สีหน้าของตงชิงมีความลังเล
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้นางก็เหยียดยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา
“ดังนั้น เจ้าคิดว่า เจ้าเหมาะสมที่สุดเช่นนั้นหรือ!”
นางค่อยๆ พูดทีละคำ แผ่วเบาราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ แต่กลับทำให้หู่พั่วและตงชิงตกใจ
ไม่ใช่หรือ?
สายตาของตงชิงมีความสับสน จากกนั้นก็กลายเป็นความแน่วแน่
ทำไมฮูหยินถึงถามเช่นนี้
มันคือเรื่องจริงไม่ใช่หรือ
แต่หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็แอบเป็นกังวล
ใช่ว่าสาวใช้ที่ติดตามมาทุกคนจะต้องไปเป็นสาวใช้ห้องข้าง บางคนก็เพราะว่านายท่านถูกชะตา บางคนก็เพราะว่าคุณหนูต้องการ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็จะบอกตามตรงหรือว่าบอกเป็นนัย อย่างเช่น เมื่อนายท่านอ่านหนังสืออยู่ในห้องหนังสือ เขาก็จะไล่คนรับใช้คนอื่นออกไปแล้วเรียกเจ้าไปอ่านหนังสือเป็นเพื่อน หรือเมื่อนายท่านกำลังอาบน้ำ เจ้าก็จะถูกคุณหนูสั่งให้ไปรับใช้เขาอาบน้ำ…สืออีเหนียงไม่เคยบอกพวกนางโดยตรง อีกทั้งยังไม่เคยบอกพวกนางเป็นนัย ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนางแต่งเข้ามาในจวนนางกลับจัดการเรื่องงานแต่งงานของตงชิงเป็นเรื่องแรก
ตงชิงทำเช่นนี้ มันเหมือนกับตบหน้าสืออีเหนียง
แต่สืออีเหนียงกลับไม่โมโห แล้วยังหัวเราะออกมา
ต้องรู้ว่า สืออีเหนียงไม่ใช่คนขี้ขลาดและอ่อนแอ
นี่…ผิดปกติเกินไป!
นางรีบเดินเข้าไปจับแขนตงชิง “พี่ตงชิง เจ้าพูดอะไรกัน เจ้ากำลังจะแต่งงาน” แล้วยังหาข้ออ้างให้ตงชิง “เจ้าเป็นแม่นางที่กำลังจะแต่งงาน พวกนางจึงไม่บอกเรื่องนี้กับเจ้า…”
หู่พั่วไม่พูดยังพอไหว พอนางพูด มันกลับทำให้ตงชิงนึกถึงคำพูดของป้าเถาขึ้นมา บอกว่านายหญิงใหญ่จะส่งซานหูมาด้วย หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ฮูหยินก็คงไม่มีอำนาจในสกุลหลัวอีกต่อไป
นางจะให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้ นางจะให้สกุลหลัวทำเช่นนั้นกับฮูหยินไม่ได้
คิดเช่นนี้ นางก็สะบัดมือหู่พั่วออกอย่างแรง “หู่พั่ว เจ้าไม่ต้องมาเสแสร้ง ข้าขอถามเจ้า เจ้าทิ้งบิดามารดาของเจ้าได้หรือไม่”
หู่พั่วตกใจ
ตงชิงหัวเราะ “อะไรกัน ตอบไม่ได้? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะเสแสร้งไปทำไม”
หู่พั่วใจร้อน
ตอนนี้บิดามารดาของนางอยู่ที่เรือนนอกของสกุลหลัว นางไม่มีทางทิ้งบิดามารดาของนาง เรื่องสองเรื่องนี้นางปฏิเสธไม่ได้ แต่นางรู้สึกว่า ตราบใดที่สืออีเหนียงยังมีอำนาจ ตราบใดที่ตนติดตามสืออีเหนียง เพื่อจุนเกอ สกุลหลัวไม่มีทางทำอะไรบิดามารดาของนาง หากวันใดที่สืออีเหนียงไม่มีอำนาจแล้ว หรือว่านางถูกสกุลสวีไล่ออกไป ถึงแม้ว่านางอยากจะปกป้อง แต่นางก็ไม่มีทางปกป้องบิดามารดาของนางให้ปลอดภัยได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้ติดตามสืออีเหนียงไปให้ถึงที่สุดแล้วหาทางออกให้ชีวิตของตัวเอง
แต่ว่าเรื่องนี้นางไม่เคยมีโอกาสพูดกับสืออีเหนียง
ตอนนี้ตงชิงพูดถึงเช่นนี้ นางก็กลัวว่าสืออีเหนียงจะเข้าใจผิด
หู่พั่วอดไม่ได้ที่จะมองไปยังสืออีเหนียง
เห็นนางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ตัวยืดตรง ใบหน้าที่สวยงามกำลังมองมาที่พวกนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
หู่พั่วตกใจ คำพูดนับพันติดอยู่ในลำคอของนาง
ตงชิงเห็นว่าหู่พั่วปากสั่นก็ลังเลที่จะพูด รู้ว่าตัวเองสะกิดจุดเจ็บปวดของนาง จึงถอนหายใจแล้วคุกเข่าไปข้างหน้า นั่งเอนตัวลงกับพื้น “ฮูหยิน ตั้งแต่ท่านกลับมาจากฝูเจี้ยน ก็มีแค่บ่าวและปินจวี๋ที่คอยรับใช้ท่าน ตอนนั้นท่านพึ่งจะอายุแปดขวบ ป่วยจนเหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย ทุกคนกลัวว่าจะต้องรับผิดชอบ ไม่มีใครกล้าไปทำงานที่เรือนของท่าน มีแค่บ่าวและปินจวี๋ ทั้งข้าวต้มทั้งยา คอยรับใช้ท่านทั้งวันทั้งคืนนานกว่าครึ่งปี ดึงท่านออกมาจากประตูแห่งความตาย…”
หู่พั่วเห็นว่าสืออีเหนียงตั่วสั่น นางค่อยๆ ก้มหน้าลง มองตงชิงที่อยู่ข้างล่างเท้าของตัวเอง
“ใช่! ตอนนั้น เพื่อให้ข้าได้มีข้าวต้มร้อนๆ ทาน เจ้าเป็นคนมองต้นทาง ปินจวี๋เป็นคนลงมือ ขโมยเตาเล็กๆ มาจากโรงครัวใหญ่ลานข้างนอก แขวนผ้าห่มไว้บนตะแกรงหน้าต่างตอนกลางคืน ต้มข้าวให้ข้าทาน” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชากว่าปกติ
ตงชิงตกใจ นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นสืออีเหนียงที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนกำลังมองมาที่ตัวเอง
“ข้ารู้ ข้ารู้ทุกอย่าง!” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่กลับไม่สนิทสนมเหมือนเมื่อก่อน “ถึงแม้ว่าข้าจะขยับตัวไม่ได้ พูดไม่ได้ แต่พวกเจ้าเคยทำอะไรข้ารู้ทุกอย่าง ตอนนั้นข้าคิดว่า ไม่ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร ข้าจะดูแลพวกเจ้าสองคนให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้…”
“ฮูหยิน” ตงชิงน้ำตาไหลลงมาราวกับสายฝน ไหลรินลงมาตามใบหน้าที่สวยงามราวกับดอกลี่ฮวา “ตอนนั้นเราอยู่ที่จวนสกุลกลัว หวาดกลัวอยู่ทุกวัน วันนี้ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทำชามแตกยังต้องชดใช้ตามราคาเดิม เงินเดือนเดือนละสองตำลึง แต่ต้องซื้อทุกอย่าง ไม่มีวิธีอื่นจริงๆ ท่านพาพวกเราเย็บปักถักร้อย ลำบากตั้งสามสี่เดือน หาเงินได้แค่เจ็ดตำลึง แต่เรากลับดีใจกันเป็นอย่างมาก…”
หู่พั่วถอยออกไปอย่างเงียบๆ
นี่คือเรื่องในอดีตของสืออีเหนียง ตอนนี้นางคือฮูหยินของท่านโหวที่สูงส่ง ใช่ว่าทุกคนจะอยากให้คนอื่นรู้เรื่องลำบากในอดีตของตัวเอง
ใต้ชายคา สาวใช้ที่เฝ้าประตูกำลังปิดปากร้องไห้ สาวใช้ที่เฝ้ายามเหมือนกันสองสามคนมองนางด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่รู้ว่าสงสารหรือว่ามีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น แต่กลับไม่มีใครกล้าเดินไปปลอบนางแม้แต่คนเดียว
เห็นหู่พั่วออกมา นางก็คุกเข่าลงต่อหน้าหู่พั่วทันที “พี่หู่พั่ว พี่หู่พั่ว ข้าห้ามแล้วแต่ห้ามไม่ได้เจ้าค่ะ จริงๆ เจ้าค่ะ ข้าห้ามแล้วจริงๆ!”
ไม่รู้ว่าสุดท้ายฮูหยินและตงชิงพูดคุยกันเช่นไร หากฮูหยินเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ ให้ท่านโหวรับตงชิงไปเป็นสาวใช้ห้อง วันนี้ตัวเองจัดการสาวใช้คนนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าตัวเองตบนางตงชิงเช่นนั้นหรือ
หู่พั่วลังเล นางก็เห็นป้าเถาและปินจวี๋กำลังก้มหน้ามองหาอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เดินมาทางนี้
ปินจวี๋เป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา บรรดาสาวใช้ทำผิดตำหนิก็ส่วนตำหนิ แต่นางก็ยินดีที่จะสั่งสอนพวกนาง ทุกคนล้วนแต่ชอบเข้าใกล้นาง นางกลัวว่าสาวใช้คนนี้จะไปบอกปินจวี๋ เล่าเรื่องที่ตงชิงบุกเข้าไปข้างในทำให้ป้าเถาหัวเราะเยาะ จึงรีบบอกสาวใช้คนนั้น “เจ้ากลับไปสำนึกผิดที่ห้องก่อน คิดได้แล้วค่อยมาบอกข้า”
สาวใช้คนนั้นสะอึกสะอื้นเดินออกไป
ปินจวี๋เห็นหู่พั่วยืนสั่งสอนสาวใช้อยู่ใต้ชายคาจากไกลๆ แล้วก็รำคาญที่ป้าเถาจะมาที่เรือนหลักของสืออีเหนียงแต่ตัวเองหาข้ออ้างไม่ได้ นางรีบเดินเข้าไปทักทายหู่พั่ว “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร สาวใช้ทำผิด ข้าตำหนิไปสองสามประโยค” หู่พั่วยิ้มแล้วตอบกลับไปส่งๆ เดินเข้าไปคำนับป้าเถาแล้วถามว่า “ข้าเห็นว่าพวกท่านกำลังหาอะไรบางอย่าง อะไรหายหรือเจ้าคะ ทำไมต้องมาหาที่เรือนหลัก”
ป้าเถารีบพูด “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร” จากนั้นก็ถามหู่พั่ว “พูดกับฮูหยินเสร็จแล้วหรือ” พูดจบก็ยื่นคอมองไปที่ประตู “ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้เล่า ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ”
ปินจวี๋คิดว่าป้าเถากลัวว่าหู่พั่วรู้ว่าตัวเองทำของหายแล้วตัวเองจะเสียหน้า นางจึงไม่ได้พูดอะไร
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ตงชิงกำลังพูดกับฮูหยินข้างใน ข้าออกมายืนดูข้างนอก”
ป้าเถาได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา
สายตาของนางมีความพอใจ
หู่พั่วเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ
หากท่านโหวจะรับสาวใช้ห้องข้าง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะจัดการได้ภายในวันสองวัน ถึงแม้ว่าตงชิงจะมีความคิดเช่นนี้ แต่นางก็สามารถหาโอกาสไปพูดกับฮูหยินเป็นการส่วนตัวได้…แต่นางกลับบุกเข้ามาตอนที่ตนกำลังพูดคุยกับฮูหยิน แล้วยังไม่สนใจว่าตนอยู่ในเหตุการณ์
นางยิ้มแล้วถามปินจวี๋ “เมื่อครู่ท่านกับป้าเถาไปที่ใดมา”
“ป้าเถานำรายการสินสอดทองหมั้นมาให้พี่ตงชิงดูตามที่ฮูหยินบอก…” ปินจวี๋พูดแค่นี้ แต่นางยังคงปิดบังเรื่องที่ป้าเถาทำรายการสินสอดทองหมั้นหาย
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจแล้ว โมโหที่ป้าเถาก่อเรื่องเช่นนี้ แล้วก็โมโหที่ตงชิงไม่เอาถ่าน นางรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ทำสีหน้าไม่พอใจ
ปินจวี๋ไม่รู้สาเหตุ จึงถามกลับหู่พั่ว “เจ้าเป็นอะไร”
นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ปินจวี๋กับป้าเถากำลังหาของอะไรบางอย่าง ตัวเองถามก็ไม่ยอมบอก หู่พั่วก็คิดว่าปินจวี๋โง่เขลา นางอดไม่ได้ที่จะหันไปหัวเราะให้ป้าเถาแล้วบอกว่า “ข้ามีเรื่องจะพูดกับพี่ปินจวี๋เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ลากปินจวี๋ไปที่ห้องโถง
“พี่ตงชิงอยู่ข้างใน บอกฮูหยินว่าจะไม่แต่งงานกับว่านต้าเสี่ยนแล้ว จะรับใช้ท่านโหว!” หู่พั่วพูดตรงๆ
ปินจวี๋ตกใจ มีบางอย่างวาบเข้ามาในใจ หัวหมุน ทำให้จิตใจของนางสับสนวุ่นวาย นางจึงคัดค้านหู่พั่วไปด้วยสัญชาตญาณ “เจ้าพูดเหลวไหล เหลวไหล!”
“ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล หรือว่าท่านไม่รู้?” หู่พั่วเยาะเย้ย “ท่านกับป้าเถากำลังหาอะไร ข้าถาม แต่ท่านกลับช่วยนางปิดบัง ข้าอยากจะถามจริงๆ ว่าท่านกลัวอะไรป้าเถาคนนั้น ทำไมต้องช่วยนางปิดบัง”
“ป้าเถาเป็นคนของนายหญิงใหญ่ ข้าจะไปมาหาสู่กับนางได้เช่นไร” ปินจวี๋โมโหจนน้ำตาไหลออกมา “เจ้าใส่ร้ายคนอื่น ข้าจะไปบอกฮูหยิน!”
“ท่านอย่าคิดว่าข้าไม่กล้าไป” หู่พั่วดูถูก “หากไม่ใช่เพราะข้ากลัวว่าวันนี้ฮูหยินจะเสียใจอีกครั้ง ข้าคงจะลากท่านไปหาฮูหยินตั้งนานแล้ว ฮูหยินยังบอกอีกว่า ต่อไปเกิดอะไรขึ้นก็จะดูแลพวกท่านให้เป็นอย่างดี…”
ปินจวี๋ทนไม่ไหว นางจึงเล่าเรื่องที่ป้าเถาทำรายการสินสอดทองหมั้นหายออกมา
นางเล่าแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามันผิดปกติ โดยเฉพาะตอนที่นางเดินออกมา ได้ยินป้าเถาที่อยู่ข้างหลังพูดอะไรบางอย่างกับตงชิง
“นางกล้าโกหกพี่ตงชิง” นางหน้าซีด วิ่งตรงไปที่ประตู “ข้าจะไปคิดบัญชีกับนาง”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็กังวล
จวนหลังนี้มีไท่ฮูหยิน ครอบครัวของคุณชายสาม ครอบครัวของคุณชายห้า หากเอะอะโวยวายขึ้นมา คงจะทำให้พวกเขาหัวเราะเยาะ!
นางรีบวิ่งตามไป
ออกไปก็เห็นป้าเถาถูกสาวใช้คนหนึ่งห้ามไว้ตรงบันได “ท่านอย่าทำให้เราลำบากใจเลยเจ้าค่ะ หากหู่พั่วรู้ว่ามีคนแอบฟัง เราต้องแย่แน่ๆ”
ไม่รู้ว่านางอยากจะแอบฟังแล้วถูกสาวใช้คนนั้นห้ามเอาไว้ หรือว่าจะให้สาวใช้คนนั้นไปแอบฟังให้นาง?
ความคิดนี้วาบขึ้นมา หู่พั่วและปินจวี๋เดินเข้าไปจับป้าเถาเอาไว้ “ท่านป้า เมื่อครู่ท่านพูดอะไรกับพี่ตงชิง”
ป้าเถาเห็นเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
ตัวเองพูดอะไร
ตนไม่ได้พูดอะไรเสียหน่อย
เด็กน้อยที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างพวกเจ้า จะมาสู้กับข้า!
ป้าเถาทำท่าทีตกใจ “แม่นางปินจวี๋พูดอะไร เหตุใดข้าถึงไม่เข้าใจ”
“ท่านป้าเป็นคนของคุณหนูใหญ่ ในเมื่อกล้าทำก็ต้องกล้ารับ” ปินจวี๋โมโหจนตัวสั่น “หากท่านไม่ได้พูดอะไร แล้วทำไมพี่ตงชิง…”
“พี่ปินจวี๋ มีอะไรก็ไปพูดข้างใน” หู่พั่วรีบพูดเสียงดังขัดจังหวะปินจวี๋ทันที แล้วก็เตือนนางว่า “สาวใช้เต็มลาน คนอื่นเห็นเข้าจะทำเช่นไร”
ปินจวี๋ถูกหู่พั่วตะโกนใส่ก็ได้สติกลับมา จับเสื้อป้าเถาเข้าไปในห้องโถง “ไปพูดกับฮูหยินของข้า”
หู่พั่วคิดว่าเรื่องนี้ต้องให้สืออีเหนียงรู้ ไม่เพียงแต่ไม่ห้ามปินจวี๋ แล้วยังเรียกสาวใช้น้อยคนสนิทของตัวเองสองคนเฝ้าอยู่ที่ประตู “อย่าให้ใครเข้ามา” จากนั้นก็เข้าไปข้างใน