เฉินตันจูไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังจะทะลวงฟ้าแม้แต่น้อย
หลังจากที่ฮ่องเต้ขับไล่เฉินตันจูออกจากวังแล้ว เขาไม่มีการกระทำอื่นใด อาทิจับเฉินตันจูเอาไว้ ภายในวังก็ไม่มีข่าวใดแพร่กระจายออกมา มีเพียงองค์รัชทายาทท่านอ๋องฉีขับไล่เหล่าบัณฑิตที่รวมตัวในจวนออกไป จากนั้นปิดประตูไม่ออกมา
เพียงแต่ฐานะตัวประกันขององค์รัชทายาทท่านอ๋องฉี ไม่ว่าทำสิ่งใดล้วนสามารถมองว่าถูกฮ่องเต้ตำหนิ ทุกคนจึงไม่สนใจ บรรยากาศภายในเมืองหลวงยังคงอึกทึก บัณฑิตยี่สิบคนถูกฮ่องเต้แต่งตั้งให้เข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยนแล้ว อีกทั้งถูกคัดเลือกให้รับตำแหน่งโดยราชสำนัก เพียงแค่รอข้ามปีย่อมสามารถรับตำแหน่งได้ ตำแหน่งสูงสุดที่ได้รับคือขุนนางชั้นห้า
ถือได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดอย่างแท้จริง เหล่าบัณฑิตโดยเฉพาะเหล่าบัณฑิตสามัญชนยิ่งเต็มไปด้วยความปิติยินดี
ไม่มีผู้ใดสนใจว่าเฉินตันจูถูกไล่ออกจากวัง จนกระทั่งวันที่สอง เฉินตันจูวิ่งไปที่พระราชวังอีกครั้ง
แต่ครานี้ถึงแม้จู๋หลินที่เป็นองครักษ์หลวงก็ถูกกีดขวางไว้นอกประตู
“คุณหนูตันจูพูดอยู่ด้านนอกประตูวัง ฝ่าบาท ไม่ฟังคำพูดขัดหูของนาง ก็ ก็” ขันทีอาจี๋พูดสิ่งที่ตนเองได้ยินด้วยสีหน้าซีดเผือดและน้ำเสียงตะกุกตะกัก “แผ่นดินยากที่จะสงบสุข ความปรารถนาของโจวต้าฟูก็ไม่มีทางบรรลุ ยากที่จะหลับตาอย่างสนิทภายใต้…”
เฉินตันจูกล่าวอ้างว่าฮ่องเต้ไม่ใช่จักรพรรดิผู้ทรงคุณธรรมอยู่เสมอ ฮ่องเต้ฟังจนคุ้นชินแล้ว ได้ยินคำพูดด้านหน้าจึงไม่ใส่ใจ แต่เมื่อได้ยินชื่อของโจวชิง ทันใดนั้นโกรธกริ้วขึ้นมาทันที
“หญิงสาวผู้นี้บังอาจนัก!” ฎีกาที่ถืออยู่ในมือของฮ่องเต้ถูกเขวี้ยงลงอย่างแรง “นางไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงชื่อของโจวต้าฟู ผู้ใดก็ได้ ผู้ใดก็ได้! หากนางยังไม่ไป จับนางเอาไว้ขังเข้าไปในคุกหลวง! อย่าคิดว่าข้าไม่กล้าส่งนางไปถามโจวต้าฟูด้วยตนเอง!”
ขันทีจิ้นจงรีบโบกมือให้อาจี๋ “รีบไปส่งต่อพระราชโองการ!”
อาจี๋รีบวิ่งออกไปทางด้านนอก เกรงว่าหากวิ่งช้า ตนเองจะถูกขังเข้าคุกหลวง ลงไปพบโจวต้าฟูพร้อมกับเฉินตันจู ด้านหลังของเขาคือเหล่าองครักษ์หลวงที่รับพระราชโองการ
เฉินตันจูที่ยืนอยู่ด้านนอกพระราชวังเห็นองครักษ์หลวงที่เดินมาอย่างดุดัน นางรีบเรียกอาเถียนขึ้นรถ ตะโกนบอกจู๋หลิน “รีบไป รีบไป”
จู๋หลินเร่งม้าด้วยใจที่ตายไปแล้ว อาจี๋พาเหล่าองครักษ์เดินทางมาถึงประตูพระราชวัง แต่เฉินตันจูได้นั่งรถม้าหนีไปแล้ว…
อาจี๋เพิ่งเคยพบสถานการณ์เช่นนี้ครั้งแรก เขาหันกลับไปมองเหล่าองครักษ์หลวงที่หยุดชะงักลง พร้อมทั้งเก็บสีหน้าดุดันกลับไป เขาอดถามไม่ได้ “เหตุใดจึงไม่ไล่ตามแล้ว”
ถึงแม้เฉินตันจูจะนั่งรถม้า แต่ราชองครักษ์ก็มีม้า การไล่ตามไม่เป็นปัญหา
หัวหน้าราชองครักษ์ยิ้มให้เขา “กงกงเพิ่งเคยรับใช้ฝ่าบาทใช่หรือไม่ ท่านไม่เฉลียวเพียงพอ ท่านไม่ได้ยินที่ฝ่าบาทตรัสหรือ หากไม่ไปให้คุมตัว เวลานี้คุณหนูตันจูไปแล้ว จึงไม่ต้องจับแล้ว”
พูดพลางเรียกให้เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาหันหลัง สนทนาเสียงเบาเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม เหลือไว้เพียงขันทีอาจี๋ที่ครุ่นคิดถึงอีกประโยคหนึ่ง เขารับใช้ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท? เหตุใดเขาจึงไม่รู้
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่าน เขารีบพุ่งตัวไปหาอาจารย์
อาจารย์ของเขาเป็นขันทีชราที่ไม่เคยได้รับใช้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แม้แต่ครั้งเดียว เวลานี้แก่ชรามากแล้ว เดิมทีสามารถถูกปล่อยออกไปได้ แต่ออกไปแล้วไม่มีสิ่งใดทำจึงอยู่ในพระราชวังเสมอ แต่ละวันทำงานกวาดถู ร่างกายของเขาไม่ค่อยดี พลางกวาดพลางกระแอมไอ เมื่อเห็นอาจี๋ที่เลี้ยงดูมากับมือวิ่งมาทั้งน้ำตา ฟังสิ่งที่เขาพูด ขันทีชรายิ้ม “ข้าคิดว่าเจ้ารู้เสียอีก ป้ายของเจ้าถูกย้ายไปแล้ว มิฉะนั้นเหตุใดเจ้าจึงได้พบคุณหนูตันจูทุกครั้ง จากนั้นจึงไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
อาจี๋ถามอย่างฉงน “เหตุใดข้าถึงถูกย้ายไป เพราะคุณหนูตันจู?” ใช่ ทุกครั้งที่คุณหนูตันจูมาล้วนทำให้ฝ่าบาทกริ้วโกรธ ไม่มีผู้ใดอยากเกี่ยวพันกับนาง ดังนั้นจึงผลักเขาออกมา เมื่อคิดได้ดังนี้อาจี๋ไม่สบายใจอย่างมาก “อาจารย์ ฝ่าบาทได้ยินชื่อของคุณหนูตันจูมักจะโกรธมาก ข้าจะเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่”
ขันทีชราหัวเราะร่า “โอรสสวรรค์ สิ่งใดเรียกว่าโอรสสวรรค์ ความดีใจและความโกรธล้วนไม่แสดงออกมาทางสีหน้า หากฮ่องเต้ไม่ระวังย่อมเสียรู้ขุนนาง อาจี๋ ในพระราชวังแห่งนี้อย่าได้เกรงกลัวความกริ้วโกรธของฝ่าบาท สิ่งที่ต้องเกรงกลัวคือฝ่าบาทไม่ดีใจไม่โกรธ”
อาจี๋ฟังไม่เข้าใจนัก แต่ยังคงพยักหน้า จดจำคำของอาจารย์เอาไว้
“รีบไปทูลฝ่าบาทว่าคุณหนูตันจูหนีไปแล้ว” ขันทีชราพูด
อาจี๋นึกถึงเรื่องที่ยังทำไม่จบสิ้นขึ้นมาได้ เขารีบวิ่งกลับไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ต้องให้อาจี๋ทูลรายงาน ฮ่องเต้ก็รู้แล้วว่าเฉินตันจูหนีไปแล้ว เหมือนดั่งหัวหน้าราชองครักษ์กล่าวไว้ ฮ่องเต้ไม่ได้ออกพระราชโองการจับนางอีก เพียงแค่ก่นด่าเท่านั้น จากนั้นส่งพระราชโองการให้บุตรทั้งหลายในพระราชวัง ไม่อนุญาตให้ไปมาหาสู่กับเฉินตันจูอีก
องค์ชายห้าหัวเราะ พูดลับหลัง “เสด็จพ่อเป็นกังวลเกินไปแล้ว เพียงแค่กำชับพี่สามกับจินเหยาก็พอ พวกเราไม่รูปงามเท่าพี่สาม เฉินตันจูย่อมไม่ไปมาหาสู่กับพวกข้า”
คำพูดนี้ถูกฮ่องเต้รู้เข้า ฮ่องเต้จึงลงโทษองค์ชายห้ากักบริเวณ ในเวลาเดียวกันผู้ที่ถูกกักบริเวณยังมีองค์หญิงจินเหยา ส่วนทางองค์ชายสาม ฮ่องเต้ไม่ได้ตำหนิสิ่งใด
“อาซิว” เขาพูดอย่างอดทนและอ่อนโยน “ระยะนี้อย่าได้ไปมาหาสู่กับคุณหนูตันจูอีกเสียดีกว่า เจ้าเป็นผู้ที่เข้าใจเหตุผลมากที่สุด”
องค์ชายสามตอบรับ “กระหม่อมจะไม่ไปหานางเป็นการส่วนตัว”
ฮ่องเต้ได้ยินจึงโล่งใจ แต่ก็สงสัยเล็กน้อย ไม่ไปเป็นการส่วนตัว หมายความว่าจะทูลขอเขาไปหานางอย่างชัดเจน? หากองค์ชายสามคุกเข่าขอเขาจริง เขาจะใจแข็งไม่สนใจไม่อนุญาตได้อย่างไร
เฮ้อ เด็กที่ดีเช่นนี้ กลายเป็นเหมือนเฉินตันจูไปเสียได้ ฮ่องเต้รีบกำชับพระสนมสวีเสด็จแม่ขององค์ชายสาม
นับแต่บุตรชายถูกวางยาพิษ พระสนมสวีจึงกลายเป็นคนเย็นชา ไม่เรียกร้อง ไม่ให้กำเนิดบุตรอีก โชคดีที่มีองค์ชายสามอยู่ อีกทั้งฮ่องเต้รักใคร่พวกนางแม่ลูก ใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังอย่างสุขสบาย สำหรับองค์ชายสาม พระสนมสวีทั้งเข้มงวดทั้งผ่อนปรน ความเข้มงวดทั้งผ่อนปรนล้วนเพื่อนิสัยของเขา ป้องกันให้เขาไม่กลายเป็นผู้ที่ถูกฮ่องเต้รังเกียจ เช่นนั้นพวกนางแม่ลูกคงเหลือเพียงทางตายในพระราชวัง
สำหรับองค์ชายสามพระสนมสวีไม่บังคับเขาในเรื่องอื่น
“พวกนางล้วนบอกว่าคุณหนูตันจูเหิมเกริม เจ้าไปมาหาสู่กับนางเพราะความหลงใหล” พระสนมสวีกล่าว “แต่ข้าไม่สนใจ อีกทั้งไม่ห้ามเจ้า เพียงแค่เจ้าชอบ แต่งตั้งนางเป็นชายาของเจ้า ข้าก็ไม่คัดค้าน”
ชายา? องค์ชายสามยิ้มจาง
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา พระสนมสวีถอนหายใจเสียงเบา “ชื่อเสียงเสื่อมเสียของคุณหนูตันจูเหล่านี้ไม่สำคัญ นางเพียงแค่อาศัยฝ่าบาททำการโอหัง ถึงแม้เจ้าแต่งงานกับนาง ย่อมต้องถูกคนคิดว่าเจ้าถูกหลอกลวงหรือถูกบังคับ มีเพียงแต่คิดว่าเจ้าน่าสงสารและโง่เขลา ฝ่าบาทย่อมไม่รังเกียจเจ้า มีเพียงแต่จะรักใคร่เจ้า ดังนั้นชื่อเสียงนี้เป็นเรื่องดีสำหรับพวกเรา”
องค์ชายสามเงียบ ชีวิตของเขาน่าสงสารมาทั้งชีวิต จากนั้นยังต้องอาศัยความน่าสงสารมีชีวิตต่อไปอีก
“แต่เวลานี้ไม่ได้!” พระสนมสวีเน้นย้ำ “นางชนะเพียงครั้งเดียวก็คิดจะพลิกฟ้า อีกทั้งยังคิดจะสร้างศัตรูกับเหล่าชนชั้นสูง อาซิว เจ้าไปมาหาสู่กับนาง เจ้าจะถูกชนชั้นสูงรังเกียจและเคียดแค้น พวกเขาจะโจมตีเจ้า ความรักใคร่ของฝ่าบาทที่มีต่อเจ้าย่อมกลายเป็นความเกลียด พวกเราแม่ลูกก็อย่าคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก”
นางกุมมือขององค์ชายสาม ทั้งเศร้าทั้งแค้น
“อาซิว พวกเราทุกข์ทรมานมากเพียงนี้ ลำบากเพียงนี้แล้ว อย่าให้มันสูญเปล่า”
องค์ชายสามกุมมือของเสด็จแม่ พูดเสียงเบา “ไม่มีทาง เสด็จแม่ ท่านวางใจ”
ถึงแม้ฮ่องเต้ไม่ได้ให้ราชองครักษ์ตามจับเฉินตันจู แต่เพื่อป้องกันเฉินตันจูเดินทางมาก่อกวนที่พระราชวังอีกครั้ง ประตูเมืองจึงปิดลงต่อหน้านาง ดังนั้นวันที่สาม เฉินตันจูนั่งรถม้าเดินทางมาถึงประตูเมือง ครานี้ทหารยามไม่ได้หลีกทางอีก หากแต่เผยอาวุธอยู่ตรงข้าม
“คุณหนูตันจู เข้าเมืองไม่ได้” พวกเขาพูดอย่างพร้อมเพรียง “ฝ่าฝืนประหารทันที!”
เฉินตันจูเปิดม่านขึ้น สีหน้าตกใจ ตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคือง “ฝ่าบาทไม่ฟังคำปรารถนาดีของข้า ต้องเสียใจในไม่ช้า!”
เหล่าราษฎรที่รวมตัวอยู่หน้าประตูเมืองต่างมีสีหน้าตกใจ โอ๊ะ เฉินตันจูยังมีคำปรารถนาดีด้วย ช่างเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์เสียจริง!
เพียงแต่ ขุนนางที่ซื่อสัตย์นี้ไม่ได้ปลิดชีพตนเองที่หน้าประตูเมือง หากแต่วางม่านลงหันหลังวิ่งหนีจากไป
เกิดเรื่องใดขึ้นกัน เฉินตันจูสูญเสียความโปรดปรานแล้วหรือ? ฝ่าบาทจะกำจัดผู้ชั่วร้ายเพื่อราษฎรแล้วหรือ?
ทันใดนั้นข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง จากนั้นเรื่องที่เฉินตันจูวิ่งไปหาฮ่องเต้ถูกกระจายออกไปบัณฑิตสามัญชนสิบกว่าคนที่เข้ากั๋วจื่อเจี้ยน รวมไปถึงจางเหยาที่ได้รับตำแหน่งยังไม่พอ เฉินตันจูยังคิดจะให้ฝ่าบาทพระราชทานตำแหน่งขุนนางให้แก่เหล่าบัณฑิตสามัญชนทั่วทั้งแผ่นดิน บอกว่าบัณฑิตสามัญชนเก่งกว่าบัณฑิตชนชั้นสูง อีกทั้งยังประกาศว่าหากไม่เชื่อ ก็จัดการประลองอีกครั้งทั่วทั้งต้าเซี่ย...
เสียสติไปแล้ว!
มิน่าฝ่าบาทโกรธจนจะประหารนาง…ฝ่าบาทจะประหารนางเมื่อใดกัน
ในยามพลบค่ำ มีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนกำแพงของอารามขนาดเล็ก คนผู้นั้นสูงกว่าจู๋หลิน สวมใส่เครื่องแต่งกายดีกว่าจู๋หลิน รูปงามกว่าจู๋หลิน พูดมากกว่าจู๋หลิน…“จิ๊ๆๆ คุณหนูตันจู ท่านได้ยินคำพูดเหล่านี้ รู้สึกอย่างไร”
เฉินตันจูคลุมผ้าคลุม นั่งคัดยาอยู่บริเวณเตาอั้งโล่ภายใต้ทางเดิน เงยหน้ามอง “ท่านโหวโจว เหตุใดท่านจึงปีนกำแพง”
โจวเสวียนที่นั่งอยู่บนกำแพง ยกขาข้างหนึ่งงอขึ้น อีกทั้งปล่อยทิ้งลงมาเตะไปด้านหน้าพลางหัวเราะ “อย่างข้าเรียกว่าปฏิบัติต่อคนอื่นเสมือนคนอื่นปฏิบัติต่อตน”