ตำหนินางทันทีที่พบหน้า เฉินตันจูย่อมต้องร้องขอความเป็นธรรม “ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากหม่อมฉันคนเดียว ยังมีโจวเสวียนด้วยเพคะ”
โจวเสวียนยืนหัวเราะเสียงเย็นอยู่อีกข้างของฮ่องเต้ “ทั้งไม่ได้ลักพาตัวบัณฑิตผู้งดงาม อีกทั้งไม่ต้องส่งคนเข้าไปศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน”
คำพูดเช่นนี้ทุกคนล้วนพูดกันในที่ลับ ผู้เป็นบัณฑิตไม่ต้องการตำหนิเฉินตันจูต่อหน้า ช่างน่าอับอาย ตนเองไม่อาจพูดออกมาได้ แน่นอน ไม่ใช่ไม่กล้า
ผู้ที่ไม่กลัวอับอายและกล้านั้นคงมีแค่โจวเสวียนเท่านั้นแล้ว
เฉินตันจูตาแดงก่ำขึ้นมาทันที “ฝ่าบาท…”
องค์ชายสามก้าวออกมา “เสด็จพ่อ อันที่จริงเรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิด”
“พี่ซิวหยง” โจวเสวียนพูดอย่างเป็นห่วง “ท่านอย่าถูกเฉินตันจูหลอก นางมีแต่คำพูดโกหก ท่านไม่รู้จักนาง…”
องค์หญิงจินเหยาถลึงตาใส่โจวเสวียนจากอีกด้านของฮ่องเต้ “โจวเสวียน เจ้ารู้จักคุณหนูตันจูดีมากนักหรือ”
โจวเสวียนพูดอย่างโอ้อวด “คนแบบคุณหนูตันจู ข้าแค่มองก็รู้แล้ว”
หญิงสาวและชายหนุ่มต่างพูดตอบโต้กัน ฮ่องเต้ที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางรู้สึกเพียงปวดหัว ก่อนจะมองไปยังผู้คนที่เงี่ยหูฟังอยู่รอบด้าน เขารีบเอ่ยปากปรามทันที
สาเหตุที่ออกมานอกพระราชวัง เพราะไม่ต้องการให้มาทะเลาะต่อหน้าเขาคนเดียว โดยเฉาะชายหนุ่มหญิงสาวที่ตีไม่ได้ด่าไม่ได้เหล่านี้
“สวีซินแส” ฮ่องเต้เรียกขาน “ผลการตัดสินออกมาแล้วหรือไม่”
สวีลั่วจือพยักหน้า “ใกล้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เขายื่นมือทำท่าเชิญ “ฝ่าบาทเชิญประทับ”
ฮ่องเต้รีบเดินตามสวีลั่วจือไปนั่ง โจวเสวียนติดตามนั่งลงข้างกายฮ่องเต้ องค์หญิงจินเหยาอาศัยโอกาสเดินมาอยู่ข้างกายเฉินตันจู
“ท่านขอฝ่าบาทมา?” เฉินตันจูถามนางเสียงเบา
องค์หญิงจินเหยาพยักหน้า “ความคึกคักในตอนสุดท้าย ข้าไม่อาจพลาดได้”
เฉินตันจูจับมือของนาง กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง
“เดิมทีข้าบอกว่าข้าจะเดินทางมาเอง แต่เสด็จพ่อต้องเสด็จมาด้วย มิฉะนั้นเสด็จแม่ไม่ปล่อย” องค์หญิงจินเหยาพูดเสียงเบา ก่อนจะเป็นกังวลเล็กน้อย “คงไม่มีปัญหาอันใดกระมัง”
ฮ่องเต้เสด็จมาด้วยตนเอง หากเกิดเรื่องใดขึ้น คงไม่ใช่เรื่องเล็ก
เฉินตันจูยิ้มพลันส่ายหัว “ไม่เพคะ องค์หญิง ฝ่าบาทเสด็จมาเองก็เกินความคาดหมายของหม่อมฉันมากแล้ว ช่างดีเสียจริง ขอบคุณท่านมากจริงๆ” จับมือขององค์หญิงจินเหยาแน่น “ ไม่มีท่าน หม่อมฉันจะทำอย่างไร”
องค์หญิงจินเหยาหัวเราะ พูดข้างหูนาง “ไม่มีข้า ยังมีพี่สามของข้า”
เฉินตันจูถลึงตาใส่นางอย่างเขินอาย
องค์ชายสามกระแอมไออยู่ด้านหลัง ขัดเสียงกระซิบของหญิงสาวทั้งสอง “ฝ่าบาทยังอยู่ มีสิ่งใดค่อยพูดกันทีหลัง”
องค์หญิงจินเหยาและเฉินตันจูยิ้มให้เขา ก่อนจะไม่พูดสิ่งใดต่อ มองขึ้นไปยังบนเวที สวีลั่วจือนำตำรากองหนึ่งวางไว้ตรงหน้าของฮ่องเต้
“เหล่านี้ล้วนเป็นผู้โดดเด่นที่ข้าคัดออกมา” สวีลั่วจือพูด “เชิญฝ่าบาททอดพระเนตร”
ฮ่องเต้ไม่ได้อ่าน หากแต่ถามขึ้นโดยตรง “ซินแสตัดสินก็พอ ผู้ชนะคือฝ่ายใด”
เด็ดขาดเพียงนี้หรือ คนบริเวณรอบด้านหลังต่างเงียบลง
คนในหอเหยาเย่ว์และหอไจซิงยิ่งหยุดหายใจ เหล่าบัณฑิตที่ถูกกีดขวางอยู่ด้านนอกระยะไกลยิ่งยื่นหูเข้ามา…
สวีลั่วจือพูด “ในวิชาทั้งหก ผู้ที่ถูกคัดเลือกมีทั้งหมดยี่สิบราย มีสามัญชนสิบสามราย ดังนั้น บัณฑิตสามัญชนชนะพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ภายในหอไจซิงส่งเสียงโห่ร้องอย่างดีใจขึ้นมาทันที จากนั้นแปรเปลี่ยนเป็นเสียงตกใจ ทุกคนต่างตกใจกับเสียงนั้น เมื่อมองไปตามเสียง ที่แท้ก็มีบัณฑิตผู้หนึ่งที่เบียดอยู่ริมหน้าต่างเกือบตกลงมาเพราะความดีใจ เวลานี้กำลังถูกคนดึงเอาไว้อย่างตระหนก
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมา โดยเฉพาะทางหอเหยาเย่ว์ เหล่าบัณฑิตต่างทำหน้าไม่แยแส ทำให้เหล่าบัณฑิตที่อยู่ห่างไกลออกไปไม่กล้าแสดงออกถึงความดีใจเมื่อรู้ผล…แต่ก็ไม่มีสิ่งใดน่าดีใจ เพียงแค่การแข่งขันเท่านั้น
เฉินตันจูไม่เขินอายมากมาย นางหัวเราะเสียงดัง “ข้ารู้อยู่แล้ว ข้าสามารถชนะได้”
โจวเสวียนหัวเราะขึ้นมาเช่นเดียวกัน “แพ้ชนะเกี่ยวอันใดกับท่าน ไม่ใช่ความรู้ของท่านเสียหน่อย”
ฮ่องเต้เคาะโต๊ะ “พวกเจ้าทั้งสองเงียบปาก ในเมื่อรู้ว่าไม่เกี่ยวกับพวกเจ้าก็ไม่ต้องพูด!” ก่อนจะเปิดเล่มรายชื่อออกมา
ตามการเปิดเล่มรายชื่อของฮ่องเต้ คนบริเวณรอบด้านต่างตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ผู้โดดเด่นยี่สิบรายล้วนมีผู้ใดบ้าง ชื่อของผู้ใดอยู่ด้านบน ผู้ใดจะถูกสายตาของฮ่องเต้จ้องมอง
“พันหยง” ฮ่องเต้พูด “ผู้ใดคือพันหยง”
บริเวณรอบด้านเงียบสงบ นาทีถัดมา ภายในหอไจซิงส่งเสียงตกใจออกมา
“พันหยง…”
“อาโฉ่ว...”
ตามเสียงโต๊ะเก้าอี้ที่กระทบกัน บัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากภายในหออย่างทุลักทุเล ไม่รู้ว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้สวมรองเท้า หรือว่าหลุดออกเมื่อวิ่งอย่างรีบร้อน เขาพลางเดินพลางถือรองเท้า ท่าทางไม่สง่างามอย่างมาก เมื่อรอเขาเดินขึ้นบนเวทีอย่างทุลักทุเลแล้ว ทุกคนจึงได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เสียงฮือฮาดังขึ้นกว่าเดิม…รูปลักษณ์ก็ไม่งดงามเช่นเดียวกัน
“พันหยง” พันหยงคำนับอย่างยิ่งใหญ่ “คำนับฝ่าบาท”
ฮ่องเต้พูด “ลุกขึ้นเถิด”
พันหยงลุกขึ้น เดิมทีเขาคิดจะก้มหน้า แต่เขากัดฟันเงยหน้าขึ้นสบตากับฮ่องเต้
ฮ่องเต้มองหน้าอีกฝ่าย เอ่ยพูด “อย่าได้คิดว่ารูปลักษณ์ไม่ดีก็ริอาจแทนตัวเองเทียบจื่ออวี่ สิ่งสำคัญคือความรู้และความประพฤติ”
พันหยงตอบรับ ก่อนจะคำนับอีกครั้ง “บัณฑิตจดจำคำสอนของฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจอีก เขาเรียกขานอีกชื่อหนึ่ง ครานี้เป็นบัณฑิตชนชั้นสูงจากหอเหยาเย่ว์ อย่างไรก็เป็นชนชั้นสูง การเดินขึ้นเวทีของเขาดีกว่าพันหยงอย่างมาก ท่าทางสง่างาม อีกทั้งรูปลักษณ์ที่งดงาม เสียงร้องชื่นชมรอบด้านดังขึ้น
ฮ่องเต้ไม่มีสิ่งใดพูดกับบัณฑิตรูปงาม เพียงแต่ให้เขายืนอยู่กับพันหยง ก่อนจะเรียกขานชื่อในเล่มอีกครั้ง เวลานี้ทุกคนต่างกระจ่าง ฮ่องเต้ต้องการเรียกพบบัณฑิตผู้มีความสามารถเหล่านี้ ทันใดนั้นหัวใจของทุกคนล้วนตื่นเต้น ยิ่งมีคนเป็นลมล้มไปเพราะไม่รู้ว่ามีชื่อของตนเองหรือไม่
“หยิกให้ตื่นหรือ หากเรียกถึงเขา?”
“ไม่ต้อง เมื่อเรียกถึงเขา เขาคงตื่นเอง”
เสียงสนทนาดังขึ้นอย่างเบาๆ บริเวณรอบด้าน แต่ทำให้เสียงของฮ่องเต้กระจายออกไปอย่างชัดเจน
แน่นอนว่าไม่ใช่บัณฑิตทุกคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียงหอ หลังจากเสียงของฮ่องเต้เรียกขาน ไม่มีผู้ใดตอบรับจากภายในหอทั้งสอง ในเวลานี้ เหล่าบัณฑิตล้วนไม่แยกฝ่ายกัน ต่างตะโกนขานชื่อของคนผู้นั้น เสียงกระจายออกไป บัณฑิตที่ถูกกีดขวางอยู่ด้านนอกด้วยองครักษ์หลวงต่างตะโกนตอบเสียงดัง “ข้าอยู่ตรงนี้”
บัณฑิตผู้หนึ่งรีบวิ่งตรงไปที่ด้านหน้าขององครักษ์หลวง ชี้ใบหน้าของตนเองพร้อมแจ้งชื่อ สหายของเขาที่อยู่รอบตัวเขาต่างพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาคือคนผู้นั้น เมื่อองครักษ์หลวงเห็นขันทีทางนั้นพยักหน้าหลังถามอาจารย์หยู พวกเขาจึงหลีกทางให้
บัณฑิตผู้นั้นวิ่งขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้ไม่พูดสิ่งใด อาจารย์หยูผู้หนึ่งถลึงตาใส่เขา “รู้ว่าวันนี้ประกาศผล เหตุใดจึงไม่มา”
รู้ว่าวันนี้ประกาศผล แต่ไม่รู้ว่าวันนี้ฮ่องเต้จะเสด็จมา คนผู้นั้นตะโกนอยู่ในใจ แต่เขาไม่กล้าพูดมาก ทำได้เพียงก้มหน้ายืนตัวตรง
ทางด้านฮ่องเต้เรียกขานผู้ชนะยี่สิบรายจนจบสิ้น ก่อนจะไล่ถามบทกวีที่พวกเขาเขียน ถิ่นกำเนิดอยู่ที่ใด ก่อนจะติชมร่วมกับสวีลั่วจือและอาจารย์หยูทั้งหลาย เกียรติยศเช่นนี้ ทำให้สายตาของคนรอบข้างร้อนผ่าวดุจดั่งดวงอาทิตย์…
“ซิวหยง” ฮ่องเต้เรียกองค์ชายสาม “บัณฑิตสามัญชนเจ้าเป็นผู้เชิญมาทั้งหมด?”
องค์ชายสามยังไม่ทันตอบ พันหยงก็แทรกขึ้น “พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท องค์ชายสามเสด็จมาเชิญพวกกระหม่อมท่ามกลางวันที่หิมะตกหนัก ไม่อาจปิดบังฝ่าบาท พวกกระหม่อมย้ายไปอยู่นอกเมืองเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ ไม่คิดว่าองค์ชายจะไม่ท้อถอย…”
องค์ชายสามพูดขัดเขาด้วยรอยยิ้ม พูดกับฮ่องเต้ “คุณหนูตันจูเป็นผู้ตามหาพวกเขาจนเจอ กระหม่อมแค่ติดตามไปเชิญพวกเขา คุณหนูตันจูถึงจะเป็นผู้ที่ไม่ท้อถอย”
ฮ่องเต้เหลือบมองเขาอย่างมีนัย ไม่จำเป็นต้องชื่นชมคุณหนูตันจูทุกเรื่องกระมัง
“ฝ่าบาท คนเหล่านี้หม่อมฉันเป็นคนหาจริงๆ” เฉินตันจูพูดอย่างไม่เกรงใจอยู่ด้านข้าง “องค์ชายไม่ได้โกหกเพคะ”
องค์ชายไม่ได้โกหก องค์ชายกำลังชื่นชมเจ้าอยู่! ฮ่องเต้ถลึงตาใส่เฉินตันจู “เจ้าหาเจอหรือ? เจ้าเป็นผู้ทำให้พวกเขาหนีไปกระมัง คนเหล่านี้มาเพราะเจ้า?”
บัณฑิตผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมาอย่างเฉลียวในทันที “พวกกระหม่อมมาเพื่อองค์ชายสาม!”
องค์ชายสามรีบพูด “เรื่องยิ่งใหญ่เช่นนี้ บัณฑิตผู้ใดย่อมไม่อยากพลาด”
บุตรชายของเขา ทั้งถ่อมตนทั้งพูดจาน่าฟัง ฮ่องเต้มององค์ชายสามด้วยสีหน้าเมตตามากยิ่งขึ้น องค์ชายห้าที่เบียดเข้ามาอดทนไว้ไม่ได้อีกต่อไป เขายืนออกมาเรียกขานเสด็จพ่อ ชี้ไปยังบัณฑิตชนชั้นสูงบนเวที “เสด็จพ่อ ชนชั้นสูงทางหอเหยาเย่ว์ล้วนเป็นกระหม่อมที่เชิญมา…”
ฮ่องเต้เหลือบมองเขา “เกี่ยวอันใดกับเจ้า ทางด้านหอเหยาเย่ว์โจวเสวียนเป็นผู้เชิญต่างหาก ตำราไม่กี่เล่มที่เจ้าอ่านจะเชิญผู้ใดมาได้ เหตุใดก่อนหน้านี้จึงไม่เห็นเจ้า”
องค์ชายห้าใบหน้าแดงก่ำ ต้องการแย้งแต่ไม่มีสิ่งใดจะพูด ทำได้เพียงกล่าว “กระหม่อมช่วยอาเสวียน อาเสวียนไม่อยู่ตรงนี้ก่อนหน้านี้”
ฮ่องเต้พูด “ชื่อของโจวเสวียนอยู่ตรงนี้ก็เพียงพอแล้ว!”
แย่งคุณงามความดีกับโจวเสวียนไม่ได้ องค์ชายห้าทำได้เพียงหยุดการโต้แย้ง เขาเหลือบมองเหล่าบัณฑิต จำไม่ได้ว่าผู้ใดเคยสนทนากับตนเอง ทำได้เพียงหวังว่าพวกเขาจะเห็นแก่ฐานะองค์ชายของเขา ชื่นชมเขาเล็กน้อยเหมือนดั่งบัณฑิตสามัญชนผู้นั้น แต่บัณฑิตชนชั้นสูงหลายคนนี้ไม่สนใจสายตาขององค์ชายห้า ราวกับไม่รู้จักเขา…
ฐานะชนชั้นสูงของพวกเขาไม่เกี่ยวกับองค์ชายห้า ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความสง่างามของชาติกำเนิดไปประจบเขา ยิ่งไปกว่านั้นเวลานี้ตรงหน้ามีฮ่องเต้!
องค์ชายห้าทำได้เพียงถอยหลังไปอย่างขุ่นเคือง เขาเงยหน้ามองเฉินตันจูที่พูดกับฮ่องเต้ด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ครานี้หม่อมฉันชนะแล้ว โจวเสวียนแพ้แล้ว”
เหิมเกริมเช่นนี้ ฮ่องเต้กลับไม่ได้ตำหนินาง เพียงแค่หัวเราะเสียงเย็น “เจ้าชนะได้อย่างไร เจ้ารู้ดีแก่ใจ”
เฉินตันจูยิ้ม “หม่อมฉันรู้เพคะ” นางหันไปมององค์ชายสาม
รอยยิ้มของหญิงสาวงดงาม องค์ชายสามยิ้มตอบนาง
สายตาขององค์ชายห้ามองคนทั้งสองก่อนจะสลับไปมองฮ่องเต้ สายตาของฮ่องเต้มองไปยังองค์ชายสาม ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร่และภูมิใจ…
องค์ชายห้าโกรธแค้นภายในใจ ก่อนจะปรากฏความคิดหนึ่งขึ้น
“คุณหนูตันจู” เขาพูด “บัณฑิตจางเหยาท่านนั้นเล่า? เจ้าเหยียดหยามสวีซินแส ตะโกนตำหนิกั๋วจื่อเจี้ยน บังคับโจวเสวียนสัญญาการประลองระหว่างชนชั้นสูงและสามัญชนกับเจ้าเพื่อเขา ไม่รู้ว่าบัณฑิตท่านนี้ มีบทกวีที่โดดเด่นในการประลองครั้งนี้หรือไม่”
เมื่อสิ้นคำนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเฉินตันจูชะงักไป ความเมตตาในดวงตาของฮ่องเต้ก็สลายไป เขาขมวดคิ้วขึ้น
“สวีซินแส” เขาถาม “จางเหยาผู้นี้อยู่ในรายชื่อผู้โดดเด่นหรือไม่”
สวีลั่วจือพูดอย่างเรียบเฉย “ไม่”