หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 877 รับมือไม่ง่ายเลย!

บทที่ 877 รับมือไม่ง่ายเลย!

ฝ่ายหวังเป่าเล่อนั้นรีบถอยทันทีที่กองทหารเคลื่อนพล ผู้ที่ถอยออกมาด้วยมีพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำพร้อมผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลายสิบคนจากทั้งสองสำนัก

เมื่อกองทัพหลักเคลื่อนไปข้างหน้า กลุ่มของหวังเป่าเล่อก็ถอยกลับ ทั้งสองกลุ่มเคลื่อนที่แยกออกจากกัน ขณะที่กำลังหลักของสองสำนักเคลื่อนที่ห่างออกไป พ่อบ้าน ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็มายืนเรียงกันหน้าหวังเป่าเล่อ เมื่อพวกเขาสบตากัน ทุกคนก็ประสานมือค้อมศีรษะคำนับชายหนุ่ม

พวกเขารู้แผนมาบ้างแล้วอย่างลับๆ แต่ยังไม่รู้รายละเอียด รู้เพียงว่าหลงหนานจื่อเป็นผู้นำปฏิบัติการในครั้งนี้ และพวกเขาจะต้องรับฟังคำสั่งของชายหนุ่มทุกประการ

เมื่อเห็นว่าทุกคนจ้องมองมาทางตน หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงแต่ไม่ได้พูดอะไร กลับกัน ชายหนุ่มแผ่ดวงจิตเทพออกไปจับหาทิศทางของกองทัพหลัก และเพราะเขาไม่ได้พูดอะไร คนอื่นๆ ก็เลยนิ่งเงียบอยู่เช่นกัน หลังจากที่เฝ้ารออย่างเงียบงันมากว่าชั่วโมง คลื่นพลังระดับดาวพระเคราะห์ก็กระจายออกมาจากสนามรบที่อยู่ห่างออกไป หวังเป่าเล่อจับสัญญาณนั้นได้ทันที

แต่กระทั่งตอนนั้น ชายหนุ่มก็ยังไม่ขยับ หวังเป่าเล่อรอจนร่างอวตารดวงจิตเทพที่เขาส่งไปแฝงตัวกับกองทัพหลักเห็นทัพสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และทั้งสองทัพเข้าปะทะกันเสียก่อน เมื่อเห็นประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายขวาแล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงแล้วค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายไม่อยู่ที่นั่น…นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย แต่เขาไม่ได้กลัวผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่สูญเสียกายเนื้อไปแล้วแต่อย่างใด ชายหนุ่มออกคำสั่งอย่างใจเย็น

“พวกเจ้าทุกคน ตามข้ามา!” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็สะบัดกายพุ่งตรงไปยังดารานิรันดร์ในอีกตำแหน่งหนึ่ง ตำแหน่งนั้นเป็นพิกัดที่ราชวงศ์ได้ทำการติดต่อกับอารยธรรมครามทองคำตามการคาดการณ์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ขณะที่ชายหนุ่มเร่งความเร็วเข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ขึ้นทุกที เขาก็รู้สึกถึงรัศมีควบแน่นซึ่งปะปนไปด้วยคลื่นรบกวนของสายเลือดราชวงศ์อยู่ที่นั่น!

รัศมีนั้นเข้มข้นมากและทำหน้าที่ราวกับเป็นเข็มทิศ มันช่วยให้หวังเป่าเล่อรู้พิกัดที่แน่นอนของศัตรู แต่ชายหนุ่มก็อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ ว่าเหตุใด…ทุกอย่างจึงได้ดูราบรื่นไปหมดเช่นนี้

ข้ายังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ หวังเป่าเล่อกะพริบตา แล้วจู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นโครมคราม ก่อนจะเรียกใช้วิชาดวงเนตรปีศาจเพื่อดูว่ามันมีผลใดๆ ต่อดวงเนตรของดารานิรันดร์บ้างหรือไม่ แต่ดารานิรันดร์ที่แสนยิ่งใหญ่ตรงหน้าก็ไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด

หรือว่าข้าจะเดาผิด ข้าไม่มีสิทธิ์ควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์หรือนี่ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดและระวังตัวมากขึ้น เขาก็ลดความเร็วลงเล็กน้อย ชายหนุ่มเข้าใกล้ดารานิรันดร์มากขึ้นทุกที และเมื่อเขามองเห็นสนามรบจากอีกด้านหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกถึงความร้อนรุนแรงบนใบหน้า เขาใกล้จะถึงบริเวณขอบนอกของดารานิรันดร์แล้ว อันที่จริง หากมองจากที่ไกลๆ มันดูเหมือนเป็นแผ่นดินผืนใหญ่ที่ปักอยู่บนดารานิรันดร์!

แม้ว่าผืนแผ่นดินนั้นจะดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับขนาดของดารานิรันดร์ แต่มันดูเหมือนว่าทำมาจากวัสดุพิเศษที่สามารถทนความร้อนแรงซึ่งแผ่ออกมาจากดารานิรันดร์ได้ และขณะที่หวังเป่าเล่อขยับเข้าไปใกล้และเดินพลังปราณไปยังดวงตา ชายหนุ่มก็มองเห็นผู้ฝึกตนจำนวนมากรายล้อมเหออวิ๋นจื่อและอีกสองคนอยู่ คล้ายว่าพวกเขากำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่าง

ในขณะเดียวกัน เมื่อหวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นมองดารานิรันดร์ขนาดยักษ์ที่น่าเกรงขาม และได้เห็นรัศมีหนาแน่นจนเหมือนควันซึ่งกระจายตัวออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพอยู่ในใจ

ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของดารานิรันดร์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด หนังสือหลายเล่มในนิมิตมืดและจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลช่วยให้หวังเป่าเล่อเข้าใจหลายๆ อย่างมากขึ้นแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม

ตัวอย่างเช่น…รอบนอกดารานิรันดร์มีพลังธรรมชาติปกคลุมอยู่ ราวกับเป็นเปลือกหุ้มที่มองไม่เห็น เมื่อจะเข้าไปและออกมา ก็จำเป็นต้องหาจุดอ่อนเพื่อผ่านเข้าออก หากหาไม่พบ…การเหาะไปมาผ่านอากาศเพื่อเสาะหาจุดอ่อนก็ไม่ต่างอะไรกับการเหาะไปโดยมีกระบี่แหลมคมที่พร้อมจะหล่นใส่ศีรษะอยู่ทุกเมื่อ

แน่นอนว่าคงไม่เป็นอะไรนักหากอยู่แค่ภายนอกเช่นเดียวกับแผ่นดินผืนนั้น ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่หวังเป่าเล่อได้รับมาก่อนหน้านี้ก็อยู่แค่ภายนอกเช่นกัน

หลังจากที่ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในใจ หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงขณะที่มองขึ้นไปยังผืนแผ่นดินนั้นอีกครั้ง เมื่อเขามองเห็นราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ พวกนั้นก็มองเห็นหวังเป่าเล่อเช่นกัน มีความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในฝูงชน ราวกับว่าพวกเขาตื่นตกใจที่มองเห็นหวังเป่าเล่อกระนั้น

ทุกๆ อย่างมองเผินๆ ก็ดูเรียบร้อยดี แต่ความสงสัยในเจตนาที่แท้จริงของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจ ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนจะตะโกนออกมา “ขั้นเชื่อมวิญญาณลงไปก่อน บุกเข้าไปเลย!”

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสิบกว่าคนไม่กล้าขัดคำสั่งชายหนุ่ม จึงทำได้เพียงกัดฟันก่อนจะพุ่งลงไป พวกเขาจุติลงไปเมื่อเข้าไปใกล้ผืนดินผืนนั้น มีคาถารบกวนแผ่ออกมาจากผืนดินทันที เกิดเสียงกระหึ่มดังสนั่น ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รีบออกมารับมือพร้อมเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายอีกสององค์

ภาพนี้ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมดาแต่อย่างใด แน่นอนว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องทิ้งกำลังไว้ป้องกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็สะท้อนประกายเยือกเย็น

“ขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหมด ไปได้!”

พ่อบ้าน ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำมองหน้ากันก่อนจะกระจายตัวกันออกไป เมื่อใกล้ถึงพื้น พวกเขาก็พากันพุ่งเข้าต่อสู้ทันที บรรยากาศในสนามรบเริ่มคุกรุ่นขึ้น มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นอยู่ไม่ขาด ผู้ฝึกตนของราชวงศ์ไม่ได้มีระดับปราณสูงนัก ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตายพุ่งสูงขึ้นในทันใด ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงคำรามต่ำดังขึ้น และร่างเงาของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ปรากฏขึ้นบนผืนดินผืนนั้น ชายชราเหลือบมามองหวังเป่าเล่อที่อยู่บนอวกาศด้วยสายตาโกรธแค้น ก่อนจะโจมตีทันที

แม้ว่าเขาจะประกอบกายเนื้อขึ้นมาใหม่ ทว่าระดับปราณที่ร่วงลงไปนั้นไม่อาจกอบกู้ได้ แต่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้ว พลังกายของชายชราก็ยังเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปอยู่ดี การโจมตีของเขาเพียงครั้งเดียวก็ทำให้สถานการณ์การรบกลับมาสูสีอีกครั้ง ดูเหมือนว่าฝ่ายของหวังเป่าเล่อจะเสียเปรียบเสียด้วยซ้ำ

แม้แต่ร่างอวตารที่หวังเป่าเล่อทิ้งไว้กับกองทัพหลักก็ยังหวาดวิตกเมื่อสัมผัสได้ว่าประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายขวากำลังต่อสู้อยู่ มันนำผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งวิ่งหนีออกมาจากสนามรบราวกับเพิ่งได้รับข้อมูลใหม่มา

ไม่ควรจะมีปัญหาอีกแล้วนะ! หวังเป่าเล่อรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจทิ้งโอกาสในมือตอนนี้ได้ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ชายหนุ่มเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจนั้นเอาไว้และพลิกกายมุ่งหน้าลงไปยังผืนดินบนดารานิรันดร์!

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะปฏิบัติตามแผนด้วยความเหี้ยมโหด แต่ก็ยังเป็นคนที่ระแวดระวังอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์มาหลากหลาย ชายหนุ่มเชื่อในสัญชาตญาณของตนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจรางๆ ที่มีก่อนหน้านี้ เขาจึงส่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเข้าไปก่อน ตามด้วยขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองกลับไม่เข้าไปใกล้นัก

วิธีนี้ดูจะเห็นแก่ตัวอยู่สักหน่อย แต่ก็สะท้อนความเป็นจริงของโลกแห่งการฝึกปราณได้อย่างดี หวังเป่าเล่อคิดว่าเหตุผลที่ทุกคนฝึกปราณ ก็เพื่อจะสามารถควบคุมชีวิตของตนไม่ให้ได้รับผลกระทบหรือถูกควบคุมโดยคนอื่น

ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องผิด จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุการณ์ประหลาดใดๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ หลังจากที่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณและจิตวิญญาณอมตะจุติลงไปแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยถอนใจอย่างโล่งอก แต่ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนั้น และถึงแม้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง แต่ชายหนุ่มกลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเมื่อเข้ามาใกล้รัศมีของผืนแผ่นดินบนดารานิรันดร์ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก และส่งหุ่นเชิดจิตวิญญาณอมตะสองตัวลงไปเริ่มสังหาร

และเพื่อจะทำให้ทุกอย่างสมจริงยิ่งขึ้น หวังเป่าเล่อถึงกับสร้างร่างอวตารของตนขึ้นมาโดยใช้สารัตถะส่วนหนึ่ง แล้วควบคุมมันให้เข้าไปยังดารานิรันดร์เพื่อร่วมโจมตีพร้อมคนอื่นๆ

สิ่งนี้เป็นการทดสอบของหวังเป่าเล่อ จากนั้นนัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนท่าทีไปอย่างมากจนสายตาแสดงอาการตื่นตระหนกและส่งเสียงคำรามลั่นออกมา

“ทุกคนถอยเดี๋ยวนี้ มันเป็นกับดัก!” เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ ร่างของเขาก็พลันถอยหนี ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนว่าชายหนุ่มค้นพบอะไรบางอย่างและต้องการหนีโดยเร็วที่สุด

หวังเป่าเล่อถึงกับยอมรับความเจ็บปวดโดยให้ร่างอวตารทำลายตัวเองเพื่อชะลอการติดตาม

ทว่าดวงจิตเทพของเขานั้นไปจับอยู่ที่เหออวิ๋นจื่อ องค์ชายทั้งสอง และผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่สูญเสียระดับปราณไป ชายหนุ่มจับตามองความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของคนเหล่านั้นขณะที่ล่าถอยออกมาไกลหลายร้อยเมตร แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใดๆ กลับกัน หวังเป่าเล่อเห็นพวกนั้นมีอาการตกตะลึง และเมื่อคนเหล่านั้นไม่ได้พยายามหยุดไม่ให้พ่อบ้านและคนอื่นๆ ถอยหนีตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ความวิตกกังวลหยาดสุดท้ายที่อยู่ในใจของชายหนุ่มก็จางหายไป

“ข้าคงคิดมากไปเอง รีบไปจบการต่อสู้โดยเร็วเถิด” นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเยือกเย็น ก่อนที่เขาจะหัวเราะลั่นออกมา ร่างกายของชายหนุ่มกลายเป็นภาพติดตาเมื่อเขาพุ่งเข้าไปที่แผ่นดินนอกดารานิรันดร์เต็มความเร็ว

ทันทีที่เขาก้าวเข้ามา ดวงจิตเทพก็ไปจับอยู่ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที หวังเป่าเล่อกำลังจะโจมตีเมื่อรอยยิ้มประหลาดปรากฎขึ้นที่มุมปากของชายชรา องค์ชายทั้งสองแห่งราชวงศ์ดูกังวล ทว่าเหออวิ๋นจื่อกลับมีรอยยิ้มประหลาดฉาบทาอยู่บนใบหน้า

รอยยิ้มของทั้งสองทำเอาหวังเป่าเล่อขนหัวลุก นัยน์ตาของชายหนุ่มหรี่เล็กลงทันที!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท