หนานกงมั่วใบหน้าเรียบนิ่ง แม้แต่ดวงตายังไม่ขยับ ยกมือขึ้นมารับคมดาบที่กำลังพุ่งลงมาหาตนเอง ขยับนิ้วมือเบาๆ คนที่ถือดาบเอาไว้รู้สึกว่าง่ามมือชายิบ แทบไม่มีแรงจับด้ามดาบเอาไว้ให้มั่น เวลาต่อมา ฝ่ามือเดียวของหนานกงมั่วก็ตีเข้าที่หน้าอกของเขา จนต้องก้าวถอยหลังไปหลายก้าวกระแทกเข้ากับคนที่อยู่ด้านหลังระนาว
หนานกงมั่วช้อนดวงตาขึ้นมอง สายตาดุจหิมะ “หลีกไป”
หลิ่วหันควงกริชสั้นในมือเล่น เอ่ยเสียงเย็น “จวิ้นจู่ ท่านจะเสียเวลาคุยกับพวกเขาไปทำไมกันเจ้าคะ รอพวกเขาตายหมดก็ไม่มีใครมาขวางทางเราเอาไว้ได้แล้ว” ขวางทางสองคำนี้ยังเอ่ยไม่ทันจบ ประกายดาบเรืองรองราวกับแสงของหิมะก็พุ่งเข้าหาคนเหล่านั้น ขณะเดียวกันกระบี่ยาวในมือของซิงเวยก็เคลื่อนตัวออกจากฝักติดตามออกไป
“สู้สิ”
ไม่รู้ว่าเสียงใครตะโกนขึ้นมา กลุ่มคนของหยาเหมินยกอาวุธขึ้นมา ตรงเข้ามาหาพวกเขา ชั่วพริบตาคนทั้งสองฝั่งต่อสู้กันชุลมุนขึ้นมาทันใด หนานกงมั่วยังคงประคองแขนของพระชายาเยี่ยนอ๋อง ก้าวเดินเชื่องช้าผ่านการนองเลือดของกลุ่มคนตรงไปยังประตูทางออก หลิ่วหันติดตามอยู่ด้านหลังนาง ตลอดทางเดินออกไปนั้นมีคนพุ่งเข้ามาไม่หยุด หนานกงมั่วใช้อาวุธลับส่งไปทักทายพวกเขา แม้จะมีปลาที่ติดร่างแหบ้าง ทว่ายังไม่ทันได้เข้าใกล้พระชายาเยี่ยนอ๋องก็ต้องตายเพราะคมดาบของหลิ่วหัน
ดังนั้น จนกระทั่งเดินข้ามประตูออกมาก็ไม่มีใครสามารถขัดขวางพระชายาเยี่ยนอ๋องเอาไว้ได้ ด้านนอกหยาเหมินผู้ว่าการเมืองโยวโจว ทหารองครักษ์นับร้อยจากจวนเยี่ยนอ๋องมารออยู่ด้านหน้าประตูตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นหนานกงมั่วคุ้มกันพระชายาเยี่ยนอ๋องออกมา รีบเข้าไปล้อมทั้งสองให้อยู่ตรงกลาง เห็นพวกเขาออกไป ซิงเวยเองก็ไม่ต่อสู้พัวพันต่อ ส่งสัญญาณมือพาเหล่าองครักษ์ชุดดำทิ้งคนพวกนี้เอาไว้และออกจากเขตหยาเหมินผู้ว่าการเมืองโยวโจวไป
หยาเหมินด้านหลังมีคนสองคนเดินออกมา ชายในชุดผ้าแพรเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ “ไยเจ้าจึงไม่สั่งให้คนยิงธนู ปล่อยให้พระชายาเยี่ยนอ๋องและซิงเฉิงจวิ้นจู่หนีไปได้”
สีหน้าของฉีซั่วเองก็ไม่ดีนัก เขาไม่คิดว่าองครักษ์ของหนานกงมั่วจะน่าทึ่งเพียงนี้ สังหารคนของเขานับร้อยแล้วหนีไปได้ง่ายๆ โดยไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายแม้เพียงคนเดียว ยืนมองหนานกงมั่วพาพระชายาเยี่ยนอ๋องเดินจากไป ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก แต่ว่า… “ยิงธนูหรือ ยิงพระชายาเยี่ยนอ๋องตายแล้วโทษเจ้าหรือโทษข้ากันเล่า”
“เหอะ” ชายผู้นั้นส่งเสียงหยัน เอ่ย “โจรกบฏ ตายไปก็สมควร”
ฉีซั่วยิ้มเย็น เอ่ย “โจรกบฏอย่างนั้นหรือ ไหนเล่าหลักฐานว่าเยี่ยนอ๋องก่อกบฏ เยี่ยนอ๋องยังไม่ก่อกบฏ คนจวนเยี่ยนอ๋องก็ไม่อาจแตะต้อง หรือว่าต้องการให้คนทั่วทั้งแผ่นดินได้เอ่ยว่าเพราะเยี่ยนอ๋องขัดต่อราชโองการ ฝ่าบาทถึงขั้นต้องยิงพระชายาเยี่ยนอ๋องตายอย่างนั้นหรือ ท่านอย่าลืมเล่า แม้ว่าหลานกั๋วกงจะตายไปแล้ว แต่ว่า…จวนหลานกั๋วกงยังอยู่ พระชายาเยี่ยนอ๋องยังเป็นบุตรีจากจวนหลานกั๋วกง” หลานกั๋วกงภักดีต่ออดีตฮ่องเต้ เพราะว่าจากไปเร็วจึงไม่ได้ขวางหูขวางตาอดีตฮ่องเต้ นับว่าตายด้วยดี เทียบกับขุนนางที่ถูกทำลายวงศ์ตระกูลเหล่านั้น แม้ว่าจวนหลานกั๋วกงจะดูรั้งท้ายเพราะหลานจู้จากไปเร็วกว่าวัยอันควร แต่ชื่อเสียงความยิ่งใหญ่นั้นยังคงโด่งดัง ผู้ใต้บัญชาของหลานกั๋วกงในครั้งนั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม หลานกั๋วกงคนปัจจุบันยังเป็นพี่ชายของพระชายาเยี่ยนอ๋องนับว่ายังมีอำนาจอยู่ในกองทัพ
ชายในชุดผ้าแพรเองก็รู้ว่าฉีซั่วกล่าวไม่ผิด ทว่ายังคงไม่ยอม “เพียงฝ่าบาทเริ่มเปิดศึกกับเยี่ยนอ๋อง ฝ่าบาทยังจะให้หลานกั๋วกงอยู่ในตำแหน่งสำคัญอยู่หรือ ยามนี้ปล่อยพระชายาเยี่ยนอ๋องไป…”
ฉีซั่วเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ก็คงดีกว่าบีบให้หลานกั๋วกงต้องก่อกบฏหรือไม่” น้องสาวของตนอยู่ดีๆ กลับถูกฮ่องเต้ส่งคนมาฆ่า ต่อให้กษัตริย์อยากให้ราษฎรตายราษฎรก็ต้องตายแต่ก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลเช่นนี้หรือไม่ ต่อให้บีบเว่ยอ๋องตายแล้วค่อยสังหารพระชายาเยี่ยนอ๋อง ชื่อเสียงของฝ่าบาทในสายตาประชาชนนั้นยังจะดีได้อยู่หรือไม่
หนานกงมั่วคุ้มกันพระชายาเยี่ยนอ๋องกลับมาถึงจวนเยี่ยนอ๋อง เซียวเชียนชื่อสองพี่น้องมารออยู่หน้าประตูจวนอยู่ก่อนแล้ว มองเห็นพวกนางกลับมาถึงจึงถอนหายใจออกมา เพียงแต่เมื่อเดินเข้าประตูใหญ่ ขาของพระชายาเยี่ยนอ๋องพลันอ่อนแรงล้มลงกับพื้นจนทุกคนตื่นตกใจ
“เสด็จแม่ เป็นอันใดหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ทั้งสองรีบเข้าไปรุมล้อม เอ่ยถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ
พระชายาเยี่ยนอ๋องเงยหน้าขึ้นมาฝืนยิ้ม ส่ายหน้าให้กับทั้งสองคน เอ่ย “ข้าไม่เป็นไร ประคองข้าลุกขึ้น”
หนานกงมั่วประคองพระชายาเยี่ยนอ๋องลุกขึ้น เอ่ยเสียงเบา “เสด็จป้ากลับไปให้คนต้มน้ำแกงคลายกังวลให้นะเพคะ” ท่าทางของพระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นเช่นนี้หนานกงมั่วกลับไม่รู้สึกแปลกใจ สามารถเดินฝ่าการต่อสู้นองเลือดมากับนางด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน กระทั่งเดินมาถึงจวนเยี่ยนอ๋องจึงได้ล้มลง เห็นได้ว่านางมีความกล้ากว่าคนทั่วไปแล้ว แม้แต่คนอย่างพวกนาง ครั้งแรกที่สังหารคนก็ต้องมือสั่นกันบ้าง
พระชายาเยี่ยนอ๋องยิ้มบาง “ขายหน้าต่อหน้าเจ้าแล้ว”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะไม่เอ่ยวาจา เซียวเชียนชื่อสังเกตเห็นชายกระโปรงของหนานกงมั่วมีรอยเลือด พลันเข้าใจทันใด “น้องสาม เจ้าส่งเสด็จแม่กลับไปพักผ่อน พี่สะใภ้ ท่านเองก็ไปพักผ่อนเถิดขอรับ เสด็จอาพาเยาเยากับอานอานมาที่นี่แล้วขอรับ” เดิมทีทุกคนอยู่ที่เรือนชิงมั่วจะดีกว่า แต่ว่าจวนเยี่ยนอ๋องมีของสำคัญมากมายกระทั่งห้องลับไม่อาจปล่อยทิ้งเอาไว้ได้ อีกทั้งเวลาเช่นนี้แบ่งอาศัยอยู่เป็นสองแห่งคงไม่ได้ ดังนั้นเซียวเชียนชื่อจึงหารือกับองค์หญิงฉังผิงจึงได้ย้ายมารวมกัน เช่นนี้องครักษ์ของสองเรือนรวมเข้าด้วยกัน ต่อให้ฉีซั่วอยากทำอันใดกับจวนเยี่ยนอ๋องก็คงไม่ง่ายเพียงนั้นแล้ว
เวลาเช่นนี้เซียวเชียนจย่งเองก็รู้หนักเบา รีบพยักหน้ารับประคองพระชายาเยี่ยนอ๋องออกไปแล้ว
หนานกงมั่วเองก็พยักหน้าให้เซียวเชียนชื่อ กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปดูเด็กๆ
ล้างหน้าล้างตาทำความสะอาดง่ายๆ ไปหนึ่งรอบ เปลี่ยนชุดที่เปื้อนรอยเลือดออกก่อนไปเรือนองค์หญิงฉังผิง ยังไม่ทันเข้าประตูพลันได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กๆ ดังขึ้น เด็กๆ ทั้งสองราวกับกำลังแข่งกันว่าใครจะร้องไห้เสียงดังกว่ากัน เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จนองค์หญิงฉังผิงรู้สึกปวดใจไม่น้อย
“อันใดกันหรือเพคะ” หนานกงมั่วเดินข้าไปในห้องโถง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
องค์หญิงฉังผิงถอนหายใจ “เด็กๆ ไม่เคยห่างจากมารดานานเพียงนี้ พอเริ่มร้องไห้ขึ้นมาก็ปลอบไม่อยู่แล้ว” ใกล้จะครบหนึ่งเดือน องค์หญิงฉังผิงไม่เคยรู้มาก่อนว่าหลานที่ว่าง่ายทั้งสองจะมียามที่ร้องไห้หนักเพียงนี้
หนานกงมั่วเดินเข้าไปก้มลงไปอุ้มเยาเยาขึ้นมา ถูกอุ้มเข้ามาอยู่ในอ้อมอกมารดาพลันสะอื้นไม่กี่ครั้งจากนั้นเสียงจึงเบาลง น้องสาวไม่ร้องแล้ว อานอานเองก็เงียบตาม องค์หญิงฉังผิงอดไม่ได้ยกมือขึ้นมาปิดริมฝีปากหัวเราะ เอ่ย “นี่เด็กน้อยยังไม่ถึงหนึ่งเดือน รู้จักคนแล้วหรือ จริงๆ เลย…”
ทารกน้อยอาจไม่ได้รู้จักคน เพียงแต่กลิ่นอายของมารดาอย่างไรก็คงจำได้ ยามนี้เมื่อเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของมารดาแล้วจึงสงบลง หนานกงมั่วตบที่เยาเยาเบาๆ จากนั้นวางกลับลงไปในเปลแล้วจึงหันไปอุ้มอานอานขึ้นมาแกว่งไกว ทารกน้อยอ้าปากมอบรอยยิ้มไม่มีฟันให้กับนาง
หนานกงมั่วรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ จูบหน้าผากของอานอานเบาๆ ลูกรัก แม่จะปกป้องพวกเจ้าให้ดี ไม่ต้องกลัว
ค่ายบัญชาการเมืองโยวโจว
เซี่ยลี่แม่ทัพที่ควรจะอยู่อย่างสูงส่งเวลานี้กลับกำลังนั่งคุกเข่าอย่างน่าเวทนาอยู่บนพื้น กระบี่อ่อนสะท้อนแสงสีเงินกำลังจ่ออยู่ที่ลำคอของเขา เจ้าของกระบี่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือกมองต่ำลงมาที่เขา