สืออีเหนียงไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฮูหยินห้า นางกำลังปรึกษากับหู่พั่วเกี่ยวกับเรื่องในเรือนของตัวเอง
“…ให้ลี่ว์อวิ๋นมาแทนตงชิงชั่วคราว เยี่ยนหรงมาแทนลี่ว์อวิ๋นชั่วคราว เช่นนี้ จะได้ปลอบใจคนของพี่หญิงใหญ่ ให้พวกนางรู้ว่า การทำงานไม่แบ่งแยกสถานะ แบ่งแยกแค่ความจงรักภักดี”
หู่พั่วพยักหน้า จดเรื่องที่สืออีเหนียงจัดการลงในสมุด
“แล้วป้าเถาล่ะเจ้าคะ?” เอ่ยอย่างลังเล
“เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับป้าเถา” สืออีเหนียงพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ในห้องเงียบสงัด
หู่พั่วรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “เรื่องที่ฮูหยินบอกบ่าวจัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ ท่านคิดว่า เราจะส่งนางออกไปเมื่อไรดีเจ้าคะ”
ตอนเช้าสืออีเหนียงก็บอกให้หู่พั่วหาวิธีเผยแพร่เรื่องที่ตงชิงไม่สบายออกไป
“อีกสามวันก็ได้!” นางเม้มปาก “เรื่องนี้ไม่ควรล่าช้า” จากนั้นก็บอกหู่พั่ว “ตงชิงไปรักษาตัวที่ตรอกจินอวี๋ ตามหลักแล้วสะใภ้ว่านอี้จงต้องส่งคนไปเยี่ยม ต้องบอกสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยด้วย…” พูดจบนางก็มองหน้าหู่พั่ว
หู่พั่วเข้าใจ “บ่าวจะจัดการเรื่องนี้พรุ่งนี้เช้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเป็นคนฉลาด เมื่อเจ้าเจอนางเจ้าก็บอกว่า ตอนนี้ที่จวนกำลังคัดเลือกบ่าวรับใช้ เดิมทีข้ามีเจตนานี้ แต่หากนางเสนอขึ้นมาเองมันคงจะดีกว่า”
หู่พั่วหัวเราะ “ฮูหยินไม่ต้องกังวลไป บ่าวรู้แล้วเจ้าค่ะ”
“สองสามวันมานี้ปินจวี๋เป็นเช่นไรบ้าง” ตั้งแต่นางบอกให้ปินจวี๋จับตาดูตงชิงวันนั้น สืออีเหนียงก็ไม่ได้เจอนางมาสองสามวันแล้ว
หู่พั่วยิ้มอย่างขมขื่น “ทานน้อยมากเจ้าค่ะ แค่ไม่กี่วันก็ผอมลงไม่น้อย พวกเราเกลี้ยกล่อมแล้ว นางรับปาก แต่ก็ยังทำเหมือนเดิม”
“พรุ่งนี้ข้าจะไปหานาง!” สืออีเหนียงถอนหายใจเบาๆ ยังอยากจะปรึกษากับหู่พั่วเรื่องสาวใช้ สวีลิ่งอี๋ก็กลับมาพอดี
นางจึงต้องออกไปต้อนรับ
“ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงย่อคำนับ “ทานอะไรมาแล้วหรือยัง จะทานอีกหรือไม่”
สวีลิ่งอี๋มองไปที่นางด้วยสายตาที่มีรอยยิ้ม
เขาไม่เคยทานอะไรตอนกลางคืน สืออีเหนียงรู้ดี แน่นอนว่านางไม่เคยถาม แต่ตอนนี้กลับถามเช่นนี้…เขานึกถึงข้ออ้างที่สืออีเหนียงบอกว่า ‘ข้าไม่สบาย’ วันก่อนขึ้นมา
หรือว่า รู้สึกผิด?
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรแล้วก็ไม่ทักท้วงนาง “ไม่เป็นไร วันนี้ข้าอยู่ข้างนอกทั้งวัน ตัวมีแต่ฝุ่น เรียกชุนมั่วมาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าเถิด!”
หู่พั่วรีบออกไปเรียกชุนมั่วเข้ามา สืออีเหนียงพาหงซิ่วใช้เตาอังเท้าอุ่นเตียง
เมื่อสวีลิ่งอี๋ออกมาเขาก็เห็นว่านางกำลังจัดหมอน
ฐานสีฟ้าเข้ม ปักลายดอกบัวสีชมพู
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าสองสีนี้ช่างสะดุดตาและสวยงาม
สวีลิ่งอี๋เดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วถอดรองเท้า
“วันนี้ข้าเจอกับเจียงไป่ที่สกุลหวัง” เขาพูดเบาๆ “ฟังจากน้ำเสียงของเจียงไป่แล้ว เจียงกุ้ยเป็นคนนิสัยง่ายๆ ทั้งเรื่องในจวนและเรื่องนอกจวนของตระกูล เจียงฮูหยินล้วนแต่เป็นคนจัดการ เพราะเช่นนี้คนในสกุลเจียงจึงให้ความสำคัญกับนางมาก”
สวีลิ่งอี๋ไม่มีทางไปหาเจียงไป่โดยที่ไม่มีเหตุผล แล้วก็ไม่มีทางเล่าเรื่องพวกนี้ให้นางฟังอย่างไร้เหตุผล
สืออีเหนียงจึงตั้งใจฟัง ไตร่ตรองเนื้อหาในคำพูดของเขา
“ผ่านไปเรื่อยๆ เจียงฮูหยินก็เริ่มไม่พอใจ คดีที่ศาลว่าการไม่มีความคืบหน้า นางกลับจะไปฟ้องฮ่องเต้ เจียงไป่เห็นว่านางโวยวายจนไม่เป็นเรื่องจึงอยากให้ข้าออกหน้าเป็นผู้สร้างสันติ ดูว่าสามารถทำให้องค์หญิงฉังหนิงพูดอะไรต่อหน้าฮ่องเต้ได้หรือไม่ สกุลหวังจะได้มีทายาท ส่วนเจียงฮูหยินพวกเขาจะจัดการเอง” สวีลิ่งอี๋จัดแจงห่มผ้าห่มแล้วล้มตัวนอนลง “ข้าคิดว่าหาเป็นเช่นนี้ เรื่องทายาทสืบทอดตำแหน่งของสกุลหวังจะได้มั่นใจมากขึ้น เป็นประโยชน์ต่อสกุลหวังมากกว่า ไม่ได้เป็นวิธีที่แย่”
“ท่านโหวตัดสินใจเถิดเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงนึกถึงสิ่งที่นางได้เห็นและได้ยินในสกุลหวังเมื่อเช้านี้ นางคิดว่าหากไม่รีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด สกุลหวังก็จะวุ่นวายต่อไปเรื่อยๆ นางย้ายตะเกียงมาวางข้างเตียงตามความเคยชินของสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็ปล่อยม่านเตียงลง
สวีลิ่งอี๋ดึงสืออีเหนียงเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน “แต่เรื่องของสือเหนียงยังต้องคิดหาวิธี สกุลญาติของสกุลหวังนั้นเป็นคนประเภทไหน นิสัยเช่นไร ต้องสืบให้ชัดเจนก่อน จะได้ไม่ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน”
สืออีเหนียงคิดว่าเขากอดตัวเองแน่นเกินไป
หรือว่าคืนนี้ก็ยังจะ…
เพียงแค่คิดก็รู้สึกเขินอาย
พวกเขาก็เป็นแค่คนแปลกหน้าที่คุ้นเคยกันก็แค่นั้น
ความคิดนี้วาบขึ้นมา นางก็ขยับตัวไปมาสองสามที
สวีลิ่งอี๋ไม่สนใจ
หลังจากสองวันก่อนและเมื่อวาน เขาก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น
สืออีเหนียงเป็นคนเรื่องมาก นอนกอดนาง นางต้องดิ้นไปดิ้นมา ขยับตัวอยู่นานถึงจะหาตำแหน่งที่ทำให้นางรู้สึกสบายตัวเจอ
เขาคลายแขนออกเบาๆ
สืออีเหนียงก็รู้สึกโล่งอก
เขาน่าจะควบคุมแรงได้ไม่ดี
“ท่านโหวอยากให้ข้าไปถามพี่หญิงสิบหรือเจ้าคะ” นางถามสวีลิ่งอี๋ แต่ในใจกลับลังเลว่าจะเล่าเรื่องที่ตัวเองและสือเหนียงไม่ค่อยชอบหน้ากันให้สวีลิ่งอี๋ฟังดีหรือไม่ เกรงว่าตัวเองไม่ไปยังพอไหว หากตัวเองไปแล้ว นางจะปฏิเสธเพื่อคัดค้าน บางทีนางอาจจะตัดสินใจทำเรื่องที่นางเองก็รู้ว่ามันไม่มีผลดีต่อตัวเอง
สวีลิ่งอี๋เห็นว่าน้ำเสียงของนางไม่ได้อ่อนโยนสักเท่าไร นึกถึงหยาดน้ำตาที่พราวอยู่บนขนตาราวกับลูกแก้วแวววาวเมื่อคืนก่อน…จู่ๆ เขาก็รู้สึกสงสารสืออีเหนียง
คนสกุลเดิมทำเช่นนั้นกับนาง นางยังต้องช่วยจัดการเรื่องของสกุลเดิม แม้ว่าจะเป็นคนที่ใจกว้างมากแค่ไหน แต่ก็คงจะรู้สึกไม่สบายใจกระมัง
เหตุใดถึงต้องทำให้นางลำบากใจอีกเล่า
“ช่วงนี้เจ้าก็มีเรื่องตั้งมากมาย” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าคิดว่า ให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวเป็นคนไปจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่” เขาเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน แล้วยังบอกนางว่าไม่ต้องไป “มีคนกลาง หากสือเหนียงต้องการสิ่งใด มีความคิดเช่นไรก็จะได้พูดออกมา สถานการณ์ของเจ้าตอนนี้ เกรงว่านางจะไม่กล้าพูดกับเจ้า เราเดาไม่ออก มันยิ่งทำให้เรื่องราวเลวร้ายลง”
สืออีเหนียงรีบเห็นด้วยทันที “ทำตามที่ท่านโหวบอกเถิดเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางตอบตกลงเร็วขนาดนี้ ก็ยิ่งคิดว่าตัวเองคาดเดาถูกต้องแล้ว
เมื่อแก้ไขเรื่องที่ติดอยู่ในใจแล้ว เขาก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ร่างกายที่นุ่มนวลทำให้เขานึกถึงความชอบใจของเมื่อวาน
“เงียบ…” เขากระซิบข้างหูนางเบาๆ จากนั้นก็เริ่มล้วงเข้าไปใต้ร่มผ้าของนางแล้วลูบไล้ไปมา
ทำไม…
“ข้า ข้าเหนื่อย!” สืออีเหนียงพูดติดๆ ขัดๆ หน้าแดงราวกับปัดแก้ม
วิธีที่ไม่เหมือนกันแต่ได้ผลเหมือนกันกับคำว่า ‘ข้าไม่สบาย’
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเบาๆ ข้างหูนาง “เหนื่อยที่ใด ให้ข้าช่วยดูให้หรือไม่”
สืออีเหนียงพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนขึ้นมา
ตอนนั้นนางเหนื่อยกับตงชิงเป็นอย่างมากจึงขี้เกียจที่จะดิ้นหนี!
ดังนั้นครั้งนี้ นางจึงดึงผ้าห่มขึ้นมา อยากจะห่อตัวเองเหมือนรังไหม สวีลิ่งอี๋ไม่ขยับไปไหน เขาแค่จับยึดผ้าห่มอีกครึ่งหนึ่งไว้แล้วจูบนาง…จากนั้นเขาก็เปลี่ยนจากท่านโหวเป็นสวีลิ่งอี๋อีกครั้ง เพลิดเพลินกับการปลดปล่อยหลังความเจ็บปวดอย่างสุดขีด
หลังจากนั้น เขาก็ช่วยเช็ดตัวให้สืออีเหนียงที่หดตัวราวกับลูกบอล
จู่ๆ ก็รู้สึกสับสน
เหตุใดตนถึงได้ถ่อมตัวลงเพื่อความสุขแค่ชั่วขณะเช่นนี้!
*****
เช้าของวันต่อมา สืออีเหนียงกลับมาจากเรือนของไท่ฮูหยิน สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยก็มาพอดี
สืออีเหนียงบอกให้คนยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง
“สองวันก่อนข้าเป็นหวัด ตงชิงคอยดูแลอยู่ข้างๆ ใครจะรู้ว่านางจะติดหวัดจากข้า ข้าดีขึ้นแล้ว แต่นางกลับป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ ในลานยังมีคุณหนูและคุณชายน้อย แล้วยังมีอี๋เหนียงที่ยังตั้งครรภ์ ข้าให้นางอยู่ที่นี่ไม่ได้จริงๆ ข้าจึงคิดว่า หากสองวันนี้ยังไม่ดีขึ้น ข้าจะส่งนางไปรักษาตัวที่เจ้าสักสองสามวัน…” พูดจบนางก็หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยตกใจ
ตงชิงกับว่านต้าเสี่ยนจะกำหนดวันแต่งงานกันอยู่แล้ว เหตุใดจู่ๆ นางถึงไม่สบายได้
แต่นางไม่กล้าเอ่ยถาม
ต้องรู้ว่า ในลานมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ใครจะรู้ว่าคำไหนพูดได้คำไหนพูดไม่ได้!
คิดเช่นนี้ นางก็ทำสีหน้าเคารพเชื่อฟัง ทำท่าทีว่าให้สืออีเหนียงเป็นคนตัดสินใจเถิด
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าในใจ
รู้ว่าควรทำตามนายหญิงก็ดี ถึงตอนนั้นตนจะได้ไม่พูดเสียแรงเปล่า
“ข้าก็รู้ว่าเรือนของเจ้าก็มีคนแก่และเด็ก จะให้พวกเขาอยู่ไม่เป็นสุขเพราะนางได้เช่นไร” นางพูด “ถึงตอนนั้นเจ้าทำความสะอาดห้องให้นางห้องหนึ่งก็พอแล้ว ปินจวี๋จะตามไปดูแลนางช่วงหนึ่ง”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเห็นว่านางพูดจบแล้ว ก็รีบยืนขึ้นตอบรับ “ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ บ่าวจะดูแลแม่นางตงชิงให้ดีตามที่ท่านบอก”
สืออีเหนียงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ฮูหยิน บ่าวได้ยินมาว่าที่ลานกำลังจะรับสมัครบ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ…”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงยื่นบันไดให้นาง “เจ้ามีใครแนะนำหรือไม่”
“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็มีเจ้าค่ะ” สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยยิ้ม “บุตรชายคนโตของบ่าว ปีนี้อายุสิบสองแล้ว นิสัยซื่อสัตย์เหมือนบิดาของเขา กระทำสิ่งใดก็ทำด้วยใจ ฮูหยิน ท่านคิดว่า…ให้บุตรชายของบ่าวมาลองดูได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ได้สิ” สืออีเหนียงตอบตกลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดว่า “หากข้าจำไม่ผิด เจ้ายังมีเด็กชายและเด็กหญิงที่อายุเหมาะสมสองสามคน ถึงตอนนั้นเจ้าก็พาพวกเขามาให้ข้าดูเถิด”
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ ย่อเขาคำนับขอบพระคุณสืออีเหนียง ยามบ่ายของวันต่อมาก็พาหลิวไท่ผิง บุตรชายของตัวเอง ฉังเสวียจื้อ บุตรชายคนที่สองของฉังจิ่วเหอ และซิ่วเอ๋อร์ บุตรสาวคนโตของฉังจิ่วเหอ และซื่อสี่ บุตรสาวคนโตของว่านอี้จงมาหานาง
“เดิมทีบุตรชายคนโตของเจียงปิ่งเจิ้งปีนี้ก็อายุสิบขวบแล้ว แต่ว่าเจียงปิ่งเจิ้งส่งบุตรชายไปเป็นศิษย์ที่ร้านผ้าไหม บ่าวจึงไม่ได้บอกเขาเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพึ่งจะได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
ทันใดนั้นนางก็มีความคิดขึ้นมา
เช่นนั้นก็ไม่ต้องสนใจเจียงปิ่งเจิ้งคนนั้น จากนั้นก็ค่อยๆ ลดค่าใช้จ่ายของลานนั้นลง เยี่ยนจิงมีราษฎรมากมาย มีของล้ำค่ามากมาย ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เขาจะยอมยากจนเช่นนี้ได้อย่างไร ถึงตอนนั้นตัวเองไม่ต้องไล่เขาออกไป เกรงว่าเขาคงจะหาทางออกไปเอง แล้วนางก็เห็นว่าหลิวไท่ผิงคนนั้นซื่อสัตย์ ซิ่วเอ๋อร์สดใสร่าเริง ฉังเสวียจื้อมีไหวพริบ ซื่อสี่สุขุมเรียบร้อย ล้วนแต่เป็นคนที่ใช้งานได้ นางชอบพวกเขาเป็นอย่างมาก
บอกให้หู่พั่วจดชื่อพวกเขาไว้ จากนั้นก็บอกให้ลี่ว์อวิ๋นไปส่งสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยและพวกเด็กๆ ออกไปจากจวน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลี่ว์อวิ๋นก็รีบวิ่งเข้ามา “ฮูหยินเจ้าคะ เกิดเรื่องขึ้นกับฮูหยินห้าเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงตกใจ
ลี่ว์อวิ๋นก็พูดว่า “เสี่ยวหลาน สาวใช้ห้องข้างของคุณชายห้าตายแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงและหู่พั่วหันมามองหน้ากัน