ความเกลียดชังในใจของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องสนิทสนมกลมเกลียว เพราะพวกนางรู้ว่าพวกนางจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันในอนาคต อย่างไรเสีย จุดหมายปลายทางของพวกนางก็คงไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด ยิ่งพวกนางสนิทสนมกันมากเพียงใด พวกนางก็จะยิ่งส่งเสริมกันมากขึ้นเท่านั้น
แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเฮ่อเหลียนเหมยได้กลายเป็นความอัปยศของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ไปเสียแล้ว นางเป็นหญิงที่ยังไม่แต่งงาน แต่กลับให้สัจจะสาบานว่าจะแต่งงานกับชายที่พ่อแม่ของตนไม่ยอมรับ อีกทั้งตระกูลที่นางจะแต่งเข้าไปก็ยังมีฐานะทางครอบครัวแบบนั้นอีก ไม่รู้ว่าในอนาคต อีกฝ่ายจะมาขอร้องให้นางช่วยเรื่องอะไรบ้าง
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ มีเพียงความคิดเดียวอยู่ในหัว และไม่ได้พยายามที่จะหยุดยั้งมันเอาไว้เลยด้วยซ้ำ นางมองเฮ่อเหลียนเหมยดื่มชาผสมยาพิษเข้าไป
อย่างไรเสียพิษนี้ก็ไม่ได้สังหารนาง มันเพียงแค่กดพลังปราณของนางเอาไว้เท่านั้น
ยาพิษขนานแท้นั้นไม่สามารถนำเข้ามาภายในหอเฟิ่งหวงได้ ต่อให้มีแผนการที่รัดกุมเพียงใด สุดท้ายก็ต้องล้มเหลว
ดังนั้นคนเหล่านั้นถึงได้สลับยาพิษกับผงสลายพลังที่ไร้สีไร้กลิ่นแทน
ผงสลายพลังชนิดนี้จะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาในตอนแรก อีกทั้งยังตรวจไม่พบในน้ำชาอีกด้วย
มันออกฤทธิ์ช้ามาก แต่เมื่อแทรกซึมเข้าไปได้สำเร็จ มันก็จะลุกลามเข้าไปทั่วร่างของผู้ถูกพิษ!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก้มหน้า แล้วเดินช้าๆ ไปยังจุดพักผ่อน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันในรอบ5ถัดไป
ตามแผนการของเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาไม่คิดที่จะสังหารอดีตฮ่องเต้โดยตรง เพราะหากมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ชายหนุ่มที่เป็นดั่งเทพเซียนคนนั้นจะต้องสืบสวนเรื่องนี้โดยละเอียดอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ใช่แค่เหล่าผู้อาวุโสที่จะต้องรู้สึกยุ่งยากใจ แต่การแต่งงานของนางก็จะพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
ในเวลานี้ เหล่าผู้อาวุโสกำลังพยายามทำให้อดีตฮ่องเต้ถูกควบคุมตัวอยู่แต่ในวัง หรือไม่ก็ส่งตัวปลอมเข้าไปยึดครองบัลลังก์ทำให้เขาไม่สามารถมีปากเสียงได้อีกต่อไป
ไม่ว่าจะทางใด มันก็จะต้องทำอย่างเป็นความลับทั้งสิ้น…
ผู้คนที่หอเฟิ่งหวงกลับยังไม่ได้รู้ถึงแผนการชั่วร้ายราวกับเมฆหมอกอันดำมืดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งลานประลองหลักของการประลองยุทธ์เลยด้วยซ้ำ
อดีตฮ่องเต้ประทับอยู่บนเก้าอี้ไม้ พร้อมกับทอดพระเนตรชมการแข่งขันเบื้องล่าง เขามองไปทางขันทีซุนที่ยืนอยู่ข้างกาย แล้วตรัสว่า ”ไปดูสิว่าเจ้าเด็กน้ำแข็งนั่นทำอะไรอยู่ เขานอนตื่นสายในวันเช่นนี้หรือ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีซุนยิ้ม และถวายถ้วยชาให้กับเขา ”นี่เป็นใบชาใหม่ของปีนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทลองชิมดูก่อนเถิด แล้วประเดี๋ยวบ่าวจะส่งคนไปถามดูพ่ะย่ะค่ะ”
อดีตฮ่องเต้ส่งเสียงในลำคอเป็นการตกลง เขาจิบชาแล้วหลับตาลง
ทันใดนั้น ห้วงอากาศที่อยู่ด้านหลังของเขาก็คล้ายมีบางอย่างผิดปกติ
สีหน้าของอดีตฮ่องเต้เปลี่ยนไปโดยพลัน เขาเบิกตากว้าง!
ปัง!
หน้าต่างไม้หลายบานปิดเข้าพร้อมกัน ปิดบังทุกการมองเห็นจากภายนอก
ขันทีซุนเงยหน้าขึ้น เขาเห็นเพียงเสื้อคลุมสีดำพุ่งผ่านไปเท่านั้น แล้วจากนั้นเขาก็ถูกตีจนหมดสติไป
อดีตฮ่องเต้มองพวกเขาด้วยสายตาเคร่งขรึม
เสนาบดีสองสามคน และบรรดาองครักษ์เงาที่ติดตามอยู่ข้างกายเขาทั้งหมดต่างก็ลุกขึ้นยืนเป็นกำแพงอยู่หน้าพระพักตร์อดีตฮ่องเต้
ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือการร้องขอความช่วยเหลือ แต่พวกเขากลับพบว่าทันทีที่ใช้พลังปราณ อาการจุกเสียดที่หน้าอกก็เกิดขึ้นทันที!
แค่ก!
เลือดทะลักออกมา
ไม่ใช่แค่บรรดาองครักษ์เงา แต่กระทั่งอดีตฮ่องเต้ที่มีพลังปราณในระดับที่ป้องกันตัวเองได้ก็ยังยกมือขึ้นกุมหน้าอกของตัวเองเอาไว้ เขาทรุดลงไปนั่งบนเก้าอี้ไม้อย่างแรง พร้อมกับมองไปยังชายชราสองคนในชุดเสื้อคลุมสีดำที่ยืนอยู่ตรงหน้า ”เจ้าช่างกล้าดีนัก!”
“ฮ่าๆๆ…”
หนึ่งในชายชราหัวเราะอย่างน่าขนลุก แล้วปลดเสื้อคลุมสีดำออก ทุกการเคลื่อนไหวของเขาทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกอึดอัด
“อดีตฮ่องเต้ของพวกเราทรงฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก สามารถกล่าวตำหนิว่าพวกข้ากล้าดีได้ ทั้งที่ยังมิทันได้ถามเลยด้วยซ้ำว่าพวกข้าเป็นใคร หรือพวกข้ามาที่นี่เพื่ออะไร”
เสนาบดีสูงวัยที่ทรุดตัวลงกับพื้นยืนขึ้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาคว้าหน้าต่างเอาไว้แน่น ”ใครก็ได้ มาที่นี่…”
ชายชราคว้าตัวเขา ก่อนจะทุ่มเขาลงกับพื้น
เสียงลั่นกร๊อบให้ได้ยินโดยทั่วกัน!
คอของเสนาบดีชราบิดเบี้ยว เขากลายเป็นศพไปเสียแล้ว
ตอนนั้นเองที่หลายคนสังเกตเห็นว่าเล็บของชายชราในเสื้อคลุมสีดำนั้นไม่เหมือนกับเล็บของคนปกติเลยแม้แต่น้อย ปลายเล็บสีดำของเขาทำให้คนที่เห็นรู้สึกหนาวสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
องครักษ์เงาคิดจะใช้กำลังภายในของตน แต่พวกเขาก็พบว่ายิ่งพวกเขาได้รับบาดเจ็บมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งสูญเสียพลังปราณไปมากขึ้นเท่านั้น!
“อย่าเสียเวลาเลย ปีศาจเฒ่า จัดการพวกมันทุกคนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เสีย” ชายชราภายใต้เสื้อคลุมสีดำอีกคนเดินเข้ามา เขาถืออาวุธไว้ในมือ แล้วก้มลงมองอดีตฮ่องเต้ บรรยากาศชั่วร้ายแต้มอยู่บนมุมปากของเขา
อดีตฮ่องเต้คู่ควรกับสมญานามของตน ในเวลาเช่นนี้ เขาไม่ได้ตื่นตระหนกแม้จะเผชิญกับอันตรายอยู่ก็ตาม ”ถ้าเจ้าฆ่าข้า เจ้าก็หนีไปไหนไม่ได้เหมือนกัน”
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวดังขึ้นอีกระลอก ”พวกข้าไม่เคยคิดที่จะฆ่าท่าน พวกข้าเพียงต้องการสลับตัวท่านเท่านั้น”
ระหว่างที่พูดเช่นนี้ แขนเสื้อยาวของชายชราก็กระเพื่อมเป็นคลื่น จากนั้นร่างหลายร่างก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา
รูปร่างของคนพวกนั้นมีความคล้ายคลึงกับบรรดาเสนาบดีที่เดินทางมากับอดีตฮ่องเต้
พวกเขาหาได้แม้กระทั่งร่างที่เหมือนกับขันทีซุนที่คอยรับใช้อดีตฮ่องเต้เลยทีเดียว
ร่างพวกนั้นถือหน้ากากหนังมนุษย์อยู่ในมือ
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายต้องการสังหารทุกคนที่นี่ จากนั้นก็… สลับตัวกับพวกเขา!
ปัง!
ด้านนอกหน้าต่าง เสียงลั่นกลองดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง!
อย่างที่ชายชราพูด บรรดาผู้ฝึกปราณต่างก็กำลังง่วนอยู่กับการแข่งขัน ดังนั้นจึงไม่มีใครหันกลับมาสนใจพวกเขาแม้แต่คนเดียว
ต่อให้มีใครบางคนเห็นพวกเขา เขาก็จะคิดว่าอดีตฮ่องเต้กำลังพักผ่อนอยู่ หรือไม่ก็กำลังปรึกษาหารือเรื่องสำคัญกับบรรดาเสนาบดีของตน
มิหนำซ้ำที่นี่ก็ไม่ได้มีเสียงการต่อสู้เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจ…
เมฆครึ้มปกคลุมผืนฟ้ายิ่งกว่าที่เคย หมู่เมฆเคลื่อนไหวขึ้นลงราวกับคลื่นน้ำ
ภายในถ้ำ เฮ่อเหลียนเวยเวยมองสัญลักษณ์ที่นางสลักเอาไว้ก่อนหน้านี้ คิ้วเรียวเหมือนใบหลิวของนางขมวดมุ่น
คนที่ไม่รู้คงนึกว่าพวกนางเจอผี และเดินวนเป็นวงกลม
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความแปลกประหลาดของที่นี่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันไม่ให้คนที่เข้ามาออกไปได้ง่ายๆ
“ที่นี่มีบางอย่างรแปลกๆ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหยุดฝีเท้าลง ใบหน้าเล็กๆ ดูเกียจคร้านของนางปรากฏความระแวดระวังที่ไม่เคยเผยให้ใครเห็นมาก่อน
ชายชราคนนั้นไม่ได้บอกว่าจะมีเรื่องประหลาดอันใดอยู่ที่บริเวณทางออก
ดูเหมือนว่าเรื่องแปลกประหลาดที่ว่านี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเอาตอนหลังนี่เอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองด้านซ้ายของผนัง แล้วอาศัยแสงสว่างยามเช้าในการสังเกตพวกมัน
นั่นมัน… ศพหรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็หยุดเดินเช่นกัน ไม่ใช่เพราะว่าเขามองเห็นอะไร ดวงตาของเขายังคงมีผ้าสีขาวบังเอาไว้ แต่เป็นเพราะกลิ่นของซากศพที่อบอวลอยู่รอบกายต่างหากที่ทำให้เขาขมวดคิ้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้าไป โดยไม่ได้เข้าไปใกล้กับซากศพคนตายนั้นมากจนเกินไปนัก แต่นั่งยองๆ อยู่บนพื้น ”ดูเหมือนตรงนี้จะมีภาพวาดอะไรสักอย่างถูกแกะสลักเอาไว้” นางว่า
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว แล้วก้มลงมองเฮ่อเหลียนเวยเวย สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป่าฝุ่นที่อยู่บนพื้น เป็นจริงดังว่า บนพื้นหินอ่อนนั้นมีภาพภาพหนึ่งถูกวาดเอาไว้ ภาพนั้นเป็นภาพที่มีชื่อเสียงจากพระสูตร เป็นภาพในตอนที่พระพุทธเจ้าเฉือนเนื้อของตนให้นกอินทรีกิน
เพียงแต่เนื้อที่อยู่ในภาพนี้ดูจะโชกเลือดมากกว่าก็เท่านั้น
เพราะเวลาที่กดลงไปบนภาพจะมีร่องรอยเล็กๆ ของเลือดซึมขึ้นมา
ใต้ภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้น มีข้อความหนึ่งถูกสลักเอาไว้ว่า ”หากข้ามิไปนรก แล้วผู้ใดเล่าจักได้ไป”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจ้องมองร่องรอยอาบเลือดนั้น ดวงตาของนางหรี่ลง ทันใดนั้นนางก็ใช้มีดสั้นกรีดลงบนฝ่ามือของตัวเอง หยดเลือดรินไหลออกมาจากฝ่ามือของนาง เลือดหยดแล้วหยดเล่าหยดลงไปบนภาพวาดเปื้อนเลือดนั้น