สองสามีภรรยาพูดคุยกันอยู่ในห้อง หู่พั่วที่ยืนอยู่ในลานก็พูดคุยกับหงซิ่วอย่างเป็นกันเอง “เมื่อครู่ตอนที่เข้าไปเห็นเจ้ากำลังพูดคุยอยู่กับท่านโหว พูดอะไรกันหรือ ท่านโหวดูเหมือนจะดีใจไม่น้อย”
หงซิ่วปิดปากยิ้ม “ท่านโหวมาถึงก็ถามหาฮูหยินทันที ข้าบอกว่า สองสามวันมานี้ฮูหยินดูไม่ค่อยสบาย ออกไปเดินเล่น” จากนั้นก็พูดเบาๆ กับหู่พั่ว “พอท่านโหวได้ยินก็ถามอีกว่าฮูหยินไปเดินเล่นที่ใด”
หู่พั่วได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างแผ่วเบา “เจ้าช่างกล้าจริงๆ แม้แต่ข้ายังไม่กล้าพูดเหลวไหลต่อหน้าท่านโหว”
หงซิ่วไม่พอใจ “เฉียวอี๋เหนียงกำลังตั้งครรภ์ นี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับฮูหยินของเรา เราต้องช่วยพูดแทนฮูหยินต่อหน้าท่านโหวบ้างเจ้าค่ะ!”
หู่พั่วไม่พูดอะไรอีก นางตอบ “อืม” แล้วถามว่า “ทำไมลี่ว์อวิ๋นยังไม่กลับมาอีกเล่า”
ทันทีที่นางพูดจบ ลี่ว์อวิ๋นก็เดินเข้ามาพอดี
เห็นบรรดาสาวใช้ยืนอยู่ในลาน นางก็เดินเข้าไปพูดเบาๆ “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ!”
หู่พั่วพยักหน้าแล้วถามว่า “ฮูหยินสามว่าเช่นไรบ้าง”
“บอกว่าจะให้อี้อี๋เหนียงไปจุดธูป” ลี่ว์อวิ๋นพูด “บอกว่าเห็นแก่ฮูหยินห้าที่จะจัดพิธีให้เสี่ยวหลาน”
หู่พั่วพูดอะไรไม่ได้
ครอบครัวคุณชายสามมีอี๋เหนียงแค่คนเดียว แต่ครอบครัวฮูหยินกลับมีตั้งสามคน
หงซิ่วยิ้มแล้วพูดว่า “ไอ๊หยา หากฮูหยินของเราส่งอี๋เหนียงคนไหนไป ก็แสดงว่าอี๋เหนียงคนนั้นมีหน้ามีตาที่สุดในเรือนเราเช่นนั้นหรือ”
หู่พั่วและลี่ว์อวิ๋นเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไร
หงซิ่วมีท่าทีลำบากใจ นางพูดพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค จากนั้นก็อ้างว่ามีธุระแล้วขอตัวออกไป
เมื่อสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงไปทานข้าวที่เรือนของไท่ฮูหยินกลับมาแล้ว ลี่ว์อวิ๋นก็รายงานเรื่องนี้ให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงเห็นว่าสวีลิ่งอี๋ก็อยู่ที่นี่ด้วย จึงปรึกษาเขา “หรือว่า เราจะส่งฉินอี๋เหนียงไปดีเจ้าคะ? นางคือท่านแม่แท้ๆ ของอวี้เกอ”
“เรื่องนี้เจ้าตัดสินใจเถิด!” สวีลิ่งอี๋พยักหน้าแล้วถามถึงเรื่องของเสี่ยวหลาน “… ตายได้เช่นไร” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ลังเล
“หมอหลวงอู๋บอกว่าเป็นภาวะร้อนชื้นแทรกซ้อนเจ้าค่ะ” เรื่องเช่นนี้พูดอะไรมากไม่ได้ สืออีเหนียงจึงพยายามพูดสั้นๆ
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไร แต่สีหน้าของเขากลับสับสน
สืออีเหนียงนึกถึงถงอี๋เหนียงที่ตายไปแล้ว…
กำลังจะเดินออกไปเบาๆ ให้สวีลิ่งอี๋ได้อยู่คนเดียว ฉินอี๋เหนียงและเหวินอี๋เหนียงก็มาคารวะสืออีเหนียงพอดี
สืออีเหนียงจึงถือโอกาสจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย
ใครจะรู้ว่าฉินอี๋เหนียงได้ยินเช่นนี้ก็หัวสั่นราวกับกลองที่ถูกตี “ข้าไม่ไป ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋เห็นเช่นนี้ก็สีหน้ามืดมนลง
ฉินอี๋เหนียงตกใจจนไม่รู้จะทำเช่นไร เห็นเหวินอี๋เหนียงที่อยู่ข้างๆ นางจับเหวินอี๋เหนียงไว้ราวกับจับรวงข้าวช่วยชีวิต “ให้เหวินอี๋เหนียงไปเถิดเจ้าค่ะ ให้เหวินอี๋เหนียงไป นางพูดเก่งกว่าข้า…ข้าไป จะเสียหน้าเอาเปล่าๆ เจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงเป็นคนพูด สวีลิ่งอี๋เองก็อยู่ด้วย เหวินอี๋เหนียงจะออกหน้าได้เช่นไร นางรีบปฏิเสธ “พี่หญิงพูดอะไรกันเจ้าคะ ในเมื่อฮูหยินให้ท่านไป ก็แสดงว่าฮูหยินให้ความสำคัญกับท่าน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านคือแม่แท้ๆ ของอวี้เกอ จะเสียหน้าได้เช่นไรเจ้าคะ!”
ได้ยินเหวินอี๋เหนียงพูดถึงสวีซื่ออวี้ ฉินอี๋เหนียงก็ตกใจ นางแก้ต่าง “ข้า ข้าไม่เคยทำ…”
“ใครจะทำเป็นตั้งแต่เกิดกันล่ะเจ้าคะ” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วเกลี้ยกล่อมนาง “เรื่องทุกเรื่องต้องมีครั้งแรกเสมอ…” ฉินอี๋เหนียงถึงได้พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
เมื่อพวกนางสองคนออกไปแล้ว สวีลิ่งอี๋ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ทำให้เจ้าเสียน้ำใจเปล่าๆ ต่อไปเจ้าไม่ต้องสนใจนางหรอก นางก็เป็นเช่นนี้ตลอด ให้ออกหน้าออกตาแทนไม่ได้”
แต่สืออีเหนียงกลับแปลกใจ
เรื่องง่ายๆ เช่นนี้ เหตุใดฉินอี๋เหนียงถึงปฏิเสธเร็วขนาดนี้…
นางตอบกลับไปแบบส่งๆ “ข้าคิดไม่รอบคอบเองเจ้าค่ะ ควรจะถามความสมัครใจของนางก่อน จัดการเองเช่นนี้ ไม่โทษที่นางปฏิเสธเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็เหม่อลอย จากนั้นก็พูดว่า “เรื่องที่เจ้าจัดการ ทำไมต้องให้พวกนางเห็นด้วย”
หรือว่าจะให้ตนลงโทษนางเพราะว่าฉินอี๋เหนียงไม่อยากไปเช่นนั้นหรือ อย่างมากต่อไปมีเรื่องอันใดก็ไม่ต้องสนใจนางก็พอแล้ว
สืออีเหนียงไม่อยากเถียงกับเขาเรื่องนี้ จึงยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “สองสามวันมานี้ท่านโหวเอาแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องของสกุลหวัง ข้าเจอท่านก็ไม่ทันได้พูดอะไร” จากนั้นก็เล่าเรื่องหลิวไท่ผิงและฉังเสวียจื้อ “ท่านคิดว่ามีที่ไหนที่เหมาะสมหรือไม่เจ้าคะ ท่านก็รู้ว่า รายได้ของเรือนนอกข้าไม่ค่อยดี หาทางออกให้พวกเขาได้ก็คงจะดีเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋ตกลงรับปากอย่างรวดเร็ว “เจ้าคิดว่าที่ไหนดีก็จัดการเถิด เรื่องนี้ข้าจะพูดกับพ่อบ้านไป๋เอง”
พวกเขาสองคนอายุแค่สิบกว่าปี ยังเป็นไม้อ่อนอยู่ ต่อไปนางยังต้องพึ่งพาพวกเขา จะทำให้พวกเขาเสียนิสัยไม่ได้
“ต้องส่งพวกเขาไปอยู่ในที่ที่เหมาะสม” สืออีเหนียงยิ้ม “ให้เริ่มจากการเป็นบ่าวรับใช้ หากพวกเขามีความสามารถ ถึงตอนนั้นท่านโหวก็แนะนำพวกเขา แต่หากไร้ความสามารถก็ไม่ต้องบังคับพวกเขา จะได้ไม่ทำให้ข้าเสียหน้า”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน สาวใช้ก็เข้ามารายงาน “ท่านโหวเจ้าคะ คุณชายห้าขอพบเจ้าค่ะ”
ตอนนี้?
สวีลิ่งอี๋ตกใจ จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ข้าไปดูก่อน” แล้วเดินไปที่ห้องโถง
สองพี่น้องคุยกันเกือบหนึ่งชั่วยาม เขาถึงกลับเข้ามาในห้อง
สืออีเหนียงกำลังอ่านหนังสืออยู่ในผ้าห่ม สวีลิ่งอี๋ถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียง “บอกว่าการตายของเสี่ยวหลานทำให้น้องสะใภ้ห้าตกใจ เขาอยากลาหยุดยาวไปดูแลนางที่เรือน ได้ยินว่าข้าจะเปลี่ยนคนที่ลานข้างนอก เขาก็อยากจะเปลี่ยนคนที่ลานของตัวเองเหมือนกัน”
เขาพูดอย่างนิ่งสงบแต่กลับพลิกตัวไปมาตอนกลางคืน
สืออีเหนียงเห็นเขาท่าทีมีเรื่องในใจ นางจึงพูดเบาๆ “ท่านโหว มีอะไรจะพูดกับข้าหรือไม่เจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่ง ยื่นมือออกไปดึงนางมากอดไว้ในอ้อมแขน “ได้ยินน้องห้าบอกว่า สาเหตุที่เสี่ยวหลานแท้ง ก็เพราะว่าเสี่ยวเหมยช่วยนางบำรุงมากเกินไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้า
เรื่องของคนอื่น สืออีเหนียงพูดอะไรไม่ได้
“อาจจะเป็นเพราะว่าไม่รู้เรื่องพวกนี้เจ้าค่ะ!” นางพูด
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา กอดนางนิ่ง ให้สืออีเหนียงที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของตัวเองหลับไปอย่างสบายใจ
*****
เช้าวันต่อมา ทันทีที่สืออีเหนียงตื่น ลี่ว์อวิ๋นที่เฝ้ายามอยู่ก็เข้ามาพูดกับนางเบาๆ “ฉินอี๋เหนียงมาแต่เช้าเจ้าค่ะ บอกว่ามาขอโทษท่าน”
สืออีเหนียงมองดูเตียงอีกครึ่งหนึ่งที่ว่างเปล่า แล้วถามเบาๆ “ตอนที่ท่านโหวออกไปเจอกับฉินอี๋เหนียงหรือไม่”
“เจอเจ้าค่ะ” ลี่ว์อวิ๋นพูดเสียงเบาลง “ฉินอี๋เหนียงพอเห็นท่านโหวก็คุกเข่าลงทันที บอกว่าเมื่อวานไม่รู้ความ ดังนั้นวันนี้ถึงมาขอโทษท่าน ท่านโหวได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย แล้วยังถามฉินอี๋เหนียงว่าทานข้าวเช้าแล้วหรือยัง”
“แล้วฉินอี๋เหนียงตอบว่าอย่างไร”
“บอกว่าทานแล้วเจ้าค่ะ” ลี่ว์อวิ๋นพูด “ท่านโหวได้ยินแล้วก็บอกให้นางไปรอที่ห้องโถง แล้วยังบอกให้สาวใช้ยกชาร้อนไปให้นางเจ้าค่ะ”
“ในเมื่อนางดื่มชาอยู่ที่ห้องโถง เราก็ไม่ต้องรีบ” สืออีเหนียงล้างหน้าล้างตาแล้วออกไปหาฉินอี๋เหนียง
ฉินอี๋เหนียงเดินเข้ามาแล้วก็คุกเข่าลง “ฮูหยิน เมื่อวานเป็นความผิดของข้าเองเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านทำเพื่อข้า อยากให้ข้ามีหน้ามีตา เป็นข้าเองที่ขี้ขลาดตาขาว…”
“เอาล่ะ เอาล่ะ” สืออีเหนียงไม่คุ้นชินกับการที่มีคนมาคุกเข่าขอโทษนางเช่นนี้ บอกให้ลี่ว์อวิ๋นประคองฉินอี๋เหนียงขึ้นมา “แค่เรื่องเข้าใจผิด ทำความเข้าใจกันเสียก็ดี” จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมา “เจ้าสนิทกับอี้อี๋เหนียง ก็ไปจุดธูปให้เสี่ยวหลานกับนางเถิด”
ฉินอี๋เหนียงเห็นว่าสืออีเหนียงไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก นางจึงตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้วขอตัวออกไป
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยก็มารับคน
นางบอกสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยว่าอีกสองวันให้พาเด็กๆ มา
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยได้ยินแล้วก็ยิ้มหน้าบาน เอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หู่พั่วเดินเข้ามา เห็นสะใภ้หลิวหยวนรุ่ยอยู่ที่นี่นางก็ลังเลที่จะพูด
สะใภ้หลิวหยวนรุ่ยเป็นคนฉลาด นางจึงขอตัวออกไปทันที “ฮูหยินกับแม่นางหู่พั่วพูดคุยกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะออกไปช่วยย้ายของ”
“มีเรื่องอันใดหรือ” สืออีเหนียงถามหู่พั่ว
หู่พั่วเดินเข้ามากระซิบนาง “ตงชิงเอะอะโวยวายว่าอยากเจอท่าน บอกว่าจะถามให้ชัดเจน!”
สืออีเหนียงท่าทางนิ่งสงบ “บอกนางว่า เรื่องที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว เรื่องใดที่นางไม่เข้าใจ ก็ไม่ต้องคิด เช่นไรนางก็เป็นสาวใช้ที่สกุลหลัวซื้อตัวมา ตอนนี้ข้านำสมุดทาสคืนให้นางแล้ว แล้วยังนำเงินให้อีกสามร้อยตำลึง หากนางมีอะไรไม่พอใจก็คิดซะว่าข้าไม่มีความสามารถ ให้นางไม่ได้ นางติดตามผิดคนแล้ว”
หู่พั่วได้ยินว่าสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ นางก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อ รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นาน ในลานก็มีเสียงร้องไห้ดังขึ้นมา
แต่แค่ไม่นาน มันก็สงบลง
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างนิ่งสงบ
ตกเย็น ระดูของนางก็มา
ในขณะเดียวกัน เฉียวเหลียนฝังได้ยินข่าวการตายของเสี่ยวหลาน
นางแปลกใจ “เสี่ยวหลานตายแล้ว? ตายได้อย่างไร”
ซิ่วหยวนเล่าเรื่องที่ตัวเองได้ยินให้นางฟัง “…แท้งออกมาเป็นเด็กทารกผู้ชายเจ้าค่ะ”
เฉียวเหลียนฝังพึมพำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำ”
“บอกว่าเป็นเสี่ยวเหมยเจ้าค่ะ” ซิ่วหยวนพูด “ฮูหยินห้ามอบโสมสองสามชิ้นให้เสี่ยวหลานบำรุงร่ายกาย สุดท้ายเสี่ยวเหมยให้นางทานเยอะเกินไป…”
แม้โสมจะเป็นสมุนไพรบำรุงร่างกายที่ดี บำรุงให้ร่างกายแข็งแรง แต่เสี่ยวหลานกลับเอาแต่ทานไม่สนใจสิ่งใด จะไม่ให้เป็นอะไรได้เช่นไร
สมุนไพรบางชนิดดูเหมือนจะเป็นสมุนไพรบำรุงร่างกาย แต่หากทานคู่กับอย่างอื่นก็อาจเป็นอัตรายถึงชีวิตได้
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะแห้ง “ให้ทานเยอะเกินไป? ข้าว่าไม่จริง ไม่ว่าเช่นไร เสี่ยวเหมยก็เป็นสาวใช้ของท่านโหวมาก่อน เรื่องพวกนี้นางน่าจะเข้าใจ” พูดจบก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วถามว่า “แล้วไท่ฮูหยินเล่า ไท่ฮูหยินว่าอย่างไรบ้าง”
สายตาของซิ่วหยวนหม่นหมองลง “ไท่ฮูหยินบอกให้ป้าตู้นำสมุนไพรบำรุงร่างกายไปให้ฮูหยินห้า บอกให้ฮูหยินห้าอยู่เดือนให้สบายใจเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ว่าเสี่ยวหลานจะเป็นแค่สาวใช้ห้องข้าง แต่นางก็ท้องเลือดเนื้อเชื้อไขของสกุลสวี
เฉียวเหลียนฝังจับท้องของตัวเอง
ต้องรู้ว่า สืออีเหนียงคนนั้นเจ้าเล่ห์จะตาย แล้วยังไม่มีบุตร ใครจะรู้ว่านางจะทำอะไร ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีคนของไท่ฮูหยินอยู่ในเรือนของตัวเองก็ตาม แต่ก็กลัวว่า…
คิดเช่นนี้ ริมฝีปากของเฉียวเหลียนฝังก็ซีดลง
แต่ซิ่วหยวนกลับคิดไกลกว่าที่นางคิด
ไท่ฮูหยินทำกับเสี่ยวหลานเช่นนี้ หากคุณหนูของนางเป็นอะไรไป เกรงว่าก็คงจะไม่สนใจเหมือนกัน
นางอดไม่ได้ที่จะพูดเบาๆ “ท่านคิดว่า เราจะส่งจดหมายไปหานายหญิงดีหรือไม่เจ้าคะ ให้นางมาเยี่ยมท่าน?”
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็จับมือนางทันที “เจ้าพูดถูก ข้าลืมเรื่องนี้ไปได้เช่นไร” พูดจบก็ลงไปสวมรองเท้า
ซิ่วหยวนย่อตัวลงสวมรองเท้าให้นาง
แต่เฉียวเหลียนฝังกลับหยุดชะงัก
“ไม่ได้ เรื่องนี้ต้องบอกท่านโหวก่อน” นางพึมพำ “บอกท่านโหวว่าให้ท่านแม่มาเยี่ยมข้า”
นายหญิงสามสกุลเฉียวจะมาเยี่ยมเฉียวเหลียนฝัง แต่หากสืออีเหนียงไม่อนุญาตก็มาเยี่ยมไม่ได้
ซิ่วหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้บอกสวีลิ่งอี๋ดีกว่า แล้วอีกอย่างตอนนี้เฉียวเหลียนฝังนั้นกำลังตั้งครรภ์
นางประคองเฉียวเหลียนฝังออกไปจากห้องอย่างระมัดระวัง
เดินออกมาเจอกับป้ารับใช้ของไท่ฮูหยิน
“อี๋เหนียงจะไปไหนหรือเจ้าคะ” นางยิ้ม “ข้างนอกลมแรง ระวังจะเป็นหวัดเอาได้”
เฉียวเหลียนฝังรีบพูดว่า “ข้าจะไปหาท่านโหว” จากนั้นก็รีบออกไปกับซิ่วหยวนราวกับกลัวว่าจะมีคนมาห้ามปราม