อินซอบส่ายหน้า
อีอูยอนก้มตัวหยิบร่มที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา เขากางร่มให้ก่อนจะพูดต่อ
“ผมจะพูดตรงๆ นะครับ ตอนนี้ผมก็แค่เหนื่อยเพราะแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสบายๆ เหมือนเมื่อก่อนน่ะครับ ผมทั้งต้องคิดและคอยใส่ใจว่าคุณคิดยังไงกับผม แล้วก็ต้องพยายามทำตัวให้ตรงกับมาตรฐานทั่วๆ ไปด้วย”
อีอูยอนปรับลมหายใจอย่างช้าๆ
“กลับอเมริกาไปเถอะครับ ยังไงผมก็รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ คุณคงไม่เล่นเกมรักกับผมไปพันปีหมื่นปีหรอก ถ้าโดนถ่ายรูปในตอนที่อยู่ด้วยกันแล้วเป็นข่าว คุณจะทำยังไงครับ คุณไม่สามารถรับผิดชอบชีวิตผมไปได้ทั้งชีวิตนี่”
นี่เป็นคำพูดที่มีเหตุผล และถูกต้องทุกอย่าง เขาไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะโต้แย้ง
อินซอบเงยหน้ามองอีอูยอน ฝนไหลลงมาตามแก้มของเขา อีอูยอนยิ้มอย่างใจกว้าง
“ว่ากันตามตรงผมก็เริ่มเบื่อที่จะทำกับคุณอินซอบแล้วครับ ไม่ว่าอะไรอะไรกันกี่ครั้งคุณก็ไม่หลวมขึ้นง่ายๆ ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรกับท่อนไม้เลยครับ แล้วผมก็เบื่อกับการมีอะไรกับคนป่วยด้วย”
อีอูยอนช่วยจัดปกเสื้อของอินซอบให้เข้าที่
“คุณอินซอบเองก็ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องคอยสังเกตผมเถอะครับ ทั้งเลี้ยงหมา เลี้ยงแมว และใช้ชีวิตอย่างปกติกับคนที่ชอบ ตอนนี้ผมเบื่อการเลียนแบบเรื่องพวกนั้นแล้วล่ะครับ”
น้ำเสียงของเขาลุ่มลึก เหมือนกับดวงตาที่กำลังมองทะเลสาบ แววตาที่มองทะเลสาบนั้นลุ่มลึก และนิ่งเรียบเหมือนคนตายโดยไม่มีการสั่นไหวของความรู้สึกอะไรเลย
แม้จะเหมือนกับภาพที่เห็นในฝัน แต่ก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิง อีอูยอนในฝันเป็นภาพลวงที่ความกังวลใจของเขาสร้างขึ้น แต่อีกฝ่ายที่อยู่ตรงหน้าเป็นความจริงที่ความอ่อนแอของเขาทำให้เกิดขึ้น
“…อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ”
เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย เพราะพูดไปด้วยร้องไห้ไปด้วย
“งั้นต้องพูดแบบไหนดีครับ”
“พูดอย่างจริงใจได้ไหมครับ”
อีอูยอนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดซ้ำว่า “อย่างจริงใจ” ในดวงตาของเขามีพลังที่น่าหวาดกลัวซ่อนอยู่
“ผมรู้ว่าคนอื่นๆ เขาตัดสินสามัญสำนึก หรือความรู้สึกด้วยวิธีแบบไหน เพราะงั้นผมเลยเลียนแบบอย่างคร่าวๆ เท่านั้น ผมไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของผมเหมือนกับที่คุณมีหรือเปล่า แล้วคุณจะให้ผมลองพูดอะไรอย่างจริงใจเหรอครับ”
“…ถึงจะไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไรครับ”
อินซอบเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
เพราะมันเริ่มต้นแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
เขาบอกเองว่าต่อให้ไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไร ต่อให้เป็นความรู้สึกที่คล้ายๆ กันก็พอแล้ว
แต่เขากลับโลภขึ้นเรื่อยๆ จนทำพลาด
“เหตุผลที่คุณอินซอบชอบผมเป็นเพราะการประพฤติผิดโดยจงใจ[1] หรือเปล่าครับ”
“…”
ลมที่เต็มไปด้วยความเปียกชื้นที่พัดเข้ามาใต้ร่มพัดผ่านแก้มของอินซอบไป คำว่า ‘ประพฤติผิดโดยจงใจ’ ทำให้หัวใจของเขาส่งเสียงดังไม่หยุด
“ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมชอบคุณอินซอบด้วยการประพฤติผิดอย่างจงใจไหม เพราะถ้าทำให้อารมณ์ไม่ดี แค่ตัดทิ้งไปก็น่าจะจบแล้ว ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดว่าคุณพิเศษตั้งแต่แรกหรือเปล่าน่ะครับ แต่มันก็ไม่จบลงแค่นั้นอย่างที่พูด เพราะผมอยากจะทำลายทุกอย่างที่สำคัญที่อยู่รอบตัวคุณ โดยไม่ใช่การประพฤติผิดอย่างจงใจ แต่เป็นการประพฤติผิดโดยเจตนา[2] นี่เป็นความรู้สึกที่คล้ายกันหรือเปล่าครับ”
เสียงของอีอูยอนค่อยๆ แข็งกระด้างขึ้นเรื่อยๆ
“ทั้งเพื่อน หรือครอบครัว หรือแม้กระทั่งต้นไม้สักต้นที่คุณเลี้ยงผมก็ไม่อยากเห็น นี่คุณแม่งเข้าใจหรือเปล่าครับ ให้พูดอย่างจริงใจขึ้นอีกไหมครับ ผมแค่อยากจะขังคุณเอาไว้ และทำให้ไม่สามารถไปที่ไหนได้ ต่อให้คุณร้องไห้ว่าไม่เอา ผมก็จะขืนใจคุณ แล้วก็จะวางเพลิงบ้านที่คุณจะกลับไปด้วย ผมอยากจะบีบคอทั้งคนที่คุณชอบ แล้วก็คนที่ชอบคุณด้วย”
ดวงตาของอีอูยอนเต็มไปด้วยความโมโห
“แต่ต่อให้ไม่เหมือนกันก็ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“ผม…”
ตอนนั้นไหล่ของอีอูยอนก็โผล่เข้ามาในสายตาของอินซอบ มันเปียกไปหมดด้วยฝนที่ตกลงมา และหยดน้ำก็ไหลลงมาเรื่อยๆ
ร่มที่อีอูยอนถืออยู่ในมืออยู่ในสภาพที่เอียงมาหาอินซอบทั้งหมด
เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกทำให้ป่นปี้
“ยังไงก็เป็นการคบกันที่เลียนแบบให้คล้ายอย่างนั้นอยู่แล้ว นี่คงถึงเวลาที่จะเบื่อแล้วล่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะตายตอนไหน ก็เลยไม่คิดว่าเป็นการคบกันที่สำคะ…”
อีอูยอนไม่สามารถพูดจนจบได้ มือของอินซอบกระทบเข้าที่แก้มก่อนจะตกลงมา นี่เป็นแรงที่เบาบางจนไม่สามารถเรียกว่าตบได้ด้วยซ้ำ สถานการณ์ที่ไม่เคยคิดไว้มาก่อนทำให้อีอูยอนมองอินซอบอย่างเหม่อลอย
“ที่ตอนนั้นผมสั่งให้คุณทำแบบนั้น… …ผมขอโทษนะครับ”
อินซอบร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
แม้พยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะไม่ร้องไห้ แต่ก็เปล่าประโยชน์
“ขอโทษครับ ผมพูดเองว่าต่อให้เป็นความรู้สึกที่คล้ายกันก็ไม่เป็นไร แต่เพราะผมโลภเองครับ เพราะแบบนั้นก็เลยทำให้คุณเหนื่อย ขอโทษนะครับ ผมผิดเองครับ ผม…”
น้ำตาไหลลงมาไม่ยอมหยุด ปลายนิ้วของอีอูยอนกระตุก
อินซอบก้มหัวและพูดต่อ
“ตอนแรกเขาบอกว่าผมอยู่ได้ไม่ถึงสามขวบด้วยซ้ำ หลังจากนั้นก็เจ็ดขวบ แล้วต่อจากนั้นก็ยากมากที่จะผ่านช่วงสิบขวบมาได้ แม้แต่หมอเองยังไม่สามารถยืนยันได้เลยครับว่าต่อให้ผ่าตัดปลูกถ่ายแล้ว ผมจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ถึงตอนนี้ผมจะมีชีวิตอยู่อย่างคนปกติ…แต่ผมก็รู้ดีครับ ผมรู้ดีกว่าใครเลย เพราะผมรู้สึกว่าวัยที่ผมจะตายมันเข้ามาใกล้มากกว่าวันที่จะสามารถมีชีวิตรอดอยู่เสมอ..ผมรู้ดีเลยล่ะครับว่าการที่สามารถตายได้ทุกเมื่อมันเป็นยังไง”
อินซอบเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตามองอีอูยอนอย่างเลื่อนลอย
“ขอโทษครับ”
ตอนเด็กๆ เขากลัวการเจ็บป่วย เพราะไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร
เนื่องจากพ่อแม่เป็นคนที่เผชิญหน้ากับเรื่องทุกอย่างอย่างเด็ดเดี่ยวเสมอ ความกลัวจึงเป็นหน้าที่ของเขา
และก็เป็นอย่างนั้นมาเสมอจนกระทั่งวันนั้น
เป็นวันก่อนหน้าวันเกิดครบรอบสิบขวบของเขาเพียงหนึ่งวัน เขานอนอยู่บนเตียงโดยไม่พูดอะไรตลอดทั้งวันด้วยข้ออ้างที่ว่าร่างกายไม่ค่อยดี เขากลัวว่าคำพูดของหมอที่บอกว่าเขาจะอยู่ได้ไม่เกินสิบขวบจะเป็นเรื่องจริง
หลังจากเลยเที่ยงคืนไป และมั่นใจว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่เขาถึงลุกออกจากเตียง ในขณะที่ลงไปที่ชั้นล่างเพราะคอแห้ง เขาก็ได้ยินเสียงของพ่อกับแม่ แม่นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว และกำลังร้องไห้พร้อมกับสวดมนต์ แม่อ้อนวอนต่อพระเจ้าว่าขอให้ได้รักลูกชายที่เป็นที่รักต่ออีกแค่สักวันก็ยังดี
วันนั้นเขาได้เห็นภาพของแม่ที่ร้องไห้เป็นครั้งแรก และก็ได้รู้ถึงความจริงที่ว่าแม้ความตายจะเป็นเรื่องของเขา แต่ความกลัวที่มีต่อสิ่งนั้นไม่ใช่แค่เรื่องของเขาคนเดียว หลังจากนั้นต่อให้ป่วยแค่ไหน อินซอบก็พยายามที่จะไม่แสดงออกว่ากลัว
กับอีอูยอนเองก็เหมือนกัน เขามักจะพูดว่าไม่เป็นไรเสมอ เพราะฉะนั้นเขาจึงเชื่อว่าเขาเองก็ไม่เป็นไร แม้เขาจะไม่ได้ไม่เป็นอะไรเลยสักนิดก็ตาม…
“เพราะป่วย เพราะมีร่างกายแบบนั้น…ขอโทษนะครับ ผมไม่อยากทำให้คุณอีอูยอนต้องรู้สึกแบบนั้น…ขอโทษครับ”
แม้แต่ในเวลาแบบนี้อินซอบก็ยังไม่โทษใคร และเอาแต่ขอโทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง
“ขอโทษครับ ผม…ทำผิดเองครับ ผม…”
เส้นเอ็นปูดโปนขึ้นมาบนมือของอีอูยอนที่จ้องมองภาพนั้น
“คุณอูยอนพูดถูกแล้วครับ ผมไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร แล้วก็คิดว่านี่ไม่ใช่การคบที่สำคัญ เพราะฉะนั้น…”
อินซอบเอื้อมมือออกมาราวกับจะจับอีอูยอนไว้
“เพราะเป็นการคบกันที่ไม่สำคัญ ผมขอทำแค่เรื่องนั้นก่อนที่จะตายไม่ได้เหรอครับ”
อินซอบน้ำตาไหลราวกับความรู้สึกพังทลาย
ตอนที่เห็นว่าไหล่ของอีอูยอนเปียกไปหมด เขาก็นึกถึงเสียงที่อ่านหนังสือให้ฟังตลอดทั้งคืนในวันนั้น
เขาชอบอีกฝ่าย
เขาชอบอีอูยอนที่มองตน และยิ้มเหมือนเด็กหนุ่มขี้แกล้ง อีอูยอนที่หัวเราะเบาๆ เหมือนอารมณ์ในตอนที่จูบกันเบาๆ อีอูยอนที่อ่านหนังสือให้ฟังขณะที่หลุบตามองต่ำ อีอูยอนที่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของตนมากๆ
แม้จะรู้ว่ามันไม่เหมือนกับความรู้สึกที่ตัวเองมี แต่เขาก็ชอบความรู้สึกต่างๆ ที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็นมากจนไม่สามารถทนได้
อินซอบใช้มือที่สั่นเทากำชายเสื้อของอีอูยอนไว้ แต่คนตรงหน้าไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
“ถ้าไม่ชอบที่ผมป่วย…ผมก็จะอยู่ข้างๆ จนถึงแค่ตอนที่ผมแข็งแรงครับ ถ้าผมป่วย หรือล้มไป หรือว่าจะตาย ผมจะจากไปก่อนวันนั้น…ผมจะไปครับ เพราะฉะนั้นจนกว่าจะถึงตอนนั้น…”
เขาถูกดึงเข้าไปกอดอย่างกะทันหัน
ตัวของเขาถูกขังไว้ในอ้อมแขนที่แข็งแรงของชายหนุ่ม
“อย่าไป”
อีอูยอนฝังหน้าลงกับต้นคอเปียกๆ ของอินซอบพร้อมกับเอ่ย
“อย่าไปนะอินซอบ”
อีอูยอนใช้มือที่สั่นเทากอดอินซอบเอาไว้
“ได้โปรด ผมขอร้อง อย่าไป…ห้ามตายนะครับ”
อีอูยอนพูดความรู้สึกที่แท้จริงที่ไม่ได้มีการปรุงแต่งออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา อินซอบพยักหน้า เขาพยักหน้าอยู่หลายครั้ง เพราะรู้สึกเหมือนผู้ชายที่ตัวสูงใหญ่ถึงขนาดที่บังตัวเขามิดนั้นดูยังเป็นเด็ก และเปราะบาง และเพราะอยากทำให้อีกฝ่ายวางใจ
“ขอโทษครับ…เพราะผมรู้สึกไม่โอเค ถ้าไม่มีคุณอินซอบ ผม…ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง ขอโทษครับ”
ไหล่ที่ทั้งกว้างและใหญ่ของชายหนุ่มสั่นไหวจากการร้องไห้ ยิ่งอีกฝ่ายเป็นแบบนั้น อินซอบก็ยิ่งกอดเขาให้แน่นขึ้นอีก และกลั้นน้ำตาเอาไว้
แล้วทะเลสาบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกก็เปียกชุ่มไปด้วยฝน
ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาทำให้หัวใจของเขาตึงแน่น เขารู้สึกราวกับจมลงไปในน้ำลึก
แล้วอินซอบก็หลับตาลง
***
ในระหว่างที่จับมือกันเดินไป อีอูยอนก็หันหลังกลับมามองอินซอบอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งที่สบตากัน อินซอบก็จะพยักหน้าให้เล็กน้อย
ระยะทางจากทะเลสาบไปจนถึงบ้านพักตากอากาศไม่ไกลมาก คนทั้งคู่เดินมาที่บ้านพักตากอากาศในสภาพที่เปียกโชกจนการใช้ร่มไม่มีความหมาย
ประตูหน้าบ้านของบ้านพักตากอากาศถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา
“ไม่ต้องไปที่รถเหรอครับ”
อินซอบเอ่ยถาม ริมฝีปากของเขาซีดเผือด หากจะถามรหัสประตูหน้าบ้านกับกรรมการผู้จัดการคิมก็ต้องไปที่รถ เขาลืมโทรศัพท์ทิ้งไว้ในรถ เพราะเมื่อกี้มัวแต่วิ่งมาอย่างรีบร้อน
อีอูยอนไม่ตอบอะไร เขาเปิดฝาครอบของที่ล็อกประตูก่อนจะกดรหัสผ่านลงไป อินซอบที่มองอีกฝ่ายกดรหัสผ่านอยู่ข้างๆ กะพริบตาปริบๆ รหัสผ่านคือเลขวันเกิดสี่ตัวของอินซอบ
“ผมเพิ่งได้รับโอนกรรมสิทธิ์มาน่ะครับ ไหนๆ แล้วผมก็เลยเปลี่ยนรหัสผ่านไปด้วยเลย”
อีอูยอนเปิดประตูให้พร้อมกับอธิบาย อินซอบพยักหน้า และเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปข้างใน
“ต้องติดต่อกรรมการผู้จัดการ…”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ ริมฝีปากของอีอูยอนก็เข้ามาใกล้ แล้วริมฝีปากที่เย็นเฉียบก็เชื่อมติดกัน อีอูยอนกอดอินซอบไว้ และจูบด้วยสีหน้าที่ตั้งใจถึงที่สุด
นี่เป็นการจูบที่ไม่ได้ทำมานานแล้ว
อินซอบหลับตาลงก่อนจะอ้าปาก ลมหายใจที่รีบร้อนถูกแลกเปลี่ยน และอุณหภูมิของพวกเขาก็สัมผัสกันผ่านเสื้อผ้าที่เปียกโชก
“…ขอโทษครับ”
อีอูยอนถอนริมฝีปากออกมาและพึมพำคำขอโทษ อินซอบทำตาโต เพราะไม่รู้เหตุผลที่อีกฝ่ายขอโทษ
“คุณจะเป็นหวัดไม่ได้”
อีอูยอนโอบไหล่อินซอบก่อนจะเอ่ยตอบ เนื่องจากตากฝนจนชุ่ม อุณหภูมิภายในบ้านจึงค่อนข้างเย็น และทำให้ตัวของเขาสั่นเทิ้ม
“กอดคอผมได้ไหมครับ”
อินซอบกอดคอของอีอูยอนตามที่อีกฝ่ายสั่ง และอีกฝ่ายก็อุ้มเข้าขึ้นมาทันที
“…ผมเดินได้ครับ”
อีอูยอนอุ้มอินซอบไว้และเดินไปที่ห้องน้ำ หลังจากวางอินซอบลงในอ่างอาบน้ำ เขาก็เปิดน้ำร้อนและเอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาห่มให้
“อยู่นี่เดี๋ยวนะครับ ผมไปเพิ่มอุณหภูมิแล้วจะกลับมา”
อินซอบพยักหน้าอย่างเรียบร้อย ความจริงแล้วในวินาทีที่ได้แช่ตัวลงในน้ำอุ่นๆ เขาก็ไม่มีความกล้าที่จะออกไปนอกอ่างอาบน้ำแล้ว
[1] ประพฤติโดยจงใจ หมายถึง รู้ว่าทำแล้วจะเกิดความเสียหาย แต่ก็ยังทำ (ความประมาท)
[2] ประพฤติโดยเจตนา หมายถึง รู้ และต้องการให้เกิดความเสียหายนั้น (ตั้งใจ)