สืออีเหนียงกำลังพูดคุยกับคุณนายใหญ่สกุลหลัว
“…เช่นนั้นเราจะทำอย่างไร พรุ่งนี้สกุลหวังก็จะเปิดศาลบรรพชนแล้ว” คุณนายใหญ่กังวลจนอยู่ไม่เป็นสุข “ประเดี๋ยวน้ำใจของท่านโหวจะเสียเปล่า”
ลี่ว์อวิ๋นค่อยๆ นำสมุนไพรอี้หมู่เฉ่า[1]ต้มน้ำตาลทรายแดงเข้ามา
คุณนายใหญ่ได้กลิ่นที่คุ้นเคยก็ตกใจ “เจ้า…”
สืออีเหนียงรับชามกระเบื้องลายครามใบเล็กมา
น้ำซุปสีน้ำตาลแดงกำลังร้อนๆ นางจิบอย่างระมัดระวัง “ข้ายังไม่สบายเจ้าค่ะ” นางพูดอย่างนิ่งสงบ
คุณนายใหญ่เป็นห่วง “เช่นนั้นเรือนของเจ้า…ใครรับใช้ท่านโหว”
สืออีเหนียงไม่มีนิสัยที่ชอบคุยเรื่องส่วนตัวกับคนอื่น จึงตอบแค่ว่า “เปลี่ยนไม่ได้แล้วหรือเจ้าคะ”
คุณนายใหญ่เห็นว่าสืออีเหนียงไม่อยากพูดเรื่องนี้ นางก็ไม่ถามอะไรต่อ
ที่จริงแล้วสองสามวันนี้คนของสกุลหลัวกำลังเจรจากับสกุลหวังตลอด สุดท้ายสกุลหวังก็ตัดสินใจรับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยงในนามของท่านกั๋วกง เพราะอาจจะกลัวว่าสกุลหลัวรู้แล้วจะไม่สนใจเรื่องของการสืบทอดตำแหน่งบรรดาศักดิ์ พวกเขาจึงปิดบังคนของสกุลหลัวมาโดยตลอด หากไม่ใช่เพราะว่าท่านป้าที่สืออีเหนียงส่งไปสังเกตเห็นว่ามีเด็กชายอายุเจ็ดขวบคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าตั้งหลายวันแล้วจึงเกิดสงสัยขึ้นมา เกรงว่าตอนนี้สกุลหลัวก็คงจะยังไม่รู้ถึงแผนการของสกุลหวัง
“ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว” นึกถึงเรื่องนี้นางก็ไม่พอใจ “ตอนนี้พี่ใหญ่ของเจ้ากำลังโต้เถียงกับพวกเขาที่สกุลหวัง ขอให้ข้ามาบอกเจ้า เจ้ามีความคิดเห็นใดหรือไม่”
หลัวเจิ้นซิ่งคือพี่ชายภรรยาของสกุลเดิม แม้แต่เขายังทำอะไรไม่ได้ สืออีเหนียงจะทำอะไรได้ คุณนายใหญ่จึงพูดอ้อมๆ ที่จริงแล้วนางอยากให้สืออีเหนียงเชิญสวีลิ่งอี๋ออกหน้าให้ ดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
นึกถึงที่คุณนายใหญ่รีบมาหาตัวเองเช่นนี้ สืออีเหนียงจึงให้ลี่ว์อวิ๋นไปเชิญสวีลิ่งอี๋มา จากนั้นก็อธิบายให้คุณนายใหญ่ฟังอย่างคร่าวๆ “ผู้ดูแลคนก่อนล้วนแต่เป็นคนของนายท่านใหญ่คนก่อน ตอนนี้มีเรื่องมากมาย พวกเขาไม่มีความสามารถแล้ว จึงมาขอลาออกกับท่านโหว ท่านโหวกำลังยุ่งอยู่กับเรื่องนี้เจ้าค่ะ”
“มันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ” คุณนายใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ทำสีหน้ารู้สึกผิด “พี่ใหญ่ของเจ้าก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องของสกุลหวัง ฐานะสกุลเดิมอย่างสกุลหลัวยังไม่มีสิทธิ์เข้าไปแทรกแซง ยิ่งไปกว่านั้น ท่านโหวเป็นแค่สกุลญาติ ไม่เช่นนั้น ท่านโหวก็คงไม่ให้พวกเราเป็นคนไปเจรากับสกุลหวัง จัดการเรื่องการสืบทอดตำแหน่งเอง ท่านโหวทำอะไรไม่ได้จริงๆ…”
สืออีเหนียงพูดขัดจังหวะคุณนายใหญ่ “ครอบครัวเดียวกันไม่พูดเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านโหวเป็นคนมีความสามารถ บางทีเขาอาจจะมีวิธีก็ได้” นางปลอบใจคุณนายใหญ่
คุณนายใหญ่ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม
สวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว
สืออีเหนียงรีบเล่าเจตนาของคุณนายใหญ่สกุลกลัวให้เขาฟัง
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้ว “ไม่แปลกที่เลี้ยงคนให้โตมาเป็นเหมือนหวังหลัง”
คุณนายใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็หน้าแดง กลัวว่าสืออีเหนียงจะคิดมาก นางจึงพูดว่า “ล้วนแต่เป็นความผิดของเราที่จัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีเอง ไม่เช่นนั้น ท่านโหวก็คงไม่ต้องลำบากใจเช่นนี้…”
ตอนนี้จะพูดอะไรก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งสำคัญคือสามารถแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ได้หรือไม่
สืออีเหนียงกระแอมเบาๆ แล้วพูดว่า “เมื่อก่อนข้าเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ว่ากันว่าเมื่อนายอำเภอตัดสินคดี หากไม่แน่ใจก็จะให้ท่านอาจารย์ช่วยหาสมุดคดีเก่าๆ ที่เคยตัดสินแล้วมาดู ดูว่ามีคดีที่เหมือนกันหรือไม่…” นางเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ “แต่ว่าเราไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แล้วก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่…”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดไม่จา เขาเอามือไขว้หลังแล้วเดินวนอยู่ในห้อง
คุณนายใหญ่ไม่กล้ารบกวน นางมองไปที่สวีลิ่งอี๋อย่างเงียบๆ
สืออีเหนียงรินชาให้คุณนายใหญ่อีกครั้งแล้วพูดเบาๆ ว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ ต้องหาทางออกได้เสมอ”
คุณนายใหญ่รับถ้วยชามาแล้วพยักหน้า สวีลิ่งอี๋ที่เดินไปมาก็หยุดเดิน
“เด็กคนนั้นอายุเท่าไร”
คุณนายใหญ่รีบวางถ้วยชาลง “อายุเจ็ดขวบเจ้าค่ะ”
“นิสัยเป็นเช่นไร”
คุณนายใหญ่ยิ้มอย่างขมขื่น หากไม่ใช่เพราะคนของสืออีเหนียงสังเกตเห็น พวกเขาจะรู้ได้เช่นไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสังเกตนิสัยของเด็กคนนั้น นางจึงตอบอย่างคลุมเครือ “หน้าตาขาวสะอาด ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กที่รู้ความและฉลาด”
“เป็นความต้องการของท่านกั๋งกง หรือว่าป็นความต้องการของไท่ฮูหยินสกุลหวัง หรือว่าเป็นความต้องการของสกุลญาติพวกนั้น?”
“น่าจะเป็นความต้องการของสกุลญาติพวกนั้นเจ้าค่ะ” คุณนายใหญ่ก็ไม่แน่ใจนัก “ท่านกั๋วกงเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้องหนังสือ ไท่ฮูหยินสกุลหวังเองก็ป่วยติดเตียง ส่วนเจียงฮูหยินนั้นกลับสกุลเจียงไปกับสะใภ้หยวนเป่าจู้แล้ว ทางด้านคุณหนูสิบแม้แต่สกุลหวังมีสกุลญาติที่ไหนบ้างก็ยังไม่รู้…แน่นอนว่าเด็กคนนั้นต้องเป็นคนที่สกุลญาติพวกนั้นหามาเจ้าค่ะ”
ไม่ต้องคิดว่าสวีลิ่งอี๋จะแสดงออกเช่นไร แม้แต่สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ยังแอบถอนหายใจในใจ
รู้จักตัวเองและศัตรู รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง พวกเขาแม้แต่เรื่องพื้นฐานเหล่านี้ก็ไม่รู้ ไม่แปลกที่ถูกรังแกเช่นนี้
คุณนายใหญ่ก็รู้ว่าเรื่องนี้พวกเขาจัดการไม่เรียบร้อย จึงก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “เดิมทีท่านกั๋วกงรับปากพี่ใหญ่ของเจ้าแล้ว แต่ใครจะรู้…”
สวีลิ่งอี๋มองดูนาฬิกาไขลานในห้องทางทิศตะวันออก จากนั้นก็เอ่ยถามคุณนายใหญ่ “ตอนนี้ถึงเวลาห้ามออกจากเคหสถานในยามค่ำคืนแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่พักผ่อนที่นี่เถิด ข้าจะออกไปดูที่จวนเม่ากั๋วกงเอง”
คุณนายใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจเป็นอย่ามาก นางยืนขึ้นด้วยความซาบซึ้ง “จะรบกวนท่านโหวได้เช่นไรกัน ข้าไปดูด้วยดีกว่า” นางพูด “สองสามวันมานี้ข้าไปอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูสิบ…”
น้องสามีกับพี่สะใภ้มาเจอกัน มีเรื่องพูดคุยกันมากมายเป็นเรื่องธรรมดา…
สวีลิ่งอี๋เหลือบมองสืออีเหนียง
นางสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีขาว ไม่แต่งหน้า ใบหน้าดูเหนื่อยล้าแต่สีหน้ายังคงอ่อนโยน กำลังพูดกับคุณนายใหญ่เบาๆ “เดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะเจ้าคะ ท่านป้าที่ข้าส่งไปล้วนแต่เป็นคนของสกุลสวี รู้จักกฎเกณฑ์ ระมัดระวัง ท่านมีเรื่องอันใดก็เรียกใช้พวกนาง อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยนะเจ้าคะ…”
ล้วนแต่เป็นคำพูดที่เป็นห่วงเป็นใยผู้อื่น ไม่พูดถึงตัวเองสักคำ
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะลอบถอนหายใจในใจ
สืออีเหนียงส่งพวกเขาออกไปที่ประตูลาน
แต่กลับมีร่างของคนสองคนพุ่งออกมาจากมุมประตูทางทิศตะวันออก “ท่านโหวเจ้าคะ!”
มองดูโคมสีแดงที่อยู่ใต้ทางเดิน พวกนางคือเฉียวเหลียนฝังและซิ่วหยวน
สวีลิ่งอี๋ตกใจ “เวลานี้ เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
เฉียวเหลียนฝังและซิ่วหยวนรีบเดินไปที่เรือนหลัก ไปสืบมาจากป้ารับใช้ที่เฝ้าประตูถึงรู้ว่าสวีลิ่งอี๋ยังไม่กลับมา ตอนเย็นลมแรง ซิ่วหยวนกลัวว่าเฉียวเหลียนฝังจะเป็นหวัด เกลี้ยกล่อมให้นางกลับไป ตัวเองจะรออยู่ที่มุมประตูเอง เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋กลับมานางก็รีบไปรายงานเฉียวเหลียนฝังทันที เฉียวเหลียนฝังรีบเดินมาที่นี่ จากนั้นก็ได้ยินว่าคุณนายใหญ่สกุลหลัวมา นางเห็นว่ามันดึกแล้ว คิดว่าคุณนายใหญ่สกุลหลัวคงจะอยู่อีกไม่นานจึงรออยู่ที่ประตูทางทิศตะวันออก ใครจะรู้ว่า ไม่เพียงแค่รอจนคุณนายใหญ่สกุลหลัวกำลังจะกลับไป แต่สวีลิ่งอี๋ก็กำลังจะออกไปด้วยเช่นกัน
แต่นางสนใจอะไรมากไม่ได้จึงเดินออกมา
“ท่านโหวเจ้าคะ!” นางย่อเข่าคำนับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋รีบเข้าไปประคองนาง “เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ไม่ต้องพิธีรีตองมากนัก”
เฉียวเหลียนฝังที่เดิมทียังไม่สบายใจก็สงบสติอารมณ์ลงทันที
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ดึกมากแล้ว ท่านโหวจะออกไปข้างนอกหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “ข้ากำลังจะออกไปข้างนอก เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ”
เฉียวเหลียนฝังมองไปที่คุณนายใหญ่แล้วลังเลที่จะพูด
คุณนายใหญ่เห็นเช่นนี้ก็เดินไปข้างหน้าสองสามก้าว “ข้านั่งรถม้า ท่านโหวขี่ม้า เช่นนั้นข้าขอตัวไปก่อนนะเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็เรียกสืออีเหนียง จากนั้นก็พูดกับเฉียวเหลียนฝัง “เจ้ามีเรื่องอันใดก็พูดกับฮูหยินเถิด ตอนนี้ข้าจะออกไปข้างนอก” เขาพูดกับสืออีเหนียง “เจ้าดูว่าเฉียวเหลียนฝังมีเรื่องอันใด หากไม่สบายใจก็ไปบอกพ่อบ้านไป๋”
คุณนายใหญ่ที่ยังเดินออกไปได้ไม่ไกลนั้นได้ยินอย่างชัดเจน
นางอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ
ท่านโหวบอกให้สืออีเหนียงเป็นคนดูแลอนุภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ แสดงให้เห็นว่าเขาไว้วางใจสืออีเหนียง ไม่แปลกที่สืออีเหนียงไม่กังวลว่าท่านโหวจะไม่มีสาวใช้ห้องข้าง จะว่าไปแล้ว จุดประสงค์ที่จัดสาวใช้ห้องข้างก็เพราะว่าอยากจะมัดใจท่านโหวเอาไว้
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตอบรับ “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าให้เฉียวเหลียนฝัง พาบ่าวรับใช้ออกไปกับคุณนายใหญ่สกุลหลัว
ทันใดนั้น ประตูลานก็เงียบสงัด
เฉียวเหลียนฝังมองแผ่นหลังของสวีลิ่งอี๋แล้วอดไม่ได้ที่จะกัดริมฝีปากของตัวเอง
แต่สืออีเหนียงกลับเชิญนางไปนั่งในห้องโถงอย่างสุภาพ “…เฉียวอี๋เหนียงกำลังตั้งครรภ์ มีเรื่องอันใดก็เอ่ยบอกข้ามาเถิด” นางพูด “ท่านโหวก็บอกแล้วว่า หากข้าช่วยเหลือไม่ได้ก็บอกพ่อบ้านไป๋ให้ช่วยเจ้า”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” เฉียวเหลียนฝังปฏิเสธอย่างลังเล “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร…”
ซิ่วหยวนเห็นเช่นนี้ก็เป็นกังวล
หากทำให้สืออีเหนียงสงสัยแล้วจงใจขัดขวาง ต่อไปหากอยากจะเจอกับท่านโหวก็คงจะยากกว่าเดิม
นางรีบพูดแทรก “ที่จริงแล้วเฉียวอี๋เหนียงมาหาฮูหยินเจ้าค่ะ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับท่านโหว จึงเดินเข้าไปทักทาย” พูดจบนางก็ดึงเสื้อของเฉียวเหลียนฝัง
เฉียวเหลียนฝังรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่นางก็ยังไม่พอใจ สีหน้ายังคงลังเล
ซิ่วหยวนช่วยเฉียวเหลียนฝังพูด “เฉียวอี๋เหนียงอยากจะเจอนายหญิงเฉียว แต่รู้สึกไม่สบายใจจึงกำลังลังเลอยู่เจ้าค่ะ”
ถึงอย่างไรท่านโหวก็บอกแล้วว่าหากสืออีเหนียงช่วยไม่ได้ก็ให้พ่อบ้านไป๋ช่วย แต่สำหรับสืออีเหนียงแล้ว เรื่องนี้นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่ใครจะรู้ว่าสืออีเหนียงไม่ได้ปฏิเสธอย่างรวดเร็วเหมือนปกติ แต่กลับพูดว่า “เฉียวอี๋เหนียงไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเจอแขกได้หรือไม่ เช่นนั้น ข้าขอถามท่านป้าสองคนก่อนแล้วค่อยบอกเจ้า?”
ท่านป้าสองคนที่นางพูดถึงก็คือ ป้าเถียนและป้าวั่นที่ไท่ฮูหยินส่งมาช่วยดูแลนาง
เฉียวเหลียนฝังได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิด นางยิ้มแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นก็รอให้ฮูหยินถามท่านป้าสองคนก่อนแล้วค่อยว่ากันเจ้าค่ะ!” จากนั้นนางก็พาซิ่วหยวนกลับเรือนของตัวเอง
ระหว่างทาง ซิ่วหยวนพูดเบาๆ “คุณหนูเจ้าคะ เห็นได้ชัดว่าสืออีเหนียงพยายามปฏิเสธ ท่านควรจะไปเจอท่านป้าสองคนนั้นกับนางแล้วค่อยวางแผนนะเจ้าคะ…”
เฉียวเหลียนฝังยิ้มแล้วส่ายหน้าให้นาง “ท่านโหวไม่อยู่ด้วย พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์”
ซิ่วหยวนครุ่นคิดก็พบว่ามันก็สมเหตุสมผล
คนอื่นรู้จะมีประโยชน์อะไร ต้องให้ท่านโหวรู้!
นางจึงไม่พูดอะไรอีก รับใช้เฉียวเหลียนฝังกลับไปพักผ่อน
สืออีเหนียงคิดดูแล้วก็เข้าใจ
นางอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็บอกให้ลี่ว์อวิ๋นไปเชิญท่านป้าสองคนนั้นมา
เมื่อรู้เจตนาแล้ว ท่านป้าสองคนก็บอกว่า “เฉียวอี๋เหนียงแข็งแรงดี ไปเจอแขกน่าจะไม่มีปัญหาอะไรเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็พูดด้วยความเกรงใจ “ข้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ ต่อไปคงต้องขอคำแนะนำจากท่านป้าทั้งสองคนแล้ว”
ท่านป้าทั้งสองคนรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่กล้าเจ้าค่ะ”
พูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นสืออีเหนียงก็ส่งแขกออกไป
ลี่ว์อวิ๋นรับใช้นางพักผ่อน นางลังเลที่จะพูดตั้งหลายครั้ง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาเถิด”
ลี่ว์อวิ๋นพูด “ข้าเห็นว่าปกติฮูหยินใจกว้างกับทุกคน แต่เพราะเหตุใดถึงไม่ถือโอกาสให้รางวัลท่านป้าสองคนนั้นล่ะเจ้าคะ”
สืออีเหนียงพูดเป็นนัย “ข้ากลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด”
ลี่ว์อวิ๋นได้ยินเช่นนี้ก็ครุ่นคิด
—————————–
[1]อี้หมู่เฉ่า เป็นสมุรไพรจีนช่วยให้เลือดและลมปราณไหลเวียนดี ปรับประจำเดือน ขับปัสสาวะ ลดบวม