คุณหนูตันจูเป็นคนแปลกประหลาดเสียจริง
ทุกครั้งที่จางเหยาพบเจอเรื่องน่ายินดี คนทั้งตระกูลต่างร่วมยินดีนั้น นางจะร้องไห้
ครั้งก่อนคือตอนที่จางเหยาเข้ากั๋วจื่อเจี้ยน ครั้งนี้คือจางเหยาถูกฮ่องเต้เรียกเข้าเฝ้า
ครั้งก่อนเฉินตันจูกลับไปร้องไห้ดื่มสุราไปหนึ่งเหยือก ก่อนจะเมาเขียนจดหมายที่มีเพียงคำว่าข้าดีใจมากให้แก่แม่ทัพหน้ากากเหล็ก
ครั้งนี้…จู๋หลินยืนอยู่บนหลังคาของอาราม มองห้องฝั่งตรงข้าม เฉินตันจูปล่อยผมแผ่สยาย สวมชุดกระโปรงรัดอก นั่งอยู่ที่โต๊ะ ในมือถือเหยือกสุราใบเล็ก กำลังรินสุราลงไปด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่มีสุราสักหยด
“เหล้าหมดแล้ว” เฉินตันจูพูด โยนเหยือกสุราลง เดินไปถึงหน้าโต๊ะตำรา ปูกระดาษแผ่นหนึ่ง ยกพู่กันขึ้น “เรื่องน่ายินดีเช่นนี้…”
เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ สำหรับนางแล้ว น่ายินดีเสียยิ่งกว่าจางเหยาเองเสียอีก เพราะว่าแม้แต่จางเหยาก็ไม่รู้ความทุกข์ยากและความเสียดายที่เคยผ่านมาของเขา
ชาตินี้ ความทุกข์ยาก ความเสียดายรวมถึงความดีใจ กลายเป็นเรื่องของนางเพียงคนเดียว
ไม่มีผู้ใดรับฟัง หรือแบ่งปันได้
นางทำได้เพียงเขียนว่าดีใจเต็มกระดาษ ยัดให้กับคนแปลกหน้าที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเมื่ออดีตชาติแม้แต่น้อย…แม่ทัพหน้ากากเหล็ก
ความดีใจของนางก็ดี ความเสียใจของนางก็ดี สำหรับแม่ทัพหน้ากากเหล็กที่สูงส่งแล้ว ล้วนเป็นเรื่องเล็กที่ไม่สำคัญ
มองดูเฉินตันจูสะบัดพู่กันเขียนเต็มกระดาษ จากนั้นยกกระดาษขึ้น จู๋หลินไม่ต้องให้นางเรียกขานตนเองก็เดินเข้าไปทันที เขารับจดหมายแล้วเดินออกมา
อาเถียนพยุงเฉินตันจูที่ยิ้มตาหยี กล่อมให้นางไปนอน “คุณชายจางจะออกเดินทางแล้ว หากนอนดึกอาจตื่นไม่ทัน จะไปส่งไม่ทันเอานะเจ้าคะ”
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เฉินตันจูรีบตามนางไปทันที แต่ก็ยังไม่ลืมกำชับด้วยความเมา “เตรียมของใช้ที่ต้องพกไปด้วย อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เจ้าไม่รู้ เขาไม่อาจทนหนาวได้ ร่างกายอ่อนแอ ข้ารักษาให้เขาหายอย่างยากลำบาก ข้ากังวลเหลือเกิน อาเถียน เจ้าไม่รู้ เขาป่วยตาย” พึมพำด้วยความเมา อาเถียนไม่สนใจพยักหน้าตอบรับ พยุงนางไปนอนในห้อง
อารามเล็กในฤดูหนาวตกอยู่ในความสงบ
จู๋หลินถือกระดาษที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุรากลับห้อง เริ่มเขียนจดหมาย เรื่องวุ่นวายที่คุณหนูตันจูก่อขึ้นสิ้นสุดลงแล้ว เหตุการณ์ระหว่างทางวุ่นวายอย่างมาก ผู้ที่เข้าร่วมก็วุ่นวายอย่างมาก ผลสรุปก็ไร้เหตุไร้ผล คุณหนูตันจูก่อเรื่องขึ้นอีกครั้ง แต่ก็รอดมาได้อีกครั้ง
เรื่องการถูกฮ่องเต้ตำหนิสำหรับเฉินตันจูไม่ถือว่าน่ากลัว นางทำเรื่องที่น่ากลัวมากมาย ฮ่องเต้เพียงแค่ตำหนินางไม่กี่คำ ถือว่าปฏิบัติต่อนางดีมากแล้ว
…
“จู๋หลิน คาดไม่ถึง สาเหตุที่ฮ่องเต้ปฏิบัติดีต่อนาง เพราะว่าเรื่องน่ากลัวที่คุณหนูตันจูทำนั้น สุดท้ายก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของผู้อื่น”
“เขาก็คงคาดไม่ถึงว่า คนที่เข้าร่วมอย่างวุ่นวายนั้นจะมีท่านแม่ทัพอย่างท่านด้วย!”
หวังเจียนโยนกระดาษจดหมายเจ็ดแปดแผ่นที่เขียนเต็มหน้ากระดาษลงบนโต๊ะ ก่อนจะเคาะผิวโต๊ะ
“ดู มีคนมากน้อยเพียงใดได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ องค์ชายสาม องค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี สวีลั่วจือ ฮ่องเต้ ล้วนได้รับสิ่งที่ต้องการ มีเพียงเฉินตันจู…”
เขาเอื้อมตัวหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากแม่ทัพหน้ากากเหล็กไป ผ่านไปหลายวันยังคงได้กลิ่นสุราที่ติดอยู่บนนั้น
“ดีใจ? นางมีสิ่งใดให้ดีใจ นอกจากชื่อเสียงที่เสื่อมเสียยิ่งขึ้น”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ชื่อเสียงเสื่อมเสียก็เป็นเรื่องดี แลกเปลี่ยนมาได้ซึ่งความต้องการ ย่อมดีใจ”
หวังเจียนถาม “แลกเปลี่ยนความต้องการอันใด” เขาคลี่จดหมายออกอีกครั้ง “ความสัมพันธ์กับองค์ชายสามหรือ? อีกทั้งท่านยังให้คนซื้อตำราเหล่านั้นมากมาย ส่งไปให้คนในเมืองหลวงอ่าน ท่านต้องการแลกเปลี่ยนสิ่งใด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กวางตำราในมือลง มองไปยังเขา “คนอย่างพวกเจ้ามักคิดแต่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ถึงจะได้สิ่งที่ต้องการ เหตุใดจึงไม่คิดว่ามอบให้ผู้อื่นคือสิ่งที่ต้องการบ้าง”
มอบให้สิ่งใด หวังเจียนขมวดคิ้ว “มอบให้อันใด”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองกระดาษจดหมายที่กองอยู่บนโต๊ะ “ช่วยเหลือผู้อื่น”
ช่วยเหลือผู้อื่น? ผู้ใดช่วยเหลือผู้ใด ช่วยเหลือสิ่งใด หวังเจียนชี้ไปที่จดหมาย “คุณหนูตันจูก่อเรื่องขึ้น เพื่อช่วยเหลือจางเหยาผู้นี้?” พูดพลางหัวเราะออกมา “หรือว่าจะเป็นชายรูปงามจริงๆ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กยืนขึ้น “เป็นชายรูปงามหรือไม่ แลกเปลี่ยนสิ่งใด กลับไปดูก็รู้”
หวังเจียนทำเสียงสงสัย โยนสิ่งวุ่นวายเหล่านี้ทิ้งไป รีบลุกขึ้นยืนตาม “ท่านจะกลับไปแล้วหรือ”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด “ข้าไม่ได้บอกว่าจะกลับไปนานแล้วหรือ”
เวลานั้นเป็นกังวลว่าเฉินตันจูจะก่อเรื่องจนจัดการไม่ได้ เพราะคนที่นางมีเรื่องด้วยคือบัณฑิต แต่เวลานี้ไม่มีเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ
“องค์รัชทายาทเสด็จถึงไหนแล้ว” แม่ทัพหน้ากากเหล็กถาม
พูดขึ้นมา ทางองค์รัชทายาทก็เสด็จเข้าเมืองหลวงอย่างกะทันหันเช่นเดียวกัน ข่าวที่ได้รับมาบอกว่าจะรีบเสด็จกลับไปเข้าร่วมงานบวงสรวงใหญ่ประจำปี
หวังเจียนครุ่นคิด “ขบวนขององค์รัชทายาทรวดเร็ว อีกสิบวันก็ถึงแล้ว”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กมองแผนที่ “ข้าออกเดินทางเวลานี้ สิบวันหลังจากนี้ก็ถึงเมืองหลวงเช่นเดียวกัน”
หวังเจียนผงะ “บัดนี้? เดินทางทันที?”
“เดินทางทันที ของบรรณาการที่ท่านอ๋องฉีเตรียมให้ฝ่าบาทตรวจค้นหมดแล้ว ข้าจะส่งกลับไปให้ฝ่าบาทด้วยตนเอง” แม่ทัพหน้ากากเหล็กพูด พลางก้าวเท้าเดินออกไปทางด้านนอก
กะทันหันเกินไปกระมัง หวังเจียนรีบตามขึ้นไป “เกิดเรื่องใดขึ้น เหตุใดจึงรีบร้อนกลับไปเช่นนี้ เมืองหลวงไม่มีเรื่องใด เงียบสงบ…”
แม่ทัพหน้ากากเหล็กเดินออกจากตำหนักใหญ่ ลมหนาวพัดผ่านผมสีขาวของเขา
“มีความสงบที่ใดกัน” เขาพูด “เพียงแค่ยังไม่มีคนที่พัดพาคลื่นขึ้นมาได้จริงเท่านั้น”
หวังเจียนหัวเราะ พูดถึงผู้ใด ตนเองหรือ
แม่ทัพหน้ากากเหล็กว่องไวอย่างมาก บอกว่าออกเดินทางคือออกเดินทาง ตอนที่ท่านอ๋องฉีได้ข่าวในพระราชวังนั้น ตกตะลึงจนลุกขึ้นมานั่ง
“เมืองหลวงเกิดเรื่องใดขึ้น” เขาอดถามไม่ได้
แต่คำถามนี้ไม่มีผู้ใดตอบเขาได้ พระราชวังฉีราวกับเกาะที่แสนโดดเดี่ยว ด้านนอกเป็นย่างไรล้วนไม่รับรู้
พระพันปีตรัส “อย่างน้อยดูเงียบสงบ”
ท่านอ๋องฉีกระจ่าง เขารีบนอนกลับลงไปอีกครั้ง เปล่งเสียงหัวเราะออกมา เขาไม่รู้ว่าเวลานี้เมืองหลวงเกิดเรื่องใดขึ้น แต่เขารู้ว่าต่อจากนี้เมืองหลวงไม่มีทางเงียบสงบแล้ว
“หนิงหนิงไม่ได้ถูกคัดออกใช่หรือไม่” เขาถาม
พระพันปียิ้มพลางพยักหน้า “ไม่ หนิงหนิงเป็นหญิงสาวที่ไม่โดดเด่น”
ไม่โดดเด่นย่อมไม่เป็นที่สนใจ ไม่ถูกมองเห็น สามารถไปถึงเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย
เดือนสุดท้ายในฤดูหนาวมีคนจำนวนมากเดินทางบนท้องถนน มีคนเดินทางมายังเมืองหลวง มีคนเดินทางออกจากเมืองหลวง
จางเหยาที่มาเมืองหลวงเป็นเวลาสี่เดือนกว่า เดินทางจากเมืองหลวงไปก่อนที่สิ้นปีจะมาถึง เขาแตกต่างไปจากตอนที่แบกชั้นวางตำราทรุดโทรมเดินทางมา ตอนจากไปนั้นเขานั่งอยู่บนรถม้าที่ขุนนางราชสำนักสองท่านเตรียมไว้ให้ มีองครักษ์ของราชสำนักคุ้มครอง ไม่เพียงแต่คนของตระกูลหลิว คนของตระกูลฉางต่างก็เดินทางมาส่งอย่างเสียดาย
บนรถของจางเหยาแทบจะถูกยัดเต็มไปด้วยสิ่งของ ฉีฮู่เฉาทนดูไม่ได้จึงเดินเข้าไปแบ่งส่วนหนึ่งมาถึงจะว่างลง
เฉินตันจูไม่ได้เดินทางไปส่ง เพียงแค่รออยู่บริเวณเชิงเขาภูเขาดอกท้อ รอจางเหยาเดินทางผ่านมาแล้วค่อยบอกลาเขา ครานี้ไม่เหมือนกับตอนที่ไปตระกูลหลิว หรือไปกั๋วจื่อเจี้ยนครั้งแรก ที่มอบสิ่งของน้อยใหญ่ให้เขามากมาย ครานี้เพียงแค่หยิบยากล่องเล็กมาหนึ่งกล่อง
“กินอย่างไร ใช้อย่างไร ข้าเขียนไว้หมดแล้ว” เฉินตันจูพูด ชี้ไปยังกระดาษที่วางอยู่ในกล่อง “หากเจ้าไม่สบายต้องกินยาทันที อาการไอของเจ้าถึงแม้จะหายดีแล้ว แต่ร่างกายยังคงอ่อนแอมาก อย่าได้ป่วยอีก”
จางเหยาคำนับขอบคุณอย่างจริงจัง
ใต้เท้าฉีและใต้เท้าเจียวแอบดูอยู่ในรถ เห็นหญิงสาวผู้นั้นสวมชุดเสื้อสีเขียว กระโปรงสีขาว ผ้าคลุมสีแดง รูปลักษณ์งดงามสะดุดตายิ่งนัก ตอนที่พูดคุยกับจางเหยา ดวงตามีรอยยิ้ม ทำให้คนละสายตาไม่ได้
เฉินตันจูไม่ได้พูดสิ่งอื่นกับจางเหยา หลังจากมอบยาแล้วก็เร่งให้เขาออกเดินทาง “เดินทางระวัง”
จางเหยาคำนับ “หากไม่มีคุณหนูตันจู คงไม่มีข้าในวันนี้ ขอบคุณคุณหนูตันจู”
เฉินตันจูยิ้ม ไม่พูด
จางเหยาคำนับอีกครั้ง พูด “ขอบคุณคุณหนูตันจู”
เหตุใดขอบคุณสองครั้ง เฉินตันจูมองเขาอย่างฉงน
จางเหยาลุกขึ้นยิ้มให้นาง พูด “ข้าก็ไม่รู้ แต่อยากจะขอบคุณคุณหนูตันจูสองครั้ง”
เฉินตันจูยิ้ม ไม่พูดเหมือนเคย
หลิวเวยเอ่ยเชิญอยู่ด้านข้าง “ตันจู พวกเราไปส่งท่านพี่พร้อมกันเถิด”
คนของตระกูลหลิวและตระกูลฉางเป็นครอบครัว ย่อมต้องเดินทางไปส่งนับสิบลี้
เฉินตันจูส่ายหัว “ข้าไม่ไปแล้ว รอคุณชายจางกลับมา ข้าค่อยออกไปต้อนรับที่สิบลี้”
เฉินตันจูบอกว่าไม่อยากย่อมไม่มีคนบังคับได้ หลิวเวยตอบรับ ก่อนจะแยกย้ายเดินขึ้นรถกับจางเหยา ขบวนรถม้าเดินทางไปอย่างคึกคัก ตอนที่กำลังจะเลี้ยวลับไปนั้น จางเหยาเปิดม่านขึ้นมองกลับมา เห็นหญิงสาวนั้นยังคงยืนส่งอยู่ริมทาง