เห็นสืออีเหนียงนิ่งเงียบ คุณนายใหญ่สกุลหลัวก็ท้อใจแล้วเอ่ยปลอบนาง “นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือก บ่าวรับใช้สกุลเริ่นคนนั้นยอมรับสารภาพเองแล้วยังมีหลักฐาน อีกทั้งยังมีองค์หญิงฉังหนิงอยู่เบื้องหลัง ถึงแม้ว่าศาลว่าการจะรู้ว่าใครเป็นฆาตกรแต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้!”
ชาติที่แล้วนางเป็นทนายความจะไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้เช่นไร แต่แค่รู้เป็นเรื่องหนึ่ง เข้าใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ยอมรับก็ยังเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และนี่ก็คือเหตุผลที่นางเลือกเป็นทนายความคดีฟ้องหย่า คือเหตุผลที่ทำไมนางยิ่งหาเงินได้มากเท่าไรก็ยิ่งสุขุมมากขึ้นเท่านั้น
หวังหลังเป็นบุตรเขยของสกุลหลัว คุณนายใหญ่สกุลหลัวจึงไม่อยากพูดเรื่องนี้ นางถามถึงสืออีเหนียงแทน “เจ้าเป็นอะไรไป”
เรื่องบางเรื่องไม่ควรคิดมาก
สืออีเหนียงก็ไม่อยากพูดเรื่องนี้เช่นกัน
“ไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ” นางพูดเบาๆ “แค่ไม่สบายเล็กน้อย หมอหลวงหลิวมาดูแล้ว บอกว่าเป็นหวัด ให้ทานยาสองสามอย่าง พักผ่อนสองสามวัน” จากนั้นนางก็เปลี่ยนเรื่องโดยไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้เลยแม้แต่น้อย “พี่สะใภ้ใหญ่มาที่นี่เพราะมีเรื่องจะมาปรึกษาข้าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
เห็นได้ชัดว่าคุณนายใหญ่สกุลหลัวเป็นห่วงสุขภาพของสืออีเหนียงมากกว่า นางมองข้ามคำถามของสืออีเหนียงไป “แล้วเจ้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหรือยัง ในเมื่อไม่สบายก็ไม่ยอมส่งคนไปบอกข้า ข้ายังมีโสมซาเซินอายุห้าสิบปีสองชิ้น ประเดี๋ยวข้ากลับไปบอกให้คนนำมามอบให้เจ้า”
“ก็แค่เป็นหวัดเท่านั้น” สืออีเหนียงปฏิเสธซ้ำๆ แล้วพูดถึงเรื่องก่อนหน้านั้นขึ้นมา “เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ถึงมาหาข้าหรือ”
คุณนายใหญ่ตัดสินใจที่จะกลับไปแล้วนำข่าวที่สืออีเหนียงไม่สบายออกไปเผยแพร่ นางจึงไม่สนใจเรื่องนี้อีก พูดตรงๆ ว่า “ของไว้อาลัยงานศพของท่านเขยสิบ แต่ละสกุลมีกฎเกณฑ์ของแต่ละสกุล พี่ใหญ่ของเจ้าบอกว่า นอกจากของพวกนั้นแล้ว สกุลเราจะให้แต่ละเรือนออกเงินอีกสามสิบตำลึง เงินพวกนี้ไม่อยู่ในรายการ เอาให้คุณหนูสิบเป็นการส่วนตัว สำหรับของคุณหนูห้า พี่ใหญ่ของเจ้าจะเป็นคนออกให้ ประเดี๋ยวนางก็จะคลอดแล้ว มีเรื่องที่ต้องใช้เงินอีกมากมาย”
“ข้าฟังพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ” ในเมื่อรู้แล้วว่าส่วนของอู่เหนียงหลัวเจิ้นซิ่งเป็นคนออกให้ แต่สืออีเหนียงไม่อยากให้พวกเขาออกทั้งหมด “แต่เดี๋ยวข้าช่วยออกให้ครึ่งหนึ่ง”
“ข้าไม่ได้มาขอเงินเจ้าเสียหน่อย” คุณนายใหญ่ยิ้ม “รอให้เจ้าได้ดูแลสกุลแล้ว เจ้าไม่บอก ข้าก็จะเอาส่วนนี้”
สืออีเหนียงหัวเราะ
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
คุณนายใหญ่ยิ้มแล้วพูดว่า “สกุลหวังคงจะมารายงานเรื่องงานศพ ท่านโหวจึงมาบอกเจ้า”
ทันทีที่นางพูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็เดินเข้ามาอย่างมีชีวิตชีวา
เมื่อเห็นคุณนายใหญ่ เขาก็เอ่ยทักทายอย่างเกรงใจ “คุณนายใหญ่มาหรือ!”
ยังไม่รู้ว่าคุณนายใหญ่มาเยี่ยมสืออีเหนียง หรือว่ามาปรึกษาสืออีเหนียงเรื่องงานศพของสกุลหวัง เขาจึงมองไปที่สืออีเหนียง รู้สึกว่าสีหน้าของนางไม่ค่อยดีก็ยิ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อคืนนางนอนหหลับไม่เต็มอิ่ม หรือเพราะว่ารู้เรื่องของสกุลหวังแล้วไม่สบายใจ
สืออีเหนียงกำลังแสร้งทำเป็นป่วย ลุกไปคำนับไม่ได้ แค่เอ่ยทักทายว่า “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็บอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้และยกชาเข้ามาให้สวีลิ่งอี๋
คุณนายใหญ่เดินเข้าไปคารวะ บอกเจตนาที่ตัวเองมา “เม่ากั๋วกงมารายงานเรื่องงานศพที่ตรอกกงเสียนแล้วเจ้าค่ะ ข้ามาปรึกษากับคุณหนูสิบเอ็ด จะได้จัดเวลาไปเยี่ยมคุณหนูสิบด้วยกัน ใครจะรู้ว่านางนั้นไม่สบาย ช่างบังเอิญเสียจริง!”
เช่นนี้ สืออีเหนียงนั้นรู้ข่าวแล้ว
“ข้าก็มาเพราะเรื่องนี้” สวีลิ่งอี๋มองไปที่สืออีเหนียงด้วยความเป็นห่วง “ข้าพึ่งจะได้รับรายงานจากสกุลหวัง กำลังอยากจะปรึกษากับเจิ้นซิ่งพอดี”
คุณนายใหญ่พูดอย่างถ่อมตัว “ระยะทางห่างไกล วัฒนธรรมแตกต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้น อวี๋หังและเยี่ยนจิงห่างกันถึงขนาดนี้ รบกวนท่านโหวช่วยแนะนำพวกเราดีกว่าเจ้าค่ะ ข้ากลับไปบอกท่านพี่ก็ได้”
ทั้งสองคนปรึกษากันแล้วว่าจะไปงานศพที่สกุลหวังพรุ่งนี้ยามเฉินด้วยกัน
คุณนายใหญ่เห็นว่าปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว นางก็ลุกขึ้นเอ่ยขอตัวลา
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปนั่งข้างเตียงสืออีเหนียง “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง เรื่องของหวังหลังข้าเข้าไปยุ่งไม่ได้ แต่เรื่องของสือเหนียง ข้าจะช่วยจัดการให้”
“แผนการขึ้นอยู่กับคน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับสวรรค์!” เมื่อเทียบกับเรื่องยุ่งวุ่นวายของสกุลหวังแล้ว สืออีเหนียงเป็นห่วงความปลอดภัยของสกุลสวีมากกว่า “ท่านโหวไม่ต้องฝืนหรอกเจ้าค่ะ”
กำลังจะลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า เว่ยจื่อ สาวใช้ของไท่ฮูหยินก็เข้ามา “ท่านโหวเจ้าคะ ไท่ฮูหยินอยู่ทานข้าวที่เรือนของฮูหยินห้า บอกให้ท่านทานที่เรือนของตัวเองเถิดเจ้าค่ะ”
นับวันดูแล้ว ฮูหยินห้าก็ใกล้จะคลอดแล้ว
สืออีเหนียงพูด “ฮูหยินห้าเป็นอะไรหรือไม่”
เว่ยจื่อยิ้มแล้วพูดว่า “ปิดบังฮูหยินสี่ไม่ได้เลยจริงๆ เจ้าค่ะ ฮูหยินห้ามีการเคลื่อนไหวแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรีบเรียกหู่พั่ว “เจ้าไปดูที่เรือนของฮูหยินห้า มีเรื่องอันใดก็มารายงานข้า บอกฮูหยินห้าแทนข้าด้วยว่าข้าไม่สบายจึงไปหานางไม่ได้ อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองข้า”
หู่พั่วตอบรับแล้วเดินออกไปกับเว่ยจื่อ
ยามโฉ่วของเช้าวันต่อมา ฮูหยินห้าก็คลอดบุตรสาวออกมาอย่างราบรื่น
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็โล่งอก
หญิงโบราณคลอดลูก เท่ากับก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในประตูผี
ผ่านไปไม่นาน สวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
เขาทานอาหารเย็นเสร็จก็รีบไปที่เรือนของสวีลิ่งควน พวกเขาสองคนรอฟังข่าวอยู่ในห้องหนังสือ
“ยัยหนูคนนั้นหน้าตาสะสวยอย่างมาก ตาและจมูกเหมือนน้องสะใภ้ห้า ผมและปากเหมือนคุณชายห้า สวีลิ่งควนดีใจยิ่งนัก เพราะท่านปู่ทวดมีทายาทหญิงคนเดียว ส่วนท่านปู่ก็มีทายาทหญิงคนเดียวเช่นกัน มาถึงท่านพ่อก็ยังมีแค่ฮองเฮาที่เป็นบุตรสาวคนเดียว มาถึงรุ่นข้า ในที่สุดก็มีบุตรสาวสองคนแล้ว”
“น้องสะใภ้ห้าคลอดออากมาได้อย่างราบรื่น ท่านก็นอนหลับได้อย่างสบายใจแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินเข้าไปรับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า “พรุ่งนี้เช้าต้องไปไว้อาลัยที่จวนสกุลหวัง”
สวีลิ่งอี๋เห็นนางสวมแค่เสื้อคลุมสีขาวบางๆ เขาจึงลากนางเข้าไปในผ้าห่ม “ระวังจะเป็นหวัดเอาจริงๆ” เขาเรียกลี่ว์อวิ๋นที่เฝ้ายามมารับใช้ตัวเองล้างหน้าล้างตา กลับไปที่เตียงก็เห็นสืออีเหนียงนอนตะแคงอยู่บนเตียงแล้ว ภายใต้แสงไฟ ผมดำยาวแผ่อยู่บนหมอนสีเหลือง สีหน้าที่สงบทำให้ใบหน้าของนางเงียบสงบราวกับดอกลี่ฮวา สายตาที่อ่อนโยนทำให้ดวงตาของนางอ่อนโยนราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ใบหน้างามที่ไร้การแต่งเติมแต่กลับมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก
เขาล้มตัวลงนอนเงียบๆ รวบตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน
ความหนาวเย็นบนตัวทำให้สืออีเหนียงหดตัวเล็กลง แต่อ้อมกอดที่อบอุ่นของเขาทำให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที
นางง่วงนอนตั้งนานแล้ว แต่มัวแต่คิดถึงข่าวของฮูหยินห้า
สืออีเหนียงปรับท่านอนของตัวเอง เอียงหัวแล้วหลับตาลง
ในความมืดมิด นางสัมผัสได้ถึงจุมพิตของสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงพลันตาสว่างขึ้นมา
“ท่านโหว…”
“อืม!” เขาตอบกลับอย่างเกียจคร้านเบาๆ ลมหายใจที่แผดเผารดต้นคอของนาง “หายป่วยเเล้วหรือยัง”
สืออีเหนียงเขินอาย
เพราะเมื่อวานตนบอกว่าไม่สบาย เขาจึงล้อเลียน
“ไม่เป็นอะไรแล้วเจ้าค่ะ…” สืออีเหนียงขยับตัวอย่างไม่สบายใจ
อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขมานานแล้ว ถึงแม้ว่าเมื่อวาน…แต่พวกเขาก็ไม่เคยมีอะไรติดต่อกันถึงสองวัน…
นางพลิกตัว มุดหน้าลงกับหมอน
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะเบาๆ
สืออีเหนียงปิดหน้าตัวเองด้วยความเขินอาย ท่าทีราวกับปิดหูขโมยระฆัง[1]
สืออีเหนียงที่เป็นเช่นนี้ มีความงดงามในอีกแบบหนึ่ง
สวีลิ่งอี๋หันไปกอดนาง…
สืออีเหนียงหน้าแดงแล้วตะโกนเบาๆ “สวีลิ่งอี๋!”
“อืม”
“สวีลิ่งอี๋”
“อืม”
คำสามพยางค์นี้ราวกับประกาศิต ทำให้นางเหมือนผีเสื้อที่โผล่ออกมาจากดักแด้ กระพือปีกอันสวยงาม โบยบินอยู่ท่ามกลางป่าไม้ที่เต็มไปด้วยความหอมของดอกเกาลัดอย่างอิสระเสรี
เสียงพึมพำที่ราวกับมึนเมาถอดถอนใจอยู่ข้างหูของนาง “เจ้าช่างตัวเล็กเสียจริง”
————————–
[1]ปิดหูขโมยระฆัง เป็นสุภาษิตจีน ใช้เปรียบเทียบกับคนที่พยายามหลอกตัวเอง หรือพฤติกรรมในการพยายามปกปิดในเรื่องที่ทราบดีว่าไม่มีทางปกปิดได้สำเร็จ