตันจูจะเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้นั่งตัวตรงขึ้นมาอย่างฉับไว อันที่จริงตั้งแต่เฉินตันจูเกิดเรื่องกับกั๋วจื่อเจี้ยน เขาไม่ได้ยินชื่อของเฉินตันจูมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ไม่ต้องกุมขมับปวดหัว
“นางมาทำอันใด” เขาถาม “หรือว่าก่อเรื่องกับเหล่าบัณฑิตยังไม่พอ นางยังลงมือทำร้ายคนด้วยตนเอง”
จากนั้นอาศัยโอกาสนี้มาถึงตรงหน้าเขา?
ขันทีรีบพูด “องครักษ์หลวงจู๋หลินบอกว่าไม่ได้มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…”
ร่างกายที่ตึงเครียดของฮ่องเต้ผ่อนคลายลง ขันทีจิ้นจงถลึงตาใส่อีกฝ่าย ช่างไร้ขอบเขต!
เอ๊ะ ไม่ใช่ ฮ่องเต้นั่งตัวตรงขึ้นอีกครั้ง ถามอย่างระแวง “นางมาหาผู้ใด ไม่อนุญาตให้นางไปพบจินเหยา หากนางไปทำให้ฮองเฮาโกรธ เป็นตายข้าก็ไม่สนใจ”
ฮองเฮากำลังรอนางเหยียบกับดักด้วยตนเอง
ขันทีกำลังจะตอบ ฮ่องเต้พูดขึ้นอีกครั้ง “องค์ชายสามหรือ” เขาหัวเราะเสียงเย็น หากต้องการพบองค์ชายสามยังต้องเดินทางเข้ามาในพระราชวังหรือ? นั่งอยู่ในหอไจซิง หรืออารามดอกท้อเรียกขานคำเดียว โอรสคนที่สามที่อ่อนโยน รู้เดินหน้าถอยหลังในเดิมทีของเขาก็เดินทางไปหานางเองแล้ว
ขันทีจิ้นจงก็รู้สึกปวดหัว เขาตำหนิขันทีผู้นั้น “ผู้ใดเป็นอาจารย์เจ้า เขาสอนเจ้าทูลรายงานอย่างไร พูดมากความ รีบพูด ตกลงเฉินตันจูเข้าวังมาหาผู้ใด”
ขันทีทำหน้าเศร้า เขาก็ไม่อยากมาทูล แต่ก่อนเพียงแค่มีงานทูลรายงานฮ่องเต้ ไม่มาถึงเขาแม้แต่ครั้งเดียว เพียงแค่เห็นว่าเป็นคุณหนูตันจู ทุกคนต่างวิ่งหนี เขาจึงถูกผลักออกมาอย่างโชคร้าย
“ฝ่าบาท” ขันทีไม่อยากอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ รีบพูด “คุณหนูตันจูบอกว่าจะมาหาโจวเสวียนพ่ะย่ะค่ะ”
โจวเสวียน? ช่างเกินคาดเสียจริง ฮ่องเต้ไม่ได้ปล่อยขันทีไป ถาม “เหตุใดนางจึงมาพบโจวเสวียน”
นางและโจวเสวียนดุจดั่งน้ำกับไฟ หลบยังไม่ทัน เหตุใดจึงวิ่งมาหา
“มาเพื่อโอ้อวดหรือ” ฮ่องเต้ถาม
ขันทีสั่นเทา “ข้าน้อย ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ”
“ไร้ประโยชน์” ฮ่องเต้โบกมืออย่างไม่สบอารมณ์ “ไปให้พ้น ไปให้พ้น”
ขันทีอยากจะไปให้พ้นมาก แต่…
“ฝ่าบาท” ถึงแม้อาจารย์ของเขาไม่ได้สอนให้เขารับมือต่อหน้าฮ่องเต้ แต่ก็ยังสอนกฎระเบียบขั้นพื้นฐาน ถามตามหน้าที่ “ให้คุณหนูตันจูเข้าพบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยังทำสิ่งใดได้ หากบอกว่าไม่ให้เข้า คุณหนูตันจูนั้นเกิดเสียสติขึ้นมา พาองครักษ์หลวงเข้ามาปั่นป่วนเขา…สู้ให้นางไปปั่นป่วนโจวเสวียนเสียดีกว่า
“ให้นางไป” ฮ่องเต้หัวเราะ ก่อนจะมองขันทีผู้นั้น “เจ้าตามไปด้วย ดูว่านางต้องการกระทำสิ่งใด”
…
“คุณหนูตันจู เชิญทางนี้ขอรับ”
ขันทีหันกลับไปเตือนเป็นครั้งที่สาม เรียกขานหญิงสาวที่มองซ้ายมองขวา อีกทั้งยังเดินไปอีกทางหนึ่งเอาไว้ ในวันแห่งฤดูหนาว เขาผู้เป็นขันทีระดับล่างมีเพียงเสื้อบางสวมใส่ แต่ตัวของเขากลับเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ท่านอย่าเดินหลง ตรงนั้นเป็นพื้นที่ต้องห้ามภายในราชวัง…”
พื้นที่ต้องห้ามภายในราชวังหรือ เฉินตันจูมองกำแพงพระราชวัง “ข้าจำได้ว่าแต่ก่อนท่านอ๋องอู๋ทำพื้นที่ทางนั้นเป็นเวทีแสดง มักจัดงานเลี้ยงทางนั้น…เวลานี้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้าม ดูท่าทางจะไม่สวยงามแล้ว”
คำพูดเหิมเกริมอะไรเช่นนี้ ขันทีแทบอยากจะอุดหูเอาไว้ วันนี้เขาได้งานนี้มาช่างโชคร้ายเหลือเกิน
เดินทางมาถึงพระตำหนักของโจวเสวียนอย่างยากลำบาก แต่โจวเสวียนกลับไม่อยู่ บอกว่ากำลังฝึกซ้อมอยู่ที่สนาม ขันทีทำได้เพียงพาเฉินตันจูที่มองซ้ายมองขวา อีกทั้งยังต้องการเข้าไปชมพระตำหนักเดินทางไปสนาม
พวกเขามองเห็นร่างของชายหนุ่มที่พลิกตัวอย่างคล่องแคล่วภายในสนามจากระยะไกล บริเวณรอบด้านยังยืนล้อมเต็มไปด้วยองครักษ์หลวง ขันทียังไม่ทันเดินเข้าใกล้ก็ถูกห้ามเอาไว้
“แม่ทัพโจวกำลังฝึกซ้อม ไม่อาจเข้าใกล้” พวกเขาห้ามเสียงเย็น
ขันทีรีบหยุดลง แต่ก็ถูกเฉินตันจูผลักจนเซไปด้านหน้า
“พวกข้าได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทมา” คุณหนูตันจูพูดอย่างไม่เกรงกลัวอยู่ด้านหลังของเขา “ผู้ใดกล้าขัดขวาง”
เหล่าองครักษ์ทำหน้าชะงัก ก่อนจะเก็บสีหน้าโหดเหี้ยมลง หลบออกไป
ขันที่ถูกผลักเดินเข้าไป ระลึกถึงระเบียบที่อาจารย์เคยสอนเหล่านั้น ตะโกนภายในใจ ถือเป็นพระราชโองการเท็จหรือไม่ เฉินตันจูยังบอกว่าพวกข้า เขาคือพวกของนาง เขาก็ถือว่าส่งต่อพระราชโองการเท็จแล้วหรือไม่ ฟ้าดินเป็นพยาน เขาเพียงแค่บอกว่าฮ่องเต้ให้เฉินตันจูพบโจวเสวียนเท่านั้น…เอ่อ เหมือนว่าจะเป็นพระราชโองการของฝ่าบาท แต่ก็รู้สึกผิดปกติในบางสิ่ง
ขันทีพลางครุ่นคิดพลางถูกผลักให้เดินผ่านขบวนขององครักษ์หลวง พวกเขาเดินมาถึงริมสนาม เฉินตันจูจึงมองผ่านเขาเข้าไปด้านใน ตะโกน “โจวเสวียน”
ในมือของโจวเสวียนถือดาบยาวเล่มหนึ่ง สะบัดไปมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังจดจ่อจึงไม่ได้ยิน หรือว่าจงใจเพิกเฉย
เฉินตันจูไม่ได้ตะโกนอีก เพียงแค่มองซ้ายมองขวา เดินเข้าไปหยิบคันธนูขึ้นมาจากชั้นวางอาวุธด้านข้าง
ขันทีถลึงตา นางต้องการทำสิ่งใด
เฉินตันจูดึงคันธนูเล็งไปที่โจวเสวียน เสียงของลูกธนูพุ่งตรงออกไปดังขึ้น…
ถึงแม้ขันทีจะจดจำคำสอนของอาจารย์ แต่เรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ทำให้เขาอดที่จะร้องอย่างตกใจออกมาไม่ได้
เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้น ธนูที่พุ่งออกไปถูกโจวเสวียนปัดทิ้ง แต่ดาบนั้นไม่ได้หยุดลง ร่างกายของชายหนุ่มดุจดั่งมังกร เขาถือดาบพุ่งตรงเข้ามา เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงตรงหน้าเฉินตันจู
ขันทีดุจดั่งได้กลิ่นของสนิม ไม่ใช่ กลิ่นคาวเลือด…
เขาร้องเสียงหลงออกมาอีกครั้ง ลมตรงหน้าหยุดลง
ดาบยาวปักลงตรงหน้า ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ก็หยุดยืนตรงหน้า สายลมพัดพาผมของเขาปลิวไสว ก่อนจะร่วงหล่นลง
“เฉินตันจู” เขาหัวเราะเสียงเย็น “ท่านบังอาจสังหารข้า?”
เฉินตันจูหมุนคันธนูในมือ “หากธนูที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงของข้าสามารถสังหารท่านได้ คุณชายโจวคงไม่ได้ยืนโบกสะบัดดาบในเวลานี้ หากแต่ตายในสนามรบไปแล้ว ข้าแค่ทักทายท่าน คุณชายโจวจดจ่อกับการฝึกฝน คงมีเพียงกำลังที่ทำให้ท่านเห็นข้า”
โจวเสวียนหัวเราะ “ท่านไม่ใช่ไม่กล้า หากแต่ท่านสังหารข้าไม่ได้”
“ใช่ ดังนั้นคุณชายโจวอย่ากังวลเลย” เฉินตันจูพูด ราวกับรำคาญยิ่งนัก “อย่าคิดแต่เพียงท่านตายข้ารอด แต่ตัดสินแพ้ชนะตรงหน้าก่อนเถิด”
โจวเสวียนขมวดคิ้ว “แพ้ชนะเรื่องใด”
“ท่านเป็นผู้เริ่มต้นจะประลองกับข้า ท่านไม่ได้ลืมแล้วใช่หรือไม่” เฉินตันจูถาม “เวลานี้เหล่าบัณฑิตประลองมาเกือบเดือนแล้ว ท่านคิดจะให้พวกเขาประลองต่อไป จนกระทั่งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย จึงรู้แพ้ชนะหรือ”
โจวเสวียนหัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้ “พูดเหลวไหลอันใดกัน” เขาหัวเราะเสียงเย็น “ยังต้องให้ข้าออกหน้าหรือ คุณหนูตันจูมีองค์ชายสามอยู่ข้างกาย ต้องการทำสิ่งใดก็แค่พูดเท่านั้น”
“จะเหมือนกันได้อย่างไร” เฉินตันจูพูด “การประลองนี้เป็นการประลองของพวกเรา องค์ชายสามอยู่ฝั่งข้า” นางชี้มาที่ตัวเอง “การประลองแพ้ชนะ เป็นสิ่งที่ท่านกับข้าต้องเจรจา”
นิ้วของนางชี้ไปทางโจวเสวียน
โจวเสวียนมองนิ้วเรียวเล็กที่ยื่นมาตรงหน้า ช่างเป็นคุณหนูที่อยู่อย่างสุขสบาย นิ้วมือขาวละอ่อน เล็บมือกลมๆ ปนไปด้วยสีชมพู…ดาบในมือของเขาสะบัดขึ้นมาอย่างกะทันหันขันทีที่ตั้งสติกลับมาได้ร้องเสียงหลงอีกครั้ง…
…
“ต่อมาเล่า” ฮ่องเต้ถามอย่างเร่งเร้า
ขันทีระลึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ยังคงหอบหายใจ จากนั้นจึงพูดขึ้น “ต่อมา คุณหนูตันจูหลบออกไป ไม่ได้ถูกตัดนิ้ว ฝ่าบาท น่ากลัวอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถลึงตาใส่ขันที โง่เขลาสิ้นดี
“อาเสวียนใช่คนที่ทำร้ายผู้อื่นเหลวไหลหรือ หากเขาต้องการให้เฉินตันจูตาย เขาก็ไม่มีทางสังหารนางอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้” เขาพูดเสียงเรียบ
บัณฑิตสังหารผู้อื่นย่อมต้องมีเหตุผล ต้องมีข้ออ้าง
ถึงแม้อาเสวียนจะถือดาบ แต่ในกระดูกยังคงเป็นบัณฑิต
“เช่นนั้น” ฮ่องเต้มองขันที “อาเสวียนตกลงจะตัดสินแพ้ชนะแล้วหรือ”
ขันทีพยักหน้า “รับปากแล้วพ่ะย่ะค่ะ คุณชายโจวนัดหมายกับคุณหนูตันจู สามวันหลังจากนี้ ตัดสินแพ้ชนะ”