ของที่หล่นคือถ้วยรางวัล เช่น ถ้วยรางวัลใหญ่ในเทศกาลภาพยนตร์ ถ้วยรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ถ้วยรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมสาขาละคร และถ้วยรางวัลใหญ่ในด้านละครโทรทัศน์ เป็นต้น
ในวันหนึ่งอีอูยอนเห็นว่าอินซอบกำลังมองถ้วยรางวัลที่วางเรียงกันอยู่ในตู้โชว์ วันต่อมาเขาจึงเอาถ้วยรางวัลเก็บใส่ลังมาให้ และบอกว่าเป็นของขวัญ แม้อินซอบจะทำสีหน้าเคร่งขรึมและบอกว่าไม่เอา แต่อีอูยอนก็เรียงถ้วยรางวัลของตัวเองเป็นแถวบนชั้นวางหนังสือของอินซอบด้วยความดื้อรั้น
อินซอบรีบเก็บถ้วยรางวัลที่มีชื่อของอีอูยอนสลักอยู่ขึ้นมาเก็บใส่ลัง
“ฉันช่วยค่ะ”
“ไม่ต้องครับ ไม่เป็น…!”
เจ้าสุนัขไม่พลาดโอกาสที่จะวิ่งเข้ามาคาบถ้วยรางวัลอันหนึ่งไว้ และเริ่มวิ่งฉิวไปทั่วห้องด้านใน
“นี่! นาย! โดนทำโทษแน่!”
พอยุนอารึมดุด้วยเสียงน่ากลัว เจ้าสุนัขก็หงอยทันทีและปล่อยถ้วยรางวัลที่คาบไว้ลงตรงหน้าของหญิงสาว
“นี่…”
เธอยื่นถ้วยรางวัลให้อินซอบ แล้วก็ร้องเอ๊ะก่อนจะกะพริบตา อินซอบคว้าถ้วยรางวัลไว้เหมือนจะแย่งมาจากมือของหญิงสาวด้วยความตื่นตระหนก
“ผะ ผมไม่ได้ขโมยมานะครับ เขา เขาฝากเอาไว้สักพักหนึ่ง ผมก็เลย…”
ยิ่งพยายามนึกข้อแก้ตัวที่น่าจะเป็นไปได้ ภายในสมองของเขาก็ยิ่งว่างเปล่า เป็นที่รู้กันว่าการที่ผู้จัดการส่วนตัวเองถ้วยรางวัลของดาราที่ตัวเองดูแลมาเก็บไว้ไม่ใช่แค่อันเดียว แต่เป็นสิบๆ อันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ
พอเห็นอินซอบหน้าซีดเผือดและอ้ำอึ้ง ยุนอารึมก็ช่วยเอาถ้วยรางวัลที่ตกอยู่บนพื้นใส่ลังให้
“คุณอินซอบ คืออย่างนี้นะคะ”
การเปิดประเด็นที่หญิงสาวโยนมาทำให้อินซอบอินซอบใจตกไปที่ตาตุ่ม
หรือว่าจะสังเกตเห็นนะ เราจะสร้างความเดือดร้อนให้อีอูยอนไม่ได้ หรือควรจะบอกว่าเลิกกันแล้วดี ไม่สิ อย่างงั้นจะเป็นการยืนยันว่าเคยคบกัน…บอกว่าขโมยมาเฉยๆ ดีกว่า
ในตอนที่อินซอบกำลังใจแป้ว ยุนอารึมก็พูดต่ออย่างใจเย็น
“ฉันตัดสินใจแล้วค่ะว่าจะไปเรียนที่ต่างประเทศ บางทีฉันอาจจะไปเร็วสักหน่อยประมาณกลางเดือนหน้า จะได้ไปเรียนปรับภาษาก่อน”
“ยินดีด้วยครับ”
แม้จะเป็นเรื่องที่กะทันหัน แต่อินซอบก็รีบเอ่ยแสดงความยินดีกับหญิงสาว เขาเคยได้ยินผ่านๆ มาก่อนแล้วว่าเธอออกจากงาน และเตรียมตัวไปเรียนนิเทศศาสตร์ที่ต่างประเทศ
“แต่ฉันเครียดจนนอนไม่หลับเลย ความจริงฉันยังไม่ได้บอกใครเลยค่ะ เพราะฉันเป็นโรคตื่นกลัวคนต่างชาติน่ะค่ะ”
“โรคตื่นกลัวคนต่างชาติเหรอครับ”
“ค่ะ ถ้าเห็นคนต่างชาติ ฉันจะประหม่า แล้วก็มือเย็นไปหมดเลยค่ะ ฉันไม่ได้เหยียดเชื้อชาติหรืออะไรแบบนั้นนะคะ แต่ฉันแค่กลัวมากๆ เวลาที่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าคนที่สื่อสารกันไม่เข้าใจน่ะค่ะ”
แม้จะไม่เคยรู้มาก่อนว่าหญิงสาวที่มีนิสัยร่าเริงกำลังคิดแบบนี้ แต่อินซอบก็คิดว่ามันก็เป็นไปได้
“ผมเข้าใจครับ ไม่เข้าใจภาษา การเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายก็ยากเสมอแหละครับ แต่คุณต้องทำได้ดีแน่นอน ไม่เป็นไรนะครับ”
ยุนอารึมที่ลูบหัวของสุนัขอยู่พยักหน้าให้กับคำพูดของอินซอบ
“ฉันคิดไว้แล้วล่ะค่ะว่าถ้าเป็นคุณอินซอบจะต้องพูดแบบนั้น ว่าไม่เป็นไร”
ยุนอารึมเก็บถ้วยรางวัลที่ตกอยู่บนพื้นใส่ลัง
“ใช่แล้วครับ ต้องไม่เป็นไรครับ”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ถึงเจตนาที่หญิงสาวหยิบเอาเรื่องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศมาพูด
‘ต้องไม่เป็นไรครับ’
นั่นไม่ใช่คำที่ยุนอารึมอยากได้ยิน แต่เป็นคำที่เธออยากพูดให้อินซอบฟัง
อินซอบก้มหน้า ความต้องการที่อยากจะพูดทุกอย่างให้หญิงสาวฟังล้นทะลัก แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ แม้จะรู้ดีกว่าเธอไม่มีทางเป็นแบบนั้น แต่เขาก็กลัวว่าเรื่องที่ตัวเองพูดจะสร้างความเดือดร้อนให้อีอูยอนจนไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้
เขาอยากร้องไห้
“คุณอินซอบ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
พออินซอบเงียบลงอย่างกะทันหัน ยุนอารึมก็ทำสีหน้าเป็นห่วง
“ครับ ไม่เป็นไรครับ…ขอบคุณนะครับ ในหลายๆ เรื่องเลย”
เวลาเห็นยุนอารึม เขามักจะนึกถึงครอบครัวที่อยู่ที่อเมริกา ถ้าชอบคนดีๆ ก็คงจะไม่เจอกับเรื่องปวดใจแบบนี้หรือเปล่านะ
แม้จะลองขบคิด แต่ก็ไม่ได้คำตอบออกมา เพราะการชอบคนอื่นสำหรับเขาไม่สำเร็จตั้งแต่แรกแล้ว
อินซอบเอื้อมมือออกไปกอดก้อนขนที่กำลังหอบแฮกๆ และเอาแต่ลูบหลังนุ่มๆ นั้น แต่ก็ไม่รู้สึกดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เขารู้สึกเหมือนกับมีส่วนไหนเสียหาย
“งั้นไว้เจอกันค่ะ ทานข้าวให้หมดด้วยนะคะ”
“ครับ ฝากขอบคุณคุณแม่ด้วยนะครับ”
พอเห็นสุนัขที่มีท่าทีตั้งใจว่าจะไม่ออกไป ยุนอารึมก็พ่นลมออกทางจมูกดังหึ
“คงอยู่ที่นี่แหละ ส่วนพี่จะกลับบ้านไปกินขนมคนเดียวให้หมดเลย”
คำพูดของยุนอารึมทำให้เจ้าคงวิ่งไปหาเหมือนกับไม่เคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน และทำตัวเกาะติดด้านข้างของหญิงสาวพลางส่ายหาง อินซอบยิ้มและลูบหัวเจ้าหมา
“พักผ่อนนะคะ”
พอยุนอารึมจากไป อินซอบก็ทรุดตัวลงนั่ง อาการคลื่นไส้ที่อดทนไว้อย่างยากลำบากกลับขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากงอตัวอยู่สักพักอาการคลื่นไส้ก็ทุเลาลง
พอเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก ลังที่ใส่ถ้วยรางวัลเอาไว้ก็โผล่เข้ามาในสายตา เขาเดินไปหน้าลังและหยิบถ้วยรางวัลที่อยู่ข้างในออกมาลองนับ ยี่สิบสามอัน นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน เขาไม่แน่ใจกับของอย่างอื่น แต่ยังไงก็ต้องคืนของสิ่งนี้ให้อย่างแน่นอน เขาตัดสินใจว่าไหนๆ ก็จะให้แล้ว เขาจะให้พร้อมกับเช็คเงินสดเลย
อินซอบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เขากำลังจะต่อสายหากรรมการผู้จัดการคิม แล้วก็ชะงักมือไป เพราะเขานึกถึงน้ำเสียงของกรรมการผู้จัดการคิมที่พูดอย่างเด็ดขาดว่ามันจะทำให้เจ้าตัววุ่นวาย
ทำยังไงดี
อินซอบก้มมองถ้วยรางวัล เขารู้ดีกว่าใครว่าอีอูยอนใช้ความพยายามแบบไหนเพื่อที่จะได้มันมา
อินซอบค้นหาชื่อของอีอูยอนในประวัติการโทร แค่แตะนิ้วสายก็จะถูกเชื่อมต่อทันที แต่เขากลับไม่สามารถขยับนิ้วได้ง่ายๆ
อินซอบเหงื่อซึมและรู้สึกคลื่นไส้ เขาจึงสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ หากถ่วงการโทรศัพท์ไปหาเอาไว้ ก็จะไม่สามารถคืนถ้วยรางวัลให้ได้อย่างแน่นอน
อินซอบกัดริมฝีปากและขยับนิ้ว การต่อสายทำให้หัวใจเริ่มเต้นตึกตัก เขากระชับฝ่ามือด้วยกลัวว่าโทรศัพท์จะหลุดมือ แต่แม้เวลาจะผ่านไปสักพัก โทรศัพท์ก็ไม่ถูกรับสาย
“…”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงได้รู้ว่าตัวเองเหมือนคนโง่มากแค่ไหน เขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่รับโทรศัพท์ก็ได้
แน่นอนว่า…
[ฮัลโหลครับ]
น้ำเสียงที่ได้ยินอย่างกะทันหันทำให้อินซอบกลั้นหายใจดังเฮือกด้วยความตกใจ
[โทรผิดหรือเปล่าครับ]
อินซอบตอบว่า “เปล่าครับ” ให้กับคำถามของอีอูยอน
นี่เป็นเสียงที่ไม่ได้ยินมานาน อินซอบควบคุมลมหายใจก่อนจะพูดต่อ
“ขอโทษที่จู่ๆ ก็โทรศัพท์มาหานะครับ สะดวกคุยหรือเปล่าครับ”
[ครับ]
คำตอบสั้นๆ ถูกส่งกลับมา
“ไม่ใช่อะไรหรอกครับ คือผมกำลังจัดของแล้วเจอว่ามีของของคุณอีอูยอนอยู่ด้วยก็เลยโทรศัพท์มาหาน่ะครับ”
[ทิ้งไปเลยครับ]
อีอูยอนตอบกลับโดยไม่ถามว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำ
“เป็นถ้วยรางวัลครับ”
[ถ้วยรางวัลทิ้งไม่ได้เหรอครับ แค่แยกขยะก็ได้แล้วนี่ครับ]
พอคำตอบที่ไม่คาดคิดถูกตอบกลับมา อินซอบก็พูดไม่ออกไปพักหนึ่งด้วยความสับสน
“…ถ้าคุณบอกที่อยู่ให้รู้ ผมจะส่งไปรษณีย์ไปให้ครับ”
เสียงลมหายใจเล็ดลอดมาจากปลายสาย
[มันจะน่ารำคาญกันทั้งคู่นะครับ ทิ้งๆ ไปเถอะครับ]
คำว่าน่ารำคาญทำให้ปลายนิ้วของอินซอบสั่น เขาต้องพูดอะไรสักอย่าง แต่ภายในหัวกลับว่างเปล่า แล้วอาการคลื่นไส้ที่กดไว้อย่างยากลำบากก็เริ่มพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง
[ข้าว…]
“ครับ?”
[กินข้าวครบทุกมื้อหรือเปล่าครับ]
แม้จะรู้ว่าเป็นคำถามที่ถามตามมารยาท แต่อินซอบก็เผลอร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“ครับ กินครบทุกมื้อครับ”
อินซอบรีบเช็ดน้ำตาก่อนจะเอ่ยตอบ แม้จะกินแล้วอ้วกออกมาหมด แต่เขาก็กินครบทั้งสามมื้อ
[ร่างกายเป็นยังไงบ้างครับ]
“ไม่มีอะไรผิดปกติครับ”
เนื่องจากอ้วกอยู่บ่อยๆ เขาจึงไปโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจอีกครั้ง แต่เพราะหมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ นี่จึงไม่ใช่คำพูดที่ผิดแม้แต่น้อย อีอูยอนพึมพำเหมือนพูดคนเดียวว่า “โล่งอกไปทีนะครับ” เขารู้สึกเหมือนมีใครเอาน้ำอุ่นๆ มาเทราดลงที่หัวใจ ต้องพูดอะไรสักอย่าง แล้วตอนนั้นถ้วยรางวัลก็โผล่เข้ามาในสายตาของอินซอบ
“…ที่คุณบอกว่าจะคุยด้วยหลังจากที่พิธีมอบรางวัลจบคือเรื่องอะไรเหรอครับ”
เขาเผลอเอ่ยถามออกไปแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว หลังจากเกิดความเงียบขึ้นชั่วครู่ อีอูยอนก็เอ่ยเรียกว่า [คุณอินซอบครับ]
แค่เรียกชื่อหัวใจของเขาก็เต้นไม่เป็นจังหวะ
“ครับ”
[คุณเคยบอกว่าคบกับผมเป็นครั้งแรกใช่ไหมครับ]
“…ครับ ใช่ครับ”
ทุกอย่างคือครั้งแรก เขาได้เรียนการจับมือ การจูบ การมีเซ็กซ์ และความรู้สึกที่เร่าร้อนพวกนี้ทั้งหมดจากอีกฝ่าย
เขาคือรักครั้งแรก
[งั้นการเลิกกันก็เลิกกับผมเป็นคนแรกสินะครับ]
“…ใช่ครับ”
[งั้นผมจะบอกให้นะครับ เพราะเหมือนคุณจะยังไม่รู้ว่า ถ้าเลิกกันไปแล้ว ห้ามโทรศัพท์มาหาแบบนี้นะครับ]
“…เอ่อ ขะ ขอโทษ…ครับ”
อินซอบเอ่ยขอโทษอย่างตะกุกตะกัก
[แล้วที่ถามเมื่อกี้นี้ ดูจากการที่ผมจำอะไรไม่ได้แล้วคงไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ งั้นผมวางนะครับ]
แล้วสายก็ถูกตัดไปแบบนั้น อินซอบยืนกำโทรศัพท์มือถืออยู่พักหนึ่ง
ท่าทีของอีอูยอนสุภาพมาก เขาไม่ได้โมโห หรือขึ้นเสียง แต่มีสติถึงที่สุด
เหมือนกับคนที่อยู่ในหน้าจอ
อินซอบต้องยอมรับว่าตอนนี้อีกฝ่ายได้กลายเป็นคนที่ไม่สามารถสัมผัสได้อีกแล้ว