“เจ้าใจเย็นๆ ก่อน” หู่พั่วรีบพูด “เจ้าหมายความว่านางแท้งหรือว่าเกิด…เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ลี่ว์อวิ๋นพยักหน้า นางสูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า “บอกว่าเย็นวันก่อนหลังจากทานซุปไก่แล้วก็รู้สึกไม่สบาย จากนั้นก็อ้วกเป็นเลือด ฮูหยินห้าพอทราบเรื่องก็ไปเชิญหมอหลวงอู๋ที่สำนักหมอหลวงมา บอกว่าเป็นภาวะร้อนชื้นแทรกซ้อน ให้ทานสมุุนไพรกานลู่อิ่น[1] ใครจะรู้ว่าทานไปไม่กี่คำ…” เสี่ยวหลานท้องเช่นไร ทุกคนคงเคยได้ยินมาบ้าง ตอนนี้ฮูหยินห้าพึ่งจะคลอดบุตรสาวออกมาแต่เสี่ยวหลานก็บังเอิญตายลง นางไม่กล้าคิดอะไร พูดเสียงเบาลง “เป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ…”
แววตาของสืออีเหนียงมืดมนลง นางไม่พูดอะไรอยู่นาน
ทันใดนั้น ในห้องก็เงียบสงัด
หู่พั่วเห็นเช่นนี้ก็พูดว่า “แล้วฮูหยินห้าว่าเช่นไรบ้าง”
“ป้าสือกำลังปรึกษาเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน!” ลี่ว์อวิ๋นพูด “ได้ยินเว่ยจื่อบอกว่า ฮูหยินห้าอยากจะเชิญไต้ซือจี้หนิงแห่งวัดฉือหยวนมาทำพิธีกรรม”
พุทธศาสนาเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด การตายแบบนี้ทำให้วิญญาณเคียดแค้น ต้องทำพิธีขับไล่ แต่ว่าเสี่ยวหลานเป็นสาวใช้ห้องข้าง แล้วยังท้องตอนที่ภรรยาเอกตั้งครรภ์ เช่นนี้คงเป็นเรื่องยาก
“แล้วไท่ฮูหยินมีความเห็นว่าอย่างไร” หู่พั่วพูด
“ไท่ฮูหยินบอกว่าให้เชิญไต้ซือจี้หนิงมาทำพิธีที่จวนสามวัน จากนั้นก็ทำพิธีที่วันฉือหยวนอีกสิบสี่วัน”
พิธีเล็กสามวัน พิธีใหญ่เจ็ดวัน หมายความว่า พิธีเล็กสิ้นสุดลงแล้ว ก็จะนำโลงศพของเสี่ยวหลานและบุตรของนางย้ายไปไว้ที่วัดฉือหยวน
พวกนางสามคนเงียบไปครู่หนึ่ง
หู่พั่วพูดว่า “เช่นนั้นเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
ถึงแม้ว่าจะเป็นสาวใช้ แต่นางก็ท้องบุตรของสวีลิ่งควน ต้องมีหน้ามีตา แต่จะไว้อาลัยเช่นไรกลับกลายเป็นปัญหา ปกติมีป้าเถา ให้นางเป็นคนจัดการก็ได้ แต่ตอนนี้ป้าเถาเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไปขอคำแนะนำจากนางอีก…เช่นนั้นก็หาเรื่องให้ตัวเอง?
สืออีเหนียงพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมา
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดว่า “หรือจะดูว่าครอบครัวของคุณชายสามทำอย่างไร พวกเขาทำเช่นไรเราก็ทำเช่นนั้น!”
นี่เป็นวิธีที่ไม่มีทางเลือก
หากผิด ทุกคนก็ผิดด้วยกัน
ตั้งแต่เรื่องแต่งงานของตงชิงและว่านต้าเสี่ยนเผยแพร่ออกไป มีทั้งคนดีใจและคนที่กังวลใจ คนที่ดีใจก็คือตำแหน่งสาวใช้ใหญ่จะว่าง คนกังวลก็คือไม่รู้ว่าสืออีเหนียงจะเลือกใครมาแทนตงชิง แต่ลี่ว์อวิ๋นและหงซิ่วที่เป็นสาวใช้ระดับสองกลับขยันขันแข็งขึ้นมาพร้อมกัน สุดท้ายตงชิงไม่สบาย คนที่เข้ามาแทนนางคือลี่ว์อวิ๋น ลี่ว์อวิ๋นแอบดีใจ อีกทั้งยังทำงานขยันขันแข็งมากกว่าแต่ก่อน
ดังนั้นเมื่อสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ นางก็รีบตอบรับ “เจ้าค่ะ” ทันทีแล้วพูดอีกว่า “ฮูหยิน บ่าวจะไปถามพี่ชิวหลิงประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงพยักหน้า ลี่ว์อวิ๋นยิ้มพลางย่อเข่าคำนับแล้วขอตัวออกไป
แต่กลับบังเอิญเจอกับหงซิ่วที่รีบเปิดม่านเข้ามาที่ห้องโถง
วันนี้นางไม่ได้เฝ้ายาม…
เมื่อนึกถึงท่าทีที่ไม่พอใจของหงซิ่วตั้งแต่นางรู้ว่าตัวเองไปแทนที่ตงชิง ลี่ว์อวิ๋นก็เป็นกังวล
ไม่รู้ว่านางมาหาฮูหยินทำไมกัน
“น้องหญิงรีบขนาดนี้ กำลังจะไปทำอะไรหรือ”
หงซิ่วยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรทำจึงมาดูที่เรือนของฮูหยินเจ้าค่ะ มาดูว่ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่”
เมื่อวานยังได้ยินนางบอกว่าตัวเองไม่มีเวลา ไปหาหู่พั่วแล้วบอกให้ชิวอวี่ทำรองเท้าให้นางคู่หนึ่ง…
ทุกคนทำงานร่วมกัน เรื่องบางเรื่องรู้อยู่แก่ใจก็พอ
ลี่ว์อวิ๋นบอกว่า “ฮูหยินกำลังพูดคุยอยู่กับพี่หู่พั่ว ข้ามีธุระ ไม่รบกวนน้องหญิงแล้ว” จากนั้นก็ยิ้มแล้วเดินออกไป
หงซิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ลี่ว์อวิ๋นเข้ามาแทนที่ตงชิง ไม่ได้แปลว่าตนจะไม่มีโอกาส จะว่าไปแล้ว ปินจวี๋ก็ไม่เด็กแล้ว อีกสองปีก็คงจะต้องปล่อยนางออกไปแล้ว แต่ปีนี้ตัวเองพึ่งจะอายุสิบห้า เด็กกว่าลี่ว์อวิ๋นตั้งหนึ่งปี
จะว่าไปแล้วเมื่อก่อนเป็นความผิดของตัวเอง คิดว่าเดิมทีตัวเองเป็นคนของคุณหนูใหญ่ ไม่ได้ขยันขันแข็งต่อหน้าฮูหยินเหมือนลี่ว์อวิ๋น ตอนนี้ในเมื่อรู้แล้วว่าฮูหยินไม่ได้ให้ความสำคัญกับคนพวกนี้ ตัวเองก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่เช่นนั้น หากปินจวี๋ออกไปแล้ว เกรงว่าตัวเองจะไม่มีโอกาส หรือว่าจะเป็นสาวใช้ระดับสองไปจนแก่เช่นนั้นน่ะหรือ
คิดได้เช่นนี้ นางก็จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองแล้วเอ่ยรายงานด้วยความเคารพว่า “ฮูหยิน บ่าวหงซิ่ว มีเรื่องมารายงานฮูหยินเจ้าค่ะ”
“เข้ามาเถิด!” เสียงของสืออีเหนียงยังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่กลับมีกลิ่นอายของความเกียจคร้านไม่มีชีวิตชีวา
นางแอบแปลกใจ
ตั้งแต่ฮูหยินป่วยนางก็ดูไม่มีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อน หรือว่ายังไม่หายดี? เพราะว่ามีแม่สามี บรรดาลูกสะใภ้ แล้วยังมีท่านโหว คุณหนู คุณชายน้อยต้องดูแล นางจึงอดทนเอาไว้?
ความคิดนี้วาบขึ้นมา หงซิ่วก็ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าไปหาสืออีเหนียง
นางย่อเข่าคำนับแล้วพูดเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อครู่จูหรุ่ย สาวใช้ของเฉียวอี๋เหนียงมาถามบ่าวว่าท่านโหวจะกลับจวนเมื่อไรแต่บ่าวไม่ได้บอกเจ้าค่ะ”
ช่วงนี้สวีลิ่งอี๋ออกจากจวนไปจัดการเรื่องของสกุลหวังแต่เช้า กลับมาถึงจวนก็ดึกแล้ว แม้แต่สืออีเหนียงก็ยังไม่มีโอกาสแนะนำหลิวไท่ผิงและฉังเสวียจื้อให้เขารู้จัก
เฉียวเหลียนฝังจะทำอะไรอีก?
นางส่งสาวใช้มาบอกว่าอยากเจอสวีลิ่งอี๋อย่างเปิดเผยเช่นนี้ หรือว่าตัวเองยังจะห้ามได้?
สืออีเหนียงไม่พอใจ แต่กลับไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา นางชื่นชมพฤติกรรมของหงซิ่ว “เจ้าทำถูกแล้ว เรื่องบางเรื่องควรพูด เรื่องบางเรื่องไม่ควรพูด”
หงซิ่วดีใจ เห็นหู่พั่วยืนอยู่ข้างๆ รู้ว่านางมีเรื่องจะพูด จึงรีบคำนับและขอตัวออกไป
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนนี้ทุกคนทำอะไรก็ฉลาดขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้ม จากนั้นก็ถามหู่พั่วเรื่องเงินส่วนตัวของตัวเอง “…เหลือเท่าไร”
หู่พั่วนับบัญชีให้นางฟัง สืออีเหนียงโบกมือ “เจ้าบอกมาเถิดว่าเท่าไร”
“นอกจากเงินที่ไท่ฮูหยินมอบให้ ยังเหลืออยู่สามร้อยยี่สิบสี่ตำลึงเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็เอาไปให้ตงชิงสามร้อยตำลึง ข้าบอกพ่อบ้านไป๋ไว้แล้ว อีกสิบวันก็จะส่งนางกลับไปมณฑลอวี๋” นางพูดอย่างลังเล
หู่พั่วแอบตกใจ “ฮูหยิน ให้นางสามร้อยตำลึง? เช่นนั้นเรา…”
“สิ้นเดือนแล้ว ประเดี๋ยวเราก็มีเงินเดือน” สืออีเหนียงยิ้ม “ไม่เป็นไร”
หู่พั่วยังคงลังเล สืออีเหนียงลุกขึ้น “เจ้าไปบอกนางเถิด ส่วนข้าจะไปหาปินจวี๋”
นางไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ จึงไปที่เรือนหลังกับสืออีเหนียง
*****
หลานเซวียนที่อยู่ห้องเดียวกันกับปินจวี๋ยกชามาให้สืออีเหนียงอย่างระมัดระวัง กำลังเดินออกไป จู่ๆ ปินจวี๋ก็มาพอดี
“ฮูหยิน ท่านมีเรื่องอันใดก็บอกให้สาวใช้มาเรียกบ่าวก็ได้เจ้าค่ะ เหตุใดจึงต้องมาถึงที่นี่ด้วยตัวเอง”
นางเดินเข้าไปคำนับสืออีเหนียงด้วยความเคารพ
สืออีเหนียงเหลือบมองหลานเซวียน “เจ้าออกไปก่อนเถิด ข้ามีเรื่องจะพูดกับปินจวี๋” นางยิ้มอย่างเป็นมิตร บอกอย่างอ่อนโยน
หลานเซวียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็รีบคำนับแล้วเดินออกไป
ปินจวี๋เห็นว่าในห้องมีแค่นางและสืออีเหนียง นางก็รีบพูด “ฮูหยินเจ้าคะ สองสามวันมานี้ตงชิงสงบดีเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงชี้ไปที่เก้าอี้หน้าเตียงเตา “นั่งลงเถิด” พูดขัดจังหวะนาง
ปินจวี๋นั่งลง
“ตงชิงมีเจ้าอยู่ ข้าไม่ได้เป็นห่วงอะไร” สืออีเหนียงยื่นชาที่หลานเซวียนยกมาให้เมื่อครู่ให้ปินจวี๋ “ได้ยินหู่พั่วบอกว่าเจ้าไม่ค่อยทานอะไร ผอมลงไปตั้งเยอะ ข้าจึงมาหาเจ้า”
ปินจวี๋ได้ยินเช่นนี้ก็น้ำตาไหล
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็เบ้าตาแดง “สองสามวันมานี้ ข้าไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไร เจ้าเองก็อย่าเป็นอะไรไปเลย” พูดจบนางก็รู้สึกเสียใจ น้ำตาที่อดกลั้นเอาไว้วันนั้นเพราะการปรากฏตัวของสวีลิ่งอี๋ก็หลั่งไหลลงมาอย่างควบคุมไม่ได้
ปินจวี๋นึกถึงความสุขตอนที่อยู่ด้วยกันเมื่อก่อน แล้วมองดูการจากลาตอนนี้ นางก็ร้องไห้ตาม
หู่พั่วยืนอยู่ใต้หน้าต่างจึงได้ยินเสียงข้างในห้อง บอกให้หลานเซวียนตักน้ำเย็นเข้าไปให้สืออีเหนียงประคบตา
อาจจะเป็นเพราะว่าร้องไห้ไปแล้ว ปินจวี๋จึงดูมีชีวิตชีวาขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย
สืออีเหนียงบอกหู่พั่วและปินจวี๋ “…เรื่องในเรือนมีหู่พั่ว ฝั่งสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยก็เป็นคนฉลาด เจ้าไปที่นั่นก็ถือโอกาสผักผ่อนให้สบายใจ เมื่อถึงวันที่สามของเดือนสาม ข้าจะไปรับเจ้ากลับมา”
ปินจวี๋ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่แช่น้ำเย็นไว้มาประคบตา “ฮูหยินพูดอะไรกันเจ้าคะ บ่าวไม่ได้มีค่าขนาดนั้น ส่งตงชิงกลับไปแล้วบ่าวก็จะรีบกลับมาทันทีเจ้าค่ะ”
พวกนางกำลังคุยกัน ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยิน ท่านโหวกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงอยู่ที่นี่นานไม่ได้ พูดกับนางสองสามประโยค จากนั้นก็กลับไปที่ห้องกับหู่พั่ว
ระหว่างทาง นางถามหู่พั่ว “ตงชิงพูดอะไรบ้าง”
“ไม่ได้พูดอะไรเลยเจ้าค่ะ” หู่พั่วนึกถึงท่าทีที่โศกเศร้าร่ำไห้ของตงชิงหลังจากที่รับตั๋วเงินสามร้อยตำลึงไป “นางร้องไห้หนักมากเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
สวีลิ่งอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว นั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง หงซิ่วกำลังรินชาให้สวีลิ่งอี๋ ปากยังพูดว่า “…ไม่ยอมพักผ่อน แล้วพี่ตงชิงก็ไม่สบาย…” เมื่อได้ยินเสียงคนเข้ามาในห้อง นางก็หันหน้ามามองเห็นสืออีเหนียงเข้าพอดี จึงยิ้มหวานแล้วเอ่ยเรียก “ฮูหยิน ท่านกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ ท่านโหวกำลังถามถึงท่านอยู่เลยเจ้าค่ะ” พูดจบก็เดินออกไปยืนข้างๆ อย่างเงียบๆ
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร นางเดินเข้าไปคำนับสวีลิ่งอี๋ด้วยความสับสน “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พยักหน้าเหมือนปกติ แต่กลับมองดูนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
เห็นสีหน้าของนางไม่ค่อยมีความสุข นึกถึงเมื่อครู่ที่หงซิ่วบอกว่านางไม่พักผ่อน เขาก็ตบเบาะรองนั่งข้างๆ ตัวเอง “มานั่งคุยกันเถิด”
สืออีเหนียงเห็นว่าเขากลับมาเช้ากว่าปกติ แล้วยังมีท่าทีแปลกๆ นางเหลือบมองสาวใช้ที่อยู่ในห้อง ถึงแม้ว่าจะรู้สึกอึดอัด แต่นางก็เดินเข้าไปนั่งข้างเขา
หู่พั่วเห็นเช่นนี้ก็ขยิบตาให้สาวใช้ในห้อง จากนั้นก็พาพวกนางออกไปข้างนอก
สืออีเหนียงเห็นว่าในห้องไม่มีใครแล้ว สีหน้าของนางก็เป็นธรรมชาติขึ้นไม่น้อย “ท่านโหวมีเรื่องอันใดจะพูดกับข้าหรือเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่ามันตลก คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะขี้อายขนาดนี้
เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าเล่าเรื่องสกุลหวังให้องค์หญิงฉังหนิงฟังแล้ว องค์หญิงฉังหนิงก็เห็นด้วย สำหรับเจียงฮูหยิน เจียงไป่เขียนจดหมายให้เจียงกุ้ยแล้ว หากมีเรื่องสำคัญเจียงกุ้ยจะมาที่เยี่ยนจิงเอง รอให้คุณนายใหญ่สกุลหลัวจัดการเสร็จแล้ว องค์หญิงฉังหนิงก็จะเข้าไปทูลฮ่องเต้ในพระราชวัง ถึงตอนนั้นค่อยบอกกรมพิธีกรรม เรื่องนี้น่าจะไม่มีปัญหา เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
เรื่องของสกุลหวังคลี่คลายแล้ว นางคงจะสบายใจขึ้นแล้วใช่หรือไม่!
ที่แท้ก็เรื่องนี้…
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณเขา “เรื่องนี้สำเร็จได้ก็เพราะว่าท่านโหว” นางพูด “ในเมื่อจะเดินทางกรมพิธีกรรม ถึงแม้ว่าท่านโหวจะเป็นขุนนางที่สูงส่งแต่เราก็ต้องมีของขวัญตอบแทนพวกเขา เตรียมของขวัญอะไรดีเจ้าคะ ท่านโหวบอกข้า ข้าจะได้ไปเตรียมให้”
“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ข้าจะให้ผู้ดูแลจ้าวเป็นคนจัดการ เจ้าไม่ต้องสนใจ”
————————
[1]กานลู่อิ่น สมุรไพรจีน มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการกระหายน้ำและอาการอ่อนเพลีย