ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์ – ภาค 2 เล่ม 4 ตอนที่ 7-10

ภาค 2 เล่ม 4 ตอนที่ 7-10

“อะไรนะ ชเวอินซอบเหรอ? นายกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่เนี่ย ถ้าเป็นนายก็ว่าไปอย่าง…”

กรรมการผู้จัดการคิมพูดไปแล้วก็คิดได้ว่าไม่น่าพูดออกไปเลย ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจงใจถากถางอีอูยอนที่มีอาการไม่สู้ดี

“ใช่แล้วครับ ขยะอย่างผมก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเป็นชเวอินซอบแล้วล่ะก็ เขาจะไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ๆ ใช่ไหมล่ะครับ”

ทำไมอีอูยอนถึงคล้อยตามคำพูดของกรรมการผู้จัดการคิมง่ายๆ ก็ไม่รู้ วินาทีที่ตนพยักหน้า และพูดว่า “นายเองก็มีความละอายใจอันน้อยนิดเหมือนกันนี่นา”

“แต่ผมไม่สามารถสลัดความคิดพวกนั้นทิ้งไปได้เลยครับ ว่าชเวอินซอบกำลังทำอะไร และอยู่กับใคร ผมนึกถึงภาพที่เขาทำเรื่องอย่างว่ากับใครบางคนอยู่เรื่อยเลยครับ”

อีอูยอนทำหน้าสุภาพมากๆ ในขณะที่พ่นคำหยาบโลนออกมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พักหลังมานี้แค่เขายิ้มให้ใคร น้ำขมๆ ก็ย้อนขึ้นมาจากข้างในแล้วครับ ผมเห็นเขาช่วยรูดซิปให้แชยอนซอครั้งหนึ่ง แล้วก็เกือบจะเป็นบ้า ผมอยากจับชเวอินซอบแก้ผ้า และกระแทกไอ้นั่นของเขาเข้าไปต่อหน้าคนอื่น เพื่อที่จะได้แสดงให้เห็นทุกครั้งเลยว่าเขาเป็นของผม”

“…”

โอ๊ย อูยอนเอ๊ย นายมัน…

พอกรรมการผู้จัดการคิมส่งสายตาที่เจือการดูถูกมาให้ อีอูยอนก็ยิ้มอย่างช้าๆ

“ผมรู้ครับ ว่าผมมันบ้า”

“ก็ต้องรู้อยู่แล้วล่ะ”

“เพราะรู้ไงครับ ผมเลยไม่ทำอะไรพวกนั้น ทั้งการข่มขืน การใช้ความรุนแรง การกักขัง และการฆ่าคน”

กรรมการผู้จัดการคิมรีบพูดว่า “การลอบวางเพลิง” เพิ่มเข้ามาอีกอย่างหนึ่ง อีอูยอนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอียงคอ

“จริงด้วยครับ มีตอนที่ผมอยากจะเผาทิ้งให้หมดเลยเหมือนกัน”

“…”

กรรมการผู้จัดการคิมเก็บไฟแช็กที่วางอยู่ตรงคอนโซลรถเงียบๆ

“ผมไม่ชอบที่เขาทำตัวอ่อนโยนกับคนอื่นครับ เพราะนิสัยใจดีเกินไปจนโง่นั้นทำให้ผมเป็นแบบนั้น แม้จะรู้ว่าเขาชอบคนเหี้ยๆ อย่างผมก็ตาม ผมอยากจะกำจัดของที่ชเวอินซอบชอบทิ้งไปให้หมด ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือไอ้กาฝากอะไรก็ตาม ผมอยากจะเก็บเขาไว้ และทำให้เขามองแค่ผมเพียงคนเดียว”

“…”

กรรมการผู้จัดการคิมคิดจากใจว่าโชคดีแล้วที่อีอูยอนเลิกกับชเวอินซอบ

“แต่ขยะอย่างผมก็ตั้งใจไว้อย่างหนึ่งตอนที่พาชเวอินซอบกลับจากอเมริกามาเกาหลีนะครับ”

อีอูยอนพูดอย่างสงบนิ่ง

“ว่าต้องไม่มีเรื่องที่ทำให้คุณอินซอบเสี่ยงชีวิตอีกแล้ว”

เรื่องที่อินซอบถูกมีดของสตอล์กเกอร์แทงจนเกือบตายทิ้งบาดแผลในจิตใจไว้ให้อีอูยอน จนถึงขนาดที่อีอูยอนต้องเข้ารับการรักษาอาการนอนไม่หลับอยู่พักใหญ่หลังจากที่อินซอบไปอเมริกา กรรมการผู้จัดการคิมที่เฝ้าดูภาพเหตุการณ์นั้นอยู่ข้างๆ รู้ดีกว่าใคร

“แต่เขาเป็นลมตั้งสองครั้งแน่ะครับ ในวันที่เป็นลมครั้งแรก เด็กนั่นคิดว่าผมจะโกรธเลยกลัวจนไม่กล้าบอก ฮ่าๆๆ วันนั้นเขาโทรศัพท์มาบอกว่าอยากได้ยินเสียงผมตอนเช้ามืด แต่รู้ไหมครับว่าผมพูดว่าอะไร”

“…”

“ผมถามว่าถ้าอยากได้ยินเสียง ทำไมไม่เปิดซีดีที่ผมให้ฟังที่บ้านล่ะครับ แล้วผมก็เอาแต่จินตนาการถึงภาพที่เขามีอะไรกับผู้หญิงคนอื่นทั้งคืนเลยครับ ถ้าเป็นแบบนั้นยังจะดีกว่า พอคิดว่าคนขี้กลัวต้องนอนอยู่คนเดียวในห้องพักผู้ป่วย ผมก็เดือดพล่านเลยล่ะครับ เหี้ยเอ๊ย ให้ตายสิ”

อีอูยอนพ่นคำสบถลอดไรฟันด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน

“เขาเห็นว่าเขารั้งผมไว้ในขณะที่เครียดได้อย่างง่ายดาย ถ้าพลาดไป เขาก็อาจจะตายได้เลยครับ แม้แต่ในช่วงเวลาแบบนั้น ชเวอินซอบยังเป็นห่วงผมอยู่เลยครับ ขณะที่ผมคิดว่าเขาทิ้งผมไปเจอกับผู้หญิงคนอื่น เขาพูดจาใจร้ายกับผม แล้วก็ขอโทษไปร้องไห้ไปครับ ก่อนหน้านี้ถ้าผมเห็นเขาร้องไห้ ผมจะรู้สึกมีอารมณ์ แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนจะเป็นบ้า”

อีอูยอนพูดคำพูดที่ฟังดูไม่เข้าท่าพลางใช้ฝ่ามือกดหน้าผากและขมวดคิ้วเพราะรู้สึกปวด

“อูยอน…”

“ผมชอบคุณอินซอบมากเลยครับ ผมไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงแล้ว ผมชอบเขาโคตรๆ จริงๆ”

อีอูยอนสารภาพความรู้สึกรักที่บิดเบี้ยวของตัวเองออกมาด้วยสีหน้าเจ็บปวดเหมือนกลืนโลหะร้อนๆ เข้าไป

“ถ้าไม่มีเขาผมอยู่ไม่ได้…”

อีอูยอนหลับตาลง เขากดความอับอายเอาไว้และพูดเสียงเบาเหมือนคนที่สารภาพบาปต่อหน้าพระเจ้าเป็นครั้งแรก

“…และถ้าไม่มีผม คุณอินซอบก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันครับ”

“…”

สัญญาณไฟเปลี่ยนแล้ว ปี๊น พอรถไม่ขยับ เสียงแตรก็ดังมาจากด้านหลัง กรรมการผู้จัดการคิมรีบออกรถ หลังจากที่รถเคลื่อนตัวออกไปได้พักหนึ่ง อีอูยอนก็พึมพำขณะที่พิงศีรษะกับเบาะ

“แต่ผมจะขอเขาคบอีกครั้งได้ยังไงเหรอครับ”

ถ้ารุ่นน้องมาขอคำปรึกษาเรื่องความรัก กรรมการผู้จัดการคิมมักจะให้คำแนะนำได้อย่างไหลลื่น เพราะตนมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักมากเสียจนต่อให้ไปที่ไหนก็ไม่พลาดอีกแล้ว

แต่เรื่องนี้

“…”

เขานึกถึงสิ่งที่อีอูยอนเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ ว่า ‘ถ้าชเวอินซอบเลิกกับผมก็คงจะได้เจอคนที่ดีกว่า แต่ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้’

“นอนสักหน่อยเถอะ”

แม้จะมีคำที่อยากพูดมากมาย แต่คำที่สามารถพูดได้ก็มีเพียงเท่านั้น แล้วกรรมการผู้จัดการคิมก็ขับรถต่อไปเงียบๆ

***

“แหวะ…”

เนื่องจากไม่ได้กินอะไรเยอะ จึงมีแต่น้ำย่อยขุ่นๆ เท่านั้นที่ไหลออกมา แต่ความรู้สึกคลื่นไส้ก็ไม่หายไป อินซอบอ้วกต่ออีกสองสามครั้ง ก่อนจะยืดตัวอย่างยากลำบากขึ้นมาเช็ดปากตรงอ่างล้างหน้า เขาต้องกลั้นความรู้สึกคลื่นไส้ที่พุ่งขึ้นมาในระหว่างที่แปรงฟันไว้

สองสามวันก่อนถ้าเขากินอะไรบางอย่างเข้าไปก็จะรู้สึกปวดราวกับบริเวณกระเพาะถูกกัดกิน แม้จะคิดว่าคงไม่เป็นไรและปล่อยผ่านไป แต่ความปวดก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดก็มาถึงขั้นที่แค่ดื่มน้ำก็อ้วกออกมาจนต้องกลับไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

ในความโชคร้ายก็ยังมีเรื่องดีคือไม่ได้มีอะไรผิดปกติกับหัวใจ และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระเพาะอักเสบอย่างรุนแรงเท่านั้น หมอสั่งให้ระวังเรื่องของกิน และกินยาอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงให้หลีกเลี่ยงความเครียดให้ได้มากที่สุดด้วย

หลังจากอาบน้ำเสร็จ อินซอบก็ออกมาหาถุงยา แค่จำนวนยาเม็ดที่ต้องกินในหนึ่งครั้งก็เกินสิบเม็ดไปแล้ว

อินซอบมองยาเม็ดที่วางอยู่บนฝ่ามือนิ่งๆ ก่อนจะเอาเข้าปากและดื่มน้ำตามลงไป หลังจากที่กลืนยาลงไปแล้ว เขาก็ไปนอนที่เตียง

ภายในห้องยังรกอยู่เหมือนเดิม หลังจากวันนั้นเขาไม่ได้แกะลังออกมาเลยสักใบ แม้จะรู้ว่ามีเรื่องให้ทำเยอะ แต่อินซอบก็ไม่อยากจะขยับเลยแม้แต่นิดเดียว นี่เป็นความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงที่เขาเผชิญเป็นครั้งแรกในชีวิต

ตอนที่รู้ว่าเจนนี่ตายเขายังไม่เป็นขนาดนี้เลย

ตอนนี้มีแค่การกินข้าวและกินยาเท่านั้นที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เขาทำ

‘กินข้าวกินยา…แล้วก็พักผ่อนนะครับ’

คำพูดที่อีอูยอนพูดเป็นคำสุดท้ายก่อนออกไปจากห้องพักผู้ป่วยวนเวียนอยู่ในหัว

สภาพร่างกายของเขาไม่ดีเท่าไร เพราะพอกินข้าวก็อ้วกออกมาเกือบหมด และหากกินยาอย่างเดียวก็รุนแรงเกินไปจนทำให้เขานอนนานขึ้นอย่างผิดปกติ แต่เขาก็ทำตามคำที่อีอูยอนพูดทั้งหมด

เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งวันไปกับการนอนจนคิดว่านอนนานขนาดนี้ได้ด้วยเหรอ พอลืมตาขึ้นมา ความคิดเกี่ยวกับอีอูยอนก็ถาโถมเข้าใส่จนเขาทนไม่ได้

‘คุณจำเป็นต้องเสี่ยงชีวิตกับการคบหา กับเรื่องธรรมดาแบบนี้ด้วยเหรอครับ’

สีหน้าของอีอูยอนที่พูดแบบนั้นเป็นยังไงนะ

อินซอบนึกถึงหน้าของอีกฝ่ายแล้วก็ล้มเลิกไป เขารู้สึกเหมือนโดนยิงซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าจะตายแน่ๆ มันเจ็บปวดรวดร้าวจนเหมือนจะตาย สิ่งที่ทำให้เขาเป็นทุกข์ยิ่งกว่านั้นก็คือความรู้สึกที่มีต่ออีอูยอนที่ยังคงหลงเหลืออยู่เหมือนเดิม

‘เวลาคือยา ไม่ว่าจะเป็นการจากลาแบบไหนก็ตาม พอเวลาผ่านไปก็จะเลือนรางไปเอง’

แม้อินซอบจะลองพูดท่อนที่เคยอ่านเจอในหนังสือซ้ำไปซ้ำมาเหมือนสวดมนต์ แต่ปัญหาก็คือเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน

อินซอบหลับตาลง ยาค่อยๆ ออกฤทธิ์แล้ว เขารู้สึกเหมือนลอยอยู่เหนือน้ำ และเริ่มรู้สึกคลื่นไส้อีกครั้ง

ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูจากด้านนอก อินซอบลุกขึ้นและวิ่งไปที่ประตูหน้าบ้าน จากนั้นก็เปิดประตูโดยที่ไม่ถามว่าเป็นใคร

“อ๊ะ…”

ยุนอารึมที่ยกมือขึ้นเพื่อจะเคาะประตูยืนนิ่งด้วยความตกใจ เธอเอามือลงและยิ้มให้

“สะ สวัสดีครับ”

อินซอบก้มหัวทักทาย

“ฉันบอกว่าวันนี้จะมาหานี่คะ ลืมแล้วเหรอ”

“ไม่ใช่พรุ่งนี้เหรอครับ”

อินซอบเอ่ยถามด้วยสีหน้ามึนงง ยุนอารึมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า และช่วยเช็กวันที่ให้ อินซอบทำตัวไม่ถูกและหน้าแดง

“เพราะผมมัวแต่ทำอะไรบางอย่างอยู่ เลยไม่รู้เลยครับว่าเวลาผ่านไปแล้ว”

ยุนอารึมตำหนิเขาอย่างไม่จริงจังนัก และยื่นถุงที่อยู่ในมือให้

“ของขวัญขึ้นบ้านใหม่ค่ะ แม่ให้เอามาให้”

ในมือของหญิงสาวคือกับข้าว หลังจากที่รู้ความจริงว่าอินซอบเป็นนักเรียนจากอเมริกามาที่เกาหลีคนเดียวเพื่อเรียน แม่ของยุนอารึมก็มักจะทำกับข้าวส่งมาให้ทุกครั้งที่มีโอกาส

“ขอบคุณครับ แต่ผมได้รับอย่างเดียวอยู่บ่อยๆ…”

“ได้รับอย่างเดียวอะไรกันล่ะคะ คุณมอบโลอิสให้พวกเรานี่คะ คุณไม่รู้หรอกว่าพ่อชอบมันมากแค่ไหน พ่อถึงขั้นนอนกอดโลอิสหลับไปทุกครั้งที่นอนเลยนะคะ แล้วพ่อก็โดนแม่ต่อว่าอย่างหนักเลย เพราะพยายามจะเอาโลอิสเข้าไปด้วยตอนอาบน้ำ”

สุดท้ายโลอิสก็ถูกเลี้ยงที่บ้านของยุนอารึม พ่อของยุนอารึมประกาศว่า “เพราะโตแล้วเลยหาคนรับเลี้ยงได้ยาก งั้นเรามาเลี้ยงเองเถอะ” โดยที่ไม่แม้แต่จะพยายามหาคนรับเลี้ยงด้วยซ้ำ

“ถ้าหากคุณเอาไปด้วยไม่ได้ จะยกจอห์นให้ด้วยก็ได้นะคะ”

ยุนอารึมเป็นคนอนุญาตเองว่าให้เลื่อนการรับเลี้ยงจอห์นออกไปหน่อย อินซอบเองก็ตอบตกลงอย่างง่ายดาย เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการหากจะพาไปที่อเมริกาด้วย

“ไม่ครับ ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องรับจอห์นไป…”

เสียงเห่าดัง โฮ่ง ดังขึ้นก่อนที่อินซอบจะพูดจบ พอมองไปด้านล่าง สุนัขที่มีขนสีขาวก็กำลังส่ายหางอย่างตั้งใจ

“พอบอกว่าจะไปเจอพี่ก็วิ่งมาด้วยความดีใจเลย ใช่ไหม?”

ยุนอารึมลูกหัวเจ้าคงพลางเอ่ย อินซอบวางถุงลง ทันทีที่เขานั่งยองๆ และกางแขนทั้งสองข้างออก เจ้าคงก็วิ่งเข้ามาหาเหมือนกับรออยู่แล้ว อินซอบลูบหลังเจ้าคงไม่หยุด

“ร่างกายไม่ได้เป็นอะไรแล้วใช่ไหมคะ”

“ครับ ไม่ได้เป็นอะไรแล้วครับ”

“แต่ทำไมสีหน้าถึงดูไม่ดีเลยล่ะคะ”

เธอทำสีหน้าเป็นห่วง อินซอบรีบยิ้มให้ก่อนจะส่ายหน้า

“ดีขึ้นมากแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

เธอครางรับในลำคอก่อนจะปิดปากเงียบ

ตอนที่ยุนอารึมมาเยี่ยมอีกครั้ง หญิงสาวเห็นอินซอบกำลังนั่งเหม่อลอยอยู่คนเดียวในห้องพักผู้ป่วย และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

‘ทำไมถึงอยู่คนเดียวล่ะคะ’

‘ไม่เป็นไรครับ เพราะไม่ถึงกับต้องการคนเฝ้าไข้หรอก’

‘ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ คือ…’

เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแล้วก็เงียบไป จากนั้นก็ทำสีหน้ายุ่งยากซับซ้อนเหมือนกันก่อนหน้านี้

“ไม่ว่ายังไงคุณก็อยู่ห้ามอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอคะ”

“ถ้าไม่เครียดก็ไม่มีเรื่องให้ล้มป่วยครับ แล้วผมก็กำลังหยุดพักงานอยู่”

หลังจากรู้ความจริงว่าอินซอบอยู่คนเดียวที่โรงพยาบาล ทั้งยังอยู่คนเดียวหลังจากที่ลาออกจากงานด้วยเหมือนกัน ยุนอารึมจึงติดต่อมาหาวันละครั้ง และบางครั้งเธอก็ส่งรูปของจอห์นหรือเจ้าคงมาให้โดยไม่มีข้อความอะไรเป็นพิเศษด้วย

“ดูเหมือนคนรัก…จะยุ่งสินะคะ”

“เอ่อ ครับ ยังไง…”

อินซอบลนลานกุเรื่องขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่กล้าแม้กระทั่งจะบอกว่าเลิกกันแล้ว

เขาระมัดระวังในคำพูด เพราะเธอรู้ความจริงว่าตนกำลังคบกับดารา แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครก็ตาม

“เขาน่าจะยุ่งมาก เพราะเตรียมงานต่อไปอยู่น่ะครับ”

ยุนอารึมเหลือบมองไปด้านในห้อง

“…ยังไม่ได้เชื่อมต่อทีวีกับอินเทอร์เน็ตอีกเหรอคะ”

“ครับ พอดีต้องจัดของก่อน ก็เลยยังรกๆ อยู่น่ะครับ”

“การจัดของก็เป็นงานนะคะ ค่อยๆ…”

ตอนนั้นเองเจ้าคงก็ฉวยโอกาสตอนที่เจ้าของไม่ระวังวิ่งเข้าไปในห้อง

“คง! เจ้าเด็กโง่! ยังไม่ได้เช็ดเท้าเลยนะ!”

ยุนอารึมตะโกนราวกับฟ้าผ่า และพยายามจะจับสายจูงไว้ แต่เจ้าคงก็วิ่งผ่ากลางห้องไปทั้งๆ แบบนั้น

“ขอโทษค่ะ ดูเหมือนมันจะสติหลุดไปแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงมันก็สกปรกอยู่แล้ว เดี๋ยวค่อยทำความสะอาดก็ได้ครับ”

อินซอบลุกขึ้นและเดินเข้าไปข้างใน ยุนอารึมรีบถอดรองเท้า และเดินตามอีกฝ่ายเข้าไป พอเห็นว่ามีลังวางอยู่ทั่วความตื่นเต้นของสุนัขก็เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติเป็นเท่าตัว

“คงจะไม่ฟังคำพูดของพี่สาวเลยเหรอ ถ้าไม่ออกมาทันทีจะไม่มีขนมนะ!”

สุนัขที่ตื่นเต้นวิ่งไปทางยุนอารึมทันทีเพราะคำว่าขนม ด้วยเหตุนั้นลังที่วางซ้อนกันเอาไว้จึงพังครืนลงมา พอของที่อยู่ด้านในทะลักออกมา ยุนอารึมก็ร้องโอ๊ยพลางเอามากุมหน้าผาก

“ไม่เป็นไรครับ เก็บอีกครั้งก็ได้ อย่าใส่ใจเลยครับ”

อินซอบโบกมือก่อนจะก้มตัวลงเพื่อเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น

“…!”

พอตรวจสอบของที่หล่นอยู่บนพื้นแล้ว อินซอบก็นิ่งไปทันที

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

ใต้หน้ากากซูเปอร์สตาร์

Status: Ongoing

นิยายวายแปลเกาหลี ดารา x ผู้จัดการ วงการบันเทิง นายเอกใสซื่อ พระเอกเจ้าเล่ห์ และ “คลั่ง” รักหนักมาก

ข้อเสียเพียงหนึ่งเดียวของ ‘อีอูยอน’ นักแสดงที่ได้ชื่อว่าเป็นสุภาพบุรุษผู้แสนดี และไม่เคยมีแอนตี้แฟน คือการเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวบ่อย

หลังจากเปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 5 คนในปีเดียว ‘ชเวอินซอบ’ แฟนคลับของอีอูยอนก็ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการส่วนตัวคนใหม่ และสามารถปรับตัวเข้าได้กับทุกรสนิยมที่จู้จี้จุกจิกของอีอูยอนได้อย่างไร้ที่ติ

ทว่าสำหรับอีอูยอนแล้ว ผู้จัดการส่วนตัวแบบนั้นน่าสงสัยเป็นที่สุด

เขารู้สึกสนใจในการกระทำของอีกฝ่าย ในขณะเดียวกันความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อตัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ทว่าในตอนที่เขารู้สึกดีกับอินซอบมากขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายก็ (ลอบ) แทงข้างหลัง (เบาๆ) และพยายามจะหนีไป

“ถ้าผมปล่อยคุณอินซอบไป แล้วผมจะอยู่ยังไงล่ะครับ”

TW : Coercion / Dubious Consent / Dirty talk / Toxic relationship / Violence / Rape

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท