หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 853 วิชาแห่งศาสตร์มืดพลังหยางย้อนกลับ!

บทที่ 853 วิชาแห่งศาสตร์มืดพลังหยางย้อนกลับ!

คำพูดของแม่นางน้อยนั้นสมเหตุสมผลพอตัว หวังเป่าเล่อโลภมากเกินไปจริงๆ ในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากปล่อยโอกาสงามที่ได้มาอย่างยากยิ่งให้สูญเปล่าไปก็ตามที หากพอใจแค่การบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นและชั้นปลายก็คงไม่ต้องเจ็บปวดเจียนตายเช่นนี้

นั่นเพราะการปล่อยมหาสมุทรในวิญญาณให้ทะลักเข้าร่างในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ อาจหมายถึงการทำให้ร่างอวตารดับสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้

ร่างของเขายังคงอยู่ได้ด้วยพลังของเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์ภายในกาย รวมถึงพลังบีบอัดของเกราะมหาจักรพรรดิและบทสวดแห่งเต๋าด้วย ความเจ็บปวดเหลือทนภายในร่างทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในเวลานี้คือการพุ่งพลังทั้งหมดไปที่การทำให้ร่างกายเสถียร

ชายหนุ่มยังโชคดีที่เปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์นั้นทรงพลังมาก นอกจากนี้เกราะมหาจักรพรรดิยังทำหน้าที่เป็นเหมือนวงแหวนที่บีบรัดร่างกายของเขาเอาไว้ด้วยกัน จึงพอช่วยซื้อเวลาให้เขาหายใจหายคอได้ทัน สิ่งสำคัญที่สุดคือบทสวดแห่งเต๋าที่ตกลงห่อหุ้มร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้ ราวกับกำลังมอบพลังที่แสนยิ่งใหญ่ให้

ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อคงร่างกายให้เสถียรได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แม้…พลังของบทสวดแห่งเต๋านั้นไม่นานก็สลายหายไป แต่เปลวเพลิงดารานิรันดร์นั้นจะคงอยู่ต่อไป แม้ว่าจะต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาลก็ตาม หลังจากที่ทำให้ร่างเสถียรได้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเปิดตาได้เล็กน้อย

สงสัยคราวนี้ข้าจะวู่วามเกินไป… หวังเป่าเล่อก้มหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น เขามองร่างของตนเองและรู้สึกได้ว่าทันทีที่เลิกใช้เปลวเพลิงดารานิรันดร์ ฝ่ามือดาวพระเคราะห์ หรือเกราะมหาจักรพรรดิ ร่างกายจะพลันแหลกสลายไปในทันที จุดที่เขาอยู่ในตอนนี้คือสภาวะสมดุลที่สุด

ข้าได้พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายมาครอบครองแล้ว แต่รู้สึกราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเสียอย่างนั้น หากโดนแตะแม้แต่ปลายนิ้วคงสิ้นสภาพไปเป็นแน่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างจนปัญญา เขากวาดสายตามองดวงวิญญาณนับล้านที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าโดยไม่ไหวติง นอกจากนี้ยังมองจักรพรรดิทั้งสิบสองพระองค์ที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พระราชวังท้องฟ้าด้วยเช่นกัน ดวงตาของชายหนุ่มสว่างวาบด้วยแสงประหลาด ท้ายที่สุดเขาก็มองไปยังชุดเกราะของจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในพระราชวังส่วนลึก

หลังจากที่กินผีแก่เข้าไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับถ่ายทอดความทรงจำหรือวิชาดวงเนตรปีศาจภาคต่อมา แต่วิชาดวงเนตรปีศาจของเขาก็แตกต่างไปจากเดิม เมื่อจิตวิญญาณของผีแก่ถูกขจัดออกจากดวงเนตรนั้น พลังของวิชานี้ก็ถือว่าเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดเมื่อมองไปยังชุดเกราะของจักรพรรดิ ราวกับว่า…ชุดเกราะบนบัลลังก์นั้นปล่อยกระแสปราณกังวานที่สะท้อนล้อกับวิชาดวงเนตรปีศาจของเขาอย่างไรอย่างนั้น

หวังเป่าเล่อหรี่ตาทันทีที่สัมผัสได้ถึงปราณกังวานดังกล่าว แม้ทุกส่วนในร่างจะเจ็บปวดไปหมด แต่เขาก็ยังบังคับตนเองให้ลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างหน้า พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของชายหนุ่มแพร่กระจายออกไป แม้จะก้าวออกไปเพียงก้าวเดียว แต่ร่างเงาของหวังเป่าเล่อก็หายไปเรียบร้อย และมาปรากฏอีกครั้ง…ที่ภายในพระราชวัง เขาอยู่เบื้องหลังจักรพรรดิทั้งสิบสองพระองค์ เบื้องหน้าคือชุดเกราะของจักรพรรดิ!

ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปที่ชุดเกราะเบื้องหน้าตน หลังจากที่เงียบอยู่นานหลายลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นกดลงบนชุดเกราะนั้น ดวงเนตรสีดำปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังทันที

ทันทีที่ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อสัมผัสลงบนชุดเกราะ และดวงตาสีดำพลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง ชุดเกราะก็สั่นสะท้านแหลกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวนับร้อยในพริบตาและพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ มันเข้าคลุมแขนขวาของเขาและค่อยๆ แผ่ขยายเริ่มจากปลายนิ้ว สร้างเกราะฝ่ามือสีดำให้ถือกำเนิดขึ้น เกราะนั้นค่อยๆ ขยายลามไปตามฝ่ามือขวา สู่หน้าอกและมือซ้าย จนปกคลุมทั้งลำตัวในที่สุด

จากนั้นมันก็ค่อยขยายขึ้นบนและลงล่าง ส่วนหนึ่งแผ่ขึ้นไปยังลำคอของหวังเป่าเล่อเข้าปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้ อีกส่วนก็ลามลงไปยังขาทั้งสองข้าง ทันทีที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น…ร่างของชายหนุ่มก็พลันสั่นอย่างรุนแรง เขารู้สึกได้ถึงแรงปั่นป่วนจากเกราะจักรพรรดิดั้งเดิมในกายตนและแรงสั่นจากเรือบินรบเวท

เรือบินรบเวทตั๊กแตนแยกออกจากเกราะมหาจักรพรรดิและลงจอดที่ด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าชุดเกราะจักรพรรดิใหม่นี้ไม่ชอบมันเสียอย่างนั้นจนต้องไล่มันออกไป และเข้ารวมกับเกราะจักรพรรดิดั้งเดิมในกายของชายหนุ่มแทน

การหลอมรวมเป็นหนึ่งนี้พอเหมาะพอดีกันมากกว่าการรวมเกราะจักรพรรดิเดิมเข้ากับเรือบินรบเวทตั๊กแตน ราวกับชุดเกราะทั้งสองนั้นเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก่อน จึงหลอมรวมกันได้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรคและสอดประสานส่งเสริมกันเป็นอย่างดี ภายในพริบตาชุดเกราะทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกันเรียบร้อย

ต่อมารังสีพลังที่รุนแรงกว่าเกราะมหาจักรพรรดิเดิมก็ระเบิดออกจากกายหวังเป่าเล่อ หน้าตาของเกราะใหม่นี้ก็เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยเช่นกัน ลวดลายซับซ้อนมากมายปรากฏขึ้นที่พื้นผิวเกราะ ดูราวกับเป็นดวงตานับไม่ถ้วน หนามกระดูกที่เคยมีก่อนหน้านี้หดตัวลงแต่ไม่ได้สลายหายไป หวังเป่าเล่อสามารถเรียกมันออกมาได้เพียงใจนึก

สีของชุดเกราะนั้นดำสนิท ท้ายที่สุด…ดวงตาสีแดงยักษ์ดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่กลางหน้าอกหวังเป่าเล่อท่ามกลางลายดวงตามากมายบนชุดเกราะ ดวงตาที่รายรอบนั้นเปรียบเสมือนดวงดาวที่ขับแสงดวงจันทร์ ทำให้ดวงตาสีแดงยักษ์ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือกระแสพลังที่เข้ากันกับร่างอวตารของหวังเป่าเล่ออย่างแนบสนิท นอกจากนี้วิชาดวงเนตรสวรรค์จากชุดเกราะที่ชายหนุ่มถวิลหา ก็พลันประทับลงในจิตใจของเขาทันที

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อกำหมัดแน่น ลมหายใจหอบเร็ว ทันใดนั้นสวรรค์และผืนดิน สายลมและหมู่เมฆ ก็พลันปั่นป่วนสั่นสะเทือน พลังปราณระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขาระเบิดออกมาและเพิ่มพูนมากขึ้นในทันที พลังปราณของหวังเป่าเล่อก้าวข้ามจากชั้นปลายไปสู่ชั้นสมบูรณ์ แม้ว่าพลังนั้นจะยังอ่อนชั้นกว่าระดับดาวพระเคราะห์…แต่ก็จัดว่าอยู่ไกลจากระดับดาวพระเคราะห์ที่แท้จริงไม่มากนัก!

ปรากฏการณ์นี้ทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม เขารู้สึกได้ทันทีว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และร่างที่แหลกสลายใกล้ดับสูญก่อนหน้านี้ก็เริ่มเสถียรมากขึ้นด้วยหลังจากที่ได้ชุดเกราะใหม่มาไว้ในครอบครอง

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องยืมพลังของเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์มาช่วยกดร่างตนเองไว้แล้ว ความรู้สึกนี้รุนแรงมากจนทำให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจลองถอนพลังทั้งสองออกดูพร้อมๆ กัน หลังจากที่เงียบอยู่สองสามวินาที

ทันทีที่เขาถอนพลังออก แม้ความเจ็บปวดจะแพร่กระจายไปทั่วร่าง แต่กายของเขาก็ยังคงสภาพเอาไว้ได้

ไอ้ชุดเกราะมหาจักรพรรดินี่… ยอดเยี่ยมจริงๆ !

หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีเวลามานั่งคิดแล้วสิว่าจะทำให้ร่างกายตนเองกลับสู่สภาวะสมดุลดังเดิมได้อย่างไร ระหว่างนี้…ในเมื่อข้าได้วิชาดวงเนตรสวรรค์ฉบับสมบูรณ์มาแล้ว ข้าก็สามารถเพิ่มพลังปราณของตนเองขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่ยังคงเดินหน้าคร่าชีวิตต่อไป! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นถึงขีดสุด เขารู้ดีแล้วจากประสบการณ์ว่าวิชาดวงเนตรสวรรค์นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด นอกจากนี้ยังเริ่มเคลือบแคลงสงสัยต้นกำเนิดของมันมากขึ้นอีกด้วย

แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตนเองจะมานั่งกระวนกระวายกับเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้ เขาไม่เสียใจเลยที่ตนเองกำจัดวิญญาณผีแก่เสียสิ้นซาก เพราะรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าชายแก่นั่นไว้ใจไม่ได้ หลังจากที่ปัดความคิดนั้นทิ้งไปเรียบร้อย เขาก็เงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศรอบตัว เพื่อตรวจดูว่ายังมีสมบัติอะไรหลงเหลืออยู่ในสุสานหลวงหรือไม่ ในตอนนั้นเอง…

ขณะที่ดวงตาของเขากวาดผ่านไป วิญญาณบรรดาจักรพรรดิที่คุกเข่าไม่ไหวติงอยู่นั้นก็สั่นไหว ทุกคนลุกขึ้นยืน หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อพร้อมกัน ก่อนจะคุกเข่าลงอีกครั้ง!

“ขอคารวะท่านจักรพรรดิ!”

ไม่ใช่แค่คนพวกนี้เท่านั้น แต่ดวงวิญญาณหลายล้านดวงที่ด้านนอกก็ลุกขึ้น หันมาคุกเข่าแทบเท้าหวังเป่าเล่อเช่นกัน พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียงจนทำให้พื้นดินและท้องฟ้าสั่นสะเทือนหวั่นไหว

“ขอคารวะท่านจักรพรรดิ!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงในทันที ขั้นแรกเขาตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่าตนเองคือหวังเป่าเล่อจริง และเหตุการณ์ที่เขากินวิญญาณจักรพรรดิโบราณไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่ภาพมายา จากนั้นเขาก็หันไปมองวิญญาณจักรพรรดิทั้งสองสิบพระองค์ และวิญญาณหลายล้านดวงเบื้องนอก ชายหนุ่มสัมผัสได้แล้วว่ามีบางอย่างน่าสนใจเกิดขึ้น แม้จะยังไม่มั่นใจว่าคือสิ่งใด เป็นเพราะเขากินผีแก่เข้าไป เพราะเขาเป็นบุตรแห่งความมืด หรือเพราะชุดเกราะนี้กันแน่…

หรืออาจเป็นไปได้ว่าเป็นผลของทั้งสามอย่างประกอบกัน กระนั้นเขาก็กลายมาเป็นเจ้าแห่งวิญญาณหลายล้านดวงและวิญญาณจักรพรรดิทั้งสิบสอง นอกจากนี้ สำหรับวิญญาณพวกนี้แล้ว เขาเป็นถึง…จักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

จักรพรรดิสิบสองตน… ทุกตนมีพลังเทียบเท่าดวงวิญญาณเทพขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ส่วนวิญญาณอีกหลายล้านดวงนั้น แม้จะไม่ได้มีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็ยังเป็นขั้นจุติวิญญาณ!

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายวาบ เขาเข้าใจแล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผีแก่เตรียมการเอาไว้หลังจากที่อีกฝ่ายทำตามแผนสำเร็จและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เจ้าไร้น้ำยากว่าข้ามากนักเรื่องการควบคุมวิญญาณ ไอ้ผีแก่ ส่วนเรื่องการผนึกวิญญาณและกอบกู้พลังหยางกลับมานั้น…เจ้าไม่มีทางรู้วิธีการแน่ เพราะฉะนั้น ความจริงแล้วไอ้วิญญาณพวกนี้มันควรจะเป็นของข้าโดยชอบธรรมอยู่แล้ว! หวังเป่าเล่อหัวเราะ เขายกมือขวาขึ้นโบก พลันหุ่นเชิดมากมายก็ลอยออกจากกระเป๋าคลังเก็บ หุ่นเชิดเหล่านั้นมีจำนวนแสนตนด้วยกัน แม้จะไม่ได้ดีพอที่จะให้ดวงวิญญาณทั้งล้านดวงเข้าครอบครอง แต่ก็ยังพอเป็นที่อยู่อาศัยได้

จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หยิบหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งสิบสองตนซึ่งเขาหลอมกับมือออกมา หุ่นเชิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อหลอมเอาไว้เป็นชุดๆ ในช่วงเวลาหลายปี ชายหนุ่มโบกมือสร้างผนึกฝ่ามือทั้งสองข้าง ทันใดนั้นแสงประหลาดก็ฉายออกจากดวงตา เปลวไฟสีดำพุ่งออกจากกายทั้งภายในและภายนอก เปลี่ยนสภาพไปเป็นผนึกแห่งความมืดที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากโลกนี้ ผนึกนั้นผุดขึ้นตามๆ กันมาทีละชิ้น

“วิชาแห่งศาสตร์มืด… ผนึก พลังหยางย้อนกลับ!”

……………………….

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท