ทั้งตำหนักหลักและตำหนักด้านข้างล้วนเย็นยะเยือกดุจดั่งคลังน้ำแข็ง
แม้แต่องค์ชายห้าผู้ไม่มีความรู้ยังรู้ว่าสิ่งที่เฉินตันจูพูดนั้นช่างน่ากลัวเพียงใด กระทบวงกว้างเพียงใด เขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก สายตาจับจ้องไปยังองค์ชายสาม เรื่องนี้พี่สามเป็นผู้มอบหมาย? องค์ชายสามเสียสติไปแล้วหรือ
องค์ชายสามสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาของเขาฉายแววกังวล
ทางด้านนี้เงียบสงัด แต่ภายในตำหนักด้านข้าง ใบหน้าของฮ่องเต้ดำทะมึนดุจดั่งก้นหม้อแล้ว
“เฉินตันจู!” ฮ่องเต้ไม่ได้ตะโกน หากแต่พูดอย่างสงบ “เจ้าต้องการให้ข้าเรียกคนมาลากเจ้าออกไปหรือ”
“ฝ่าบาท!” เฉินตันจูคุกเข่าเคลื่อนตัวไปข้างหน้า “หม่อมฉันไม่ได้ต้องการเห็นคนเช่นจางเหยาที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมด ถูกฝ่าบาทมองเห็นเพราะการก่อกวนของหม่อมฉัน ขอให้ฝ่าบาทผลักดันการประลองในครานี้ ให้บัณฑิตสามัญชนทั่วทั้งแผ่นดินล้วนมีโอกาสได้แสดงความสามารถ ขอพระองค์ทรงโปรดให้โลกบัณฑิตได้รับการแนะนำให้รู้จักกับพระองค์ โดยไม่ต้องอาศัยภูมิหลังทางครอบครัว บัณฑิตชนชั้นสูงไม่ว่าจะดีหรือเลวเพียงใด ก็สามารถเป็นขุนนางได้ แต่บัณฑิตสามัญชนไม่อาจถวายความสามารถและการเรียนรู้ของตนเพื่อฝ่าบาท หม่อมฉันทูลขอพระองค์ให้ทรงใช้กลวิธีในการรับสมัครผู้มีความสามารถ ให้โอกาสบัณฑิตสามัญชนได้อุทิศความสามารถของตนเพื่อฝ่าบาท อย่าให้พวกเขาตกไปอยู่ในมือของขุนนางและตระกูลชั้นสูง”
ฮ่องเต้ตรัส “ผู้ใดก็ได้”
องครักษ์ด้านนอกตำหนักหลั่งไหลเข้ามา
“ลากนางออกไป” ฮ่องเต้ตรัส
เหล่าองครักษ์เดินขึ้นหน้า จู๋หลินที่ถือตัวเป็นองครักษ์หลวงยืนอยู่หน้าประตูก็รีบพุ่งเข้ามา ขวางไว้ด้านหน้าของเฉินตันจู แต่ยังไม่ทันทำหน้าที่ห้ามปราม ก็ถูกเฉินตันจูเตะขาให้คุกเข่า เขาล้มคุกเข่าลงข้างหนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว
ฮ่องเต้เห็นเขา จึงตะโกน “ลากจู๋หลินออกไปด้วย!”
เฉินตันจูไม่ได้ดิ้นรน นางถูกองครักษ์สองคนขนาบซ้ายขวาลากถอยหลังไป แต่ยังคงตะโกน “ฝ่าบาท เหตุใดเหล่าท่านอ๋องจึงรุ่งเรืองและมีอำนาจอันยิ่งใหญ่ได้ เพราะพวกเขารวบรวมและกอบกุมผู้มีความสามารถอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ฝ่าบาท หากพระองค์ยังคงยึดติดกฎเดิม แม้ว่าเหล่าท่านอ๋องจะถูกกำจัดไปแล้ว แต่แผ่นดินยังคงวุ่นวายเพคะ!”
ขันทีจิ้นจงเห็นสีหน้าฮ่องเต้ เขาโบกมือให้องครักษ์เป็นการเร่งเร้า เฉินตันจูถูกลากออกจากตำหนักอย่างรวดเร็ว ประตูก็ปิดเพื่อปิดกั้นเสียงของหญิงสาวผู้นั้น
ฮ่องเต้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรด้วยสีหน้าดำทะมึน ขันทีจิ้นจงที่รับใช้มานานหลายปีก็ไม่กล้าส่งเสียงรบกวนในเวลานี้ จนกระทั่งฮ่องเต้ลุกขึ้นและเดินจากไป
เขาไม่ได้กลับไปที่ตำหนักใหญ่อีก อีกทั้งไม่ได้บอกว่าเหล่าองค์ชายต้องทำอย่างไร เหล่าองค์ชายเงียบเป็นเวลาชั่วครู่ ต่างคนต่างมองหน้า…
“ยังกินอยู่หรือไม่” องค์ชายสี่ถามขึ้นทันใด
ประโยคเดียวทำลายบรรยากาศที่ชะงักไป เสียงโต๊ะกระทบกันดังขึ้น องค์ชายห้าลุกขึ้นก่อน “กินอันใดอีก!” เขาพุ่งตรงไปหาองค์ชายสาม ตะโกนเรียก “พี่สาม เฉินตันจูทำเช่นนี้ ท่านรู้หรือไม่”
เขาไม่ถามว่าองค์ชายสามเป็นคนพูดเรื่องนี้หรือไม่ เพราะเขารู้ว่าถึงแม้องค์ชายสามจะเสียสติ แต่เขาก็ไม่พูดสิ่งที่บ้าคลั่งเช่นนี้ออกมา ฟังคำพูดเหล่านั้นคือสิ่งใด ยกเลิกการแนะนำและกำหนดตำแหน่ง ไม่สนใจชนชั้น ใช้ความสามารถในการคัดเลือก…
ก่อนหน้านี้ทะเลาะกับเหล่าคุณหนูในตระกูลชั้นสูง ไม่ให้แย่งชิงจวน อันที่จริงสิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญนัก ก็แค่ความเหิมเกริมเท่านั้น
แต่เวลานี้นางกำลังจะขุดรากฐานของชนชั้นสูง
ชนชั้นสูงทั่วทั้งแผ่นดินคงต้องฉีกนางกินทั้งเป็น!
องค์ชายสามส่ายหัวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ข้าไม่รู้ บางทีข้าอาจยังไม่ใช่สหายที่นางจะพูดเรื่องเช่นนี้ด้วยได้”
ยังทำท่าเศร้าโศกอีก องค์ชายห้าไม่อยากเยาะเย้ย จึงเอ่ยเตือน “อยู่ให้ห่างจากคนเสียสติผู้นี้เถิด”
หลังจากถูกองครักษ์หลวงลากออกจากตำหนักใหญ่แล้ว เฉินตันจูก็ไม่ดิ้นรนอีก เหล่าองครักษ์ไม่ได้ลงมืออีก เพียงแค่ล้อมพวกนางเอาไว้ ก่อนจะส่งออกจากประตูวังเท่านั้น
อาเถียนที่ยืนรออยู่นอกประตูวังเห็นเฉินตันจูและจู๋หลินถูกองครักษ์หลวงคุมตัวออกมา ก็ตกใจอย่างมาก
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ” นางถามเสียงเบาพลางมององครักษ์หลวงที่กำลังจับตาดูเฉินตันจูอย่างตักเตือนอยู่นอกประตูพระราชวัง “ฝ่าบาทไม่ทรงรั้งให้ท่านกินข้าว อีกทั้งยังทรงขับไล่ท่านออกมา?”
ยังคิดเรื่องกินอีก! จู๋หลินที่ยืนอยู่ด้านข้างหมดแรงกลอกตา เกรงว่าต่อจากนี้จะไม่มีข้าวกินแล้ว!
เฉินตันจูยิ้มและตบไหล่อาเถียนเบาๆ โบกมือให้ขึ้นรถก่อน อาเถียนเห็นว่ามีเรื่องผิดปกติ จึงรีบพยุงเฉินตันจูขึ้นรถ จากนั้นมองไปยังสีหน้าของจู๋หลิน เอื้อมมือออกไปพยุงเขาอย่างระมัดระวัง…
จู๋หลินยกมืออุ้มนางขึ้นรถ ยัดนางเข้าไปในรถ ตนเองนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าสะบัดแส้เร่งม้า เคลื่อนตัวกลับไปยังอารามดอกท้ออย่างรวดเร็ว
จู๋หลินทิ้งรถม้า ไม่แม้แต่จะอารักขาเฉินตันจูขึ้นเขา ทันใดนั้นหายเข้าไปท่ามกลางป่าไม้
“เกิดสิ่งใดขึ้นกับจู๋หลินเจ้าคะ” อาเถียนถาม “ถูกลงโทษในพระราชวังหรือ?”
ก่อนเขาจะถูกเฆี่ยนตี นางได้เตะเขาล่วงหน้าเป็นการห้ามปรามเอาไว้แล้ว เฉินตันจูพูด “อาจเพราะตกใจกลัว”
อาเถียนขมวดคิ้ว “คุณหนูยังไม่กลัว”
นางไม่กลัวเพราะนางมีชีวิตอยู่มาก่อนหนึ่งชาติแล้ว รู้ว่าสิ่งที่ตนเองพูดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดน่ากลัว
ถึงแม้เวลานี้ ภายในใจของฮ่องเต้ยังไม่มั่นใจ แต่ย่อมต้องมีจินตนาการที่คลุมเครือ เมื่ออดีตชาติ เนื่องจากตำราการจัดการน้ำโด่งดังขึ้นหลังจากการตายของจางเหยา กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ฮ่องเต้มีความมุ่งมั่นในเรื่องนี้ ชาตินี้เนื่องจากการแทรกแซงของนาง ทำให้จางเหยาได้เปลี่ยนชะตาชีวิตของตนเอง จึงทำให้ไม่มีแรงกระตุ้นฮ่องเต้เหมือนเมื่ออดีตชาติ
หากด้วยเหตุนี้ ทำให้บัณฑิตสามัญชนทั่วทั้งแผ่นดินสูญเสียโอกาสที่จะเปลี่ยนชีวิต บาปของเฉินตันจูจะยิ่งใหญ่เกินไป
ดังนั้นนางจึงต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ฮ่องเต้ ถึงแม้จะตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ก็ตาม เฉินตันจูก้าวเท้าเดินขึ้นไปบนภูเขาเข้าไปในอาราม
“คุณหนู กลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” อิงกูถาม “กินข้าวแล้วหรือไม่เจ้าคะ”
อาเถียนถอนหายใจ “ยังเลย ยังไม่ได้กินก็ถูกฝ่าบาทไล่ออกมา”
อิงกูฟังไม่เข้าใจแม้แต่น้อย ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพราะโดนฝ่าบาทขับไล่ออกมา แต่ดูท่าทางของเฉินตันจูกับอาเถียนเหมือนจะไม่มีสิ่งใดน่ากลัว เอาเถิด นางโยนทิ้งไปไม่คิด ทำเรื่องของตนเองก็พอ
นายบ่าวทั้งสองทานอาหารอย่างสงบ ส่วนทางจู๋หลินทั้งโกรธทั้งเศร้าเขียนจดหมายถึงแม่ทัพหน้ากากเหล็ก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดเขาต้องโกรธ โกรธเฉินตันจูที่นับวันยิ่งบ้าคลั่ง ก่อเรื่องที่จะถูกฮ่องเต้ตีตาย หรือว่าโกรธที่เฉินตันจูเตะตนเองไม่ให้เขาคุ้มกัน…ดังนั้นสุดท้ายจู๋หลินหลงเหลือเพียงเสียใจเท่านั้น
เขารู้สึกว่าครั้งนี้เขาอดทนต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ
ระยะเวลาเพียงครึ่งวัน สิ่งที่คุณหนูตันจูกระทำ ทำให้เขามีความคิดพลิกกลับด้านอย่างต่อเนื่อง
ก่อนหน้านี้ นางยังบอกลาจางเหยาอย่างอาลัยอาวรณ์ มองส่งด้วยสายตาเป็นเวลานาน โดดเดี่ยวและน่าสงสาร แต่หลังจากนั้นก็วิ่งไปพบกับองค์ชายสาม ทั้งกินทั้งหัวเราะทั้งพูดเช่นนั้นพูดเช่นนี้อยู่ในวัดถิงอวิ๋น...คำพูดเหล่านั้น ลูกสมุนอย่างเขายังอับอายที่จะฟังจนจบ โดยรวมแล้วคือเจ้าชอบข้าชอบทำนองนี้ ท่านแม่ทัพมาสัมผัสด้วยตนเองเถิด
ยังไม่พอ หลังจากนางแยกทางกับองค์ชายสาม นางก็วิ่งไปหาโจวเสวียน ปีนกำแพงจวนของผู้อื่น พูดจายั่วยวนและแปลกประหลาดอย่างข้าขอบคุณเจ้า
เฮ้อ ข้าคิดว่าหลังจากพบชายทั้งสามในเวลาครึ่งวันจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่นางยังวิ่งไปที่พระราชวังวังเพื่อไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท อีกทั้งยังคิดว่าจะขอให้ฮ่องเต้พระราชทานอาหาร…
สุดท้าย…การกระทำของนางไม่ใช่ให้ฮ่องเต้พระราชทานอาหาร แต่พระราชทานโทษประหารเสียมากกว่า
จู๋หลินยืนอยู่นอกตำหนักในเวลานั้น เริ่มแรกไม่ได้ยินสิ่งที่เฉินตันจูพูด แต่ต่อมาเฉินตันจูตะโกนเสียงดัง เขาที่ไม่เคยเรียนหนังสือยังรู้ว่าสิ่งที่เฉินตันจูพูดหมายความว่าอย่างไร เขาพยามยามควบคุมพู่กันที่สั่นเทาเขียนประโยคนั้นลงมา
ดังนั้น ท่านแม่ทัพ ข้าไม่กลัวตาย แต่ตายก็ไม่อาจคุ้มกันนางได้ ท่านแม่ทัพ ก่อนที่ฮ่องเต้และคนอื่นจะประหารคุณหนูตันจู ขอให้คุณหนูตันจูออกจากเมืองหลวงเถิด
ส่งนางไปอยู่กับตระกูลของนางที่เมืองซีจิง...ไม่ได้ ในเมืองซีจิงไม่มีฮ่องเต้ เฉินตันจูย่อมต้องเหิมเกริมยิ่งขึ้น
ส่งไปอยู่ข้างตัวท่านแม่ทัพเสียดีกว่า ขอให้ท่านแม่ทัพจับตาดูคุณหนูตันจูเอาไว้เถิด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคุณหนูตันจูจะทะลวงฟ้าเอาเสียแล้ว