ป้าเถาออกไปแล้ว ลังเลอยู่ครู่หนึ่งนางก็เดินตรงไปยังเรือนของสืออีเหนียง
สาวใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้ามนางไว้ “ท่านป้า ฮูหยินกำลังพูดอยู่กับพี่หู่พั่ว ให้ข้าไปรายงานก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” ถึงแม้ว่าสีหน้าจะกังวลแต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น ไม่ได้ขอความคิดเห็นจากนาง
ป้าเถารู้อยู่แก่ใจ สืออีเหนียงกำลังเชือดไก่ให้ลิงดู
นางหัวเราะเจื่อนๆ แล้วเดินออกไป
สาวใช้ที่กล้าห้ามนางเอาไว้เมื่อเห็นป้าเถาออกไปแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วยิ้มแย้มอย่างสดใส
ป้าเถาเดินไปที่เรือนหลัง
ทันทีที่เดินขึ้นบนทางเดิน ก็ได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากห้องของปินจวี๋
นางยิ้มอย่างครุ่นคิดแล้วไปเคาะประตูห้องของปินจวี๋
คนที่ออกมาเปิดประตูคือซิ่วหลาน นางหน้าแดง บนใบหน้ายังมีรอยยิ้ม
เห็นว่าเป็นป้าเถา นางก็ตกใจ เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วพูดพึมพำ “ป้าเถา!”
เปลี่ยนไปเร็วจริงๆ!
ยังไม่ถึงครึ่งวัน สาวใช้เหล่านี้เจอนางก็ไม่มีความหวาดกลัวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ไม่มีอะไรเหมือนเดิมตลอดไปจริงๆ…แต่สุดท้ายใครจะเป็นผู้ชนะก็ยังไม่รู้!
นางพยายามระงับคำด่าที่อยู่ในปากของตัวเองแล้วพูดว่า “ทำไมคึกคักกันขนาดนี้ ทำอะไรกันอยู่หรือ”
ซิ่วหลานได้สติกลับมา กลับมายิ้มอีกครั้ง “ป้าเถา เชิญเข้ามาข้างในเจ้าค่ะ น้องปินจวี๋และพวกเรากำลังดูเครื่องประดับที่ฮูหยินมอบให้พี่ตงชิงเจ้าค่ะ” นางพูดและเชิญป้าเถาเข้าไป จากนั้นก็ตะโกนรายงานตามหลัง “ป้าเถามาแล้ว!”
เมื่อได้ยินแล้ว เสียงหัวเราะก็หยุดลงทันที ตอนที่ป้าเถาเดินเข้าไป ในห้องก็พลันเงียบสงัด
ในห้องนอกจากปินจวี๋แล้ว ยังมีซวงอวี้ ฟังซี เยี่ยนหรง หลานเซวียนและสาวใช้อีกเจ็ดแปดคน ทุกคนล้วนแต่ล้อมรอบโต๊ะกลมตรงกลาง ทั้งนั่งและยืนดูปิ่นปักผมเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ป้าเถา ท่านมาแล้ว!” ปินจวี๋เห็นเช่นนี้ก็ยืนขึ้น สาวใช้คนอื่นๆ กลับถอยหลังออกไปด้วยความหวาดกลัว ทำให้นางเห็นโต๊ะกลม “ท่านเป็นแขกคนสำคัญ เชิญนั่งเจ้าค่ะ!”
ได้ยินปินจวี๋บอกว่า ‘เชิญนั่งเจ้าค่ะ’ สาวใช้สองสามคนก็ได้สติกลับมา หลานเซวียนยกเก้าอี้ออกมาให้ป้าเถานั่งอย่างกล้าหาญ
ป้าเถาก็ไม่เกรงใจ นางนั่งลง ยิ้มแล้วมองไปที่เครื่องประดับบนโต๊ะกลม จากนั้นก็ถามปินจวี๋ “นี่คือเครื่องประดับที่ฮูหยินมอบให้ตงชิงหรือ” จากนั้นก็หยิบขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
หยิบขึ้นมาแล้วนางก็แอบตกใจ
เป็นของแข็ง
หากเป็นเช่นนี้ เครื่องประดับเหล่านี้ มีเงินไม่ถึงยี่สิบตำลึงเกรงว่าคงจะซื้อมาไม่ได้ บวกกับเงินเดือน…
คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงใจกว้างกับคนของตัวเองขนาดนี้ ไม่แปลกที่สาวใช้สองสามคนนั้นขยันขันแข็งทำงานให้นางเช่นนี้
และเมื่อปินจวี๋เห็นป้าเถาหยินของชิ้นนั้นขึ้นมาด้วยท่าทีที่ใจลอย ก็คิดว่านางนั้นกำลังดูถูกคิดว่านี่คือสินเดิมของตงชิง จึงรู้สึกไม่พอใจ เก็บของเข้าในกล่องทีละชิ้นอย่างเงียบๆ “ฮูหยินยังให้ผ้าไหมหลิงหลัว กล่องกระเบื้องลายครามอีกด้วย…” นางทำให้สืออีเหนียงดูมีหน้ามีตา แต่ที่จริงแล้วสิ่งของไม่ได้มากมายเหมือนที่นางพูด
เยี่ยนหรงชงชาเข้ามาพอดี ป้าเถาจึงวางของในมือลงบนโต๊ะ ฟังซีเห็นเช่นนี้ก็รีบเก็บกล่องของไว้ในตู้สูงข้างๆ
ป้าเถาเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มมุมปาก
ของแค่นี้ กลัวข้าเอาไปเช่นนั้นหรือ!
นางหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วพูดว่า “ตงชิงไปไหนแล้วล่ะ ข้ามาหานางตามที่ฮูหยินบอก…”
ซวงอวี้คิดอยากออกไปจากห้อง ได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “ข้าไปตามนางให้เจ้าค่ะ” พูดจบก็รีบออกไปราวกับถูกภูตผีไล่ตาม ออกไปเคาะประตูห้องของหู่พั่วที่อยู่ข้างห้องของตงชิง “ชิวอวี่ ชิวอวี่ เจ้าเห็นพี่ตงชิงหรือไม่”
ชิวอวี่กำลังจะรีดเสื้อผ้าให้หู่พั่ว นางถือเตารีดออกมาเปิดประตู “ช่วงนี้ก็เอาแต่เย็บปักถักร้อยอยู่ในห้อง ไม่ได้อยู่ในห้องหรอกหรือ”
กำลังพูด ตงชิงก็เปิดประตูออกมา “มีเรื่องอันใดกัน”
ซวงอวี้เห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “พี่ตงชิง ป้าเถาบอกว่าฮูหยินให้นางมาหาท่านแต่ท่านไม่อยู่ที่ห้อง ตอนนี้นางกำลังนั่งอยู่กับพี่ปินจวี๋!”
ตงชิงได้ยินเช่นนี้ก็รีบตอบรับแล้วพูดว่า “เจ้าไปบอกป้าเถาว่าข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจะไปหานาง” จากนั้นก็กลับไปล้างตาล้างตา เปลี่ยนเป็นสวมชุดสีแดงแล้วไปที่ห้องของปินจวี๋
นอกจากหลานเซวียน สาวใช้น้อยของปินจวี๋แล้ว คนอื่นๆ ก็หายไปหมด
“ให้ท่านป้ารอนานแล้วเจ้าค่ะ” ตงชิงพูดด้วยความเกรงใจ “เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ!”
แต่ป้าเถากลับไม่ลุกขึ้น นางหัวเราะให้ตงชิง “ซวงอวี้คนนี้ ฟังไม่ชัดเจนก็รีบวิ่งออกไป นางคงจะแอบออกมาจากเรือนของคุณชายน้อยห้าแน่นอน”
ตงชิงและปินจวี๋ตกใจ
ป้าเถาอธิบาย “ฮูหยินบอกให้ข้าพาเจ้าไปหานาง ข้าจึงอยากนำรายการสินสอดทองหมั้นที่ข้าปรึกษากับฮูหยินแล้วมาให้เจ้าดู…”
ตงชิงได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดง
โดยส่วนตัวแล้ว ฮูหยินเป็นคนรักอิสระ นี่เป็นเรื่องที่นางน่าจะทำจริงๆ
“…แต่เดินไปถึงหน้าประตูก็หาไม่เจอ ข้าตกใจจนเหงื่อตก กลับไปค้นหาอีกครั้ง สุดท้ายหู่พั่วบอกว่ามีเรื่องจะพูดกับฮูหยิน ไม่ให้ใครเข้าไป ข้ายืนรอหน้าประตูตั้งนาน กลัวกว่ารายการสินสอดทองหมั้นจะตกบนทางดิน จึงเดินกลับไปหาดูอีกครั้ง…” นางขมวดคิ้ว “แต่ตอนนี้ก็ยังหาไม่เจอ ข้าจะทำเช่นไรดี”
ปินจวี๋ได้ยินป้าเถาพูดแบบนี้ นางไม่กล้าพูดแทรก จึงพูดปากไม่ตรงกับใจออกไปว่า “ให้พวกเราช่วยหาหรือไม่เจ้าคะ”
“ดีที่สุด! ดีที่สุด!” ป้าเถายิ้มแล้วลุกขึ้นยืน
แต่ตงชิงกลับยิ้มแล้วถามว่า “หู่พั่วมีเรื่องอะไรพูดกับฮูหยินเจ้าคะ แล้วยังไม่ให้ใครเข้าไป ทำตัวลับๆ ล อๆ!”
ป้าเถายิ้มอย่างคลุมเครือ “แม่นางตงชิงเป็นคนฉลาด เรื่องอะไรที่ไม่ให้คนเข้าไป…” นางยืดเสียง “ยังต้องพูดอีกหรือ” จากนั้นก็ยิ้มแล้วชี้ไปที่เรือนของเฉียวเหลียนฝังทางทิศตะวันออก
เรื่องที่เฉียวเหลียนฝังตั้งครรภ์แพร่กระจายไปทั่วจวนอย่างรวดเร็ว ตงชิงก็รู้เรื่องนี้ ได้ยินเช่นนี้นางก็ฝืนยิ้ม “เดิมทีหู่พั่วก็เป็นคนของนายหญิงใหญ่อยูแล้วเจ้าค่ะ”
“แม่นางตงชิงเอาแต่ขังตัวเองเย็บปักถักร้อยอยู่ในห้องทุกวัน เกรงว่าเรื่องบางเรื่องคงจะยังไม่รู้ใช่หรือไม่” ป้าเถาพูด “เมื่อวานนายหญิงใหญ่เรียกฮูหยินกลับไปตรอกกงเสียน บอกให้ฮูหยินเลือกคนในบรรดาหู่พั่ว ซานหูไปรับใช้ท่านโหว ใครจะรู้ว่า ฮูหยินกลับปฏิเสธ ทำเอานายหญิงใหญ่โมโหเป็นอย่างมาก” จากนั้นก็พึมพำ “บิดามารดาของหู่พั่วยังอยู่ที่เรือนนอกในเจียงหนาน” แล้วก็อุทาน “ไอ๊หยา” ทำท่าทีว่าตัวเองเผลอพูดออกมา “พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน เรื่องพวกนี้ต้องให้ฮูหยินเป็นคนจัดการ”
ปินจวี๋ไม่ชอบที่ป้าเถาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของสืออีเหนียงแบบนี้ นางรีบพูดเสียงดัง “ใช่เจ้าค่ะ พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน เรื่องพวกนี้ต้องให้ฮูหยินเป็นคนจัดการ” จากนั้นก็ถามว่า “หากรายการสินสอดทองหมั้นตกบนทางเดิน ลมก็คงพัดปลิวไปแล้ว หากมันตกลงบนหิมะ เกรงว่ามันคงจะไม่มีประโยชน์แล้ว เรารีบไปหากันเถิด” นางพูดแล้วเดินออกไป
ป้าเถาตอบรับ “อืม” จากนั้นก็ตามปินจวี๋ออกไป
เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเดิน หยุดชะงักหยุดครู่หนึ่ง หันหน้ากลับไปมองตงชิง “…ช่างน่าเสียดาย”
จากนั้นก็ส่ายหน้า ถอนหายใจแล้วเดินออกไป
น่าเสียดาย? เสียดายอะไร?
ตงชิงมองแผ่นหลังของป้าเถาที่เดินออกไปด้วยความมึนงง…ทันใดนั้นก็ปิดปากตัวเอง
นางหัวใจเต้นแรง ทำสีหน้าลำบากใจขึ้นมา
*****
สืออีเหนียงมองหู่พั่วด้วยสายตาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “บ่าว บ่าว บ่าว บ่าวตั้งนานก็ไม่พูดอะไรออกมาสักที นี่ไม่เหมือนหู่พั่วที่ข้ารู้จักเลยสักนิด!”
หู่พั่วหน้าแดงกว่าเดิม นึกถึงสืออีเหนียงที่ดีกับนางมาตลอด ในที่สุดนางก็รวบรวมความกล้าแล้วพูดว่า “บ่าวอยากเป็นท่านป้าผู้ดูแลของท่าน…”
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ที่แท้ก็เรื่องนี้ ข้าคิดว่าเจ้าต้องการเงินเสียอีก”
หู่พั่วที่หัวใจเต้นแรงก็ตกใจ
สืออีเหนียงมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า “แต่ว่า ท่านป้าผู้ดูแลต้องมีลูกสะใภ้ ส่วนเจ้า…”สายตาของนางเป็นประกาย พูดหยอกเย้า
หู่พั่วถึงตระหนักได้ว่าตัวเองพูดผิดไป อดไม่ได้ที่จะเขินอาย นางพึมพำว่า “ฮูหยิน” แล้วจะลุกออกไป
“หู่พั่ว!” สืออีเหนียงเรียกนางไว้
หู่พั่วเบะปากแล้วหันกลับมา
“หู่พั่ว” สืออีเหนียงยังคงทำสีหน้าเคร่งขรึม แต่สายตาของนางนั้นไม่มีการหยอกล้อเหมือนเมื่อครู่แต่กลับขึงขัง “หู่พั่ว ข้าให้เจ้าเป็นคนดูแลเรื่องในเรือนของข้าทั้งหมด”
หู่พั่วตกใจ นางน้ำตาคลออย่างควบคุมไม่ได้
“บ่าว…” นางพึ่งจะพูดแค่คำเดียว ก็มีเสียงตกใจของสาวใช้ข้างนอกดังเข้ามา
สีหน้าของพวกนางเปลี่ยนไป มองออกไปนอกประตู
เห็นว่าม่านถูกเปิดออก ตงชิงเดินเข้ามา
“ฮูหยินเจ้าคะ!” นางหน้าซีด แต่ตรงแก้มกลับมีรอยแดงแปลกๆ สีหน้าดูสับสน
สาวใช้ที่เดินตามหลังนางมาเหงื่อตก พูดด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว “ฮูหยิน บ่าว…”
“เจ้าออกไปเถิด!” สืออีเหนียงพูดอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็ยืนขึ้นมองไปที่ตงชิง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น!”
“ฮูหยินเจ้าคะ!” ตงชิงเดินเข้าไปหาสืออีเหนียง
นางเดินเข้ามาช้าๆ ตอนแรกยังไม่ค่อยมั่นคง แต่ต่อมามันกลับแน่วแน่ขึ้นเรื่อยๆ
สืออีเหนียงจ้องมองตงชิง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เห็นตงชิงเดินเข้ามาทีละก้าว เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของตัวเองแล้วคุกเข่าลงช้าๆ จากนั้นก็เอ่ยเรียก “ฮูหยิน”
ภาพในอดีต ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาในหัวของสืออีเหนียง
นางหลับตาลงอย่างเจ็บปวด
หยาดน้ำตารินไหลออกมาจากหางตา
บรรยากาศในห้องพลันแปลกไป
หู่พั่วมองไปที่สืออีเหนียงด้วยความตกใจ
เห็นว่ามือที่อยู่ตรงปลายกระโปรงของนางกำหมัดแน่น
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงถอนหายใจที่ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ร่วงของสืออีเหนียง “ตงชิง วันนี้ข้าเหนื่อยมาก มีเรื่องอันใดพรุ่งนี้ค่อยพูดเถิด”
“ฮูหยิน…” ตงชิงส่ายหน้า ขยับเข้าไปที่เท้าของสืออีเหนียง “ฮูหยิน ท่านมีบุญคุณกับบ่าว ถึงแม้ว่าบ่าวจะตอบแทนท่านไม่ได้ แต่บ่าวก็ไม่สามารถทิ้งท่านไปตอนนี้” นางเงยหน้าที่ขาวอมชมพูขึ้นมา น้ำตาคลอมองไปที่สืออีเหนียง “บ่าวยินดีที่จะช่วยฮูหยิน รับใช้ท่านโหวเจ้าค่ะ”
“หา…?” หู่พั่วตกใจ นางมองไปที่ตงชิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เจ้า เจ้า…” ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
ราวกับว่าตกใจตื่นเพราะเสียงของนาง สืออีเหนียงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ดวงตามืดมิดราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืน
จ้องมองไปที่ตงชิง
ตงชิงมองสืออีเหนียงทั้งน้ำตา “หู่พั่วเป็นคนของนายหญิงใหญ่ บิดามารดาของนางยังอยู่ในเรือนนอกที่อวี๋หัง ปินจวี๋ก็โตแล้ว จู๋เซียงก็ยังเด็กเกินไป…”
“ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าเจ้าเหมาะสมที่สุดเช่นนั้นหรือ!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ
แต่ไม่รู้ว่าทำไม หู่พั่วกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของความเยาะเย้ยในน้ำเสียง
ตงชิงมีสีหน้าลังเล