พระชายาย่อมเคยสงสัยเหยาฝู นางร้องไห้ต่อหน้าองค์รัชทายาท “หม่อมฉันเคยถามนาง แต่นางบอกว่ามิใช่นาง”
องค์รัชทายาทมองพระชายาของตนเอง นางบอกว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่หรือ?
“หม่อมฉันขังนางไว้ในพระราชวัง จับตาดูนางอยู่ตลอด” พระชายาหลั่งน้ำตา พูดด้วยความโกรธ “กำชับนางอย่าได้กระทำการบุ่มบ่ามในทุกวัน รอองค์รัชทายาทท่านเสด็จมาค่อยหารือ ไม่คิดว่านาง...หม่อมฉันเสียใจที่พานางมาเสียจริง”
พูดพลางจับมือขององค์รัชทายาท
“หม่อมฉันก่อปัญหาให้องค์รัชทายาทเพคะ”
ทางเหยาฝูนับตั้งแต่คุกเข่าลงก็ก้มหน้าอยู่ตลอด ไม่โต้เถียงไม่แก้ตัว
องค์รัชทายาทยกมือเช็ดน้ำตาให้พระชายา “ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าเติบโตอยู่แต่ในจวน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง หากนางแม้แต่หลอกเจ้ายังทำไม่ได้ ข้าจะให้นางไปหลอกหลี่เหลียงได้อย่างไร”
พระชายากอดมือขององค์รัชทายาทแนบไว้บนหน้าและหัวใจ ดวงตาจ้องมององค์รัชทายาทด้วยความเคารพรัก “องค์รัชทายาท…”
องค์รัชทายาทดึงมือกลับมา “เอาเถิด เจ้าไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อน ใบหน้าของเจ้าร้องไห้จนเปรอะเปื้อนแล้ว ยังต้องไปงานเลี้ยงอีก…เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าถามนางเอง”
พระชายาลุกขึ้นอย่างดีใจ ถลึงตาใส่เหยาฝูด้วยความแค้น “องค์รัชทายาทเพคะ อย่าได้สงสารนางที่เป็นน้องสาวของหม่อมฉันจนไม่อาจลงโทษได้”
องค์รัชทายาทยิ้ม “รู้แล้ว เจ้ารีบไปเถิด”
พระชายาคำนับองค์รัชทายาทและเดินออกไป
องค์รัชทายาทปลดแขนเสื้อออกอย่างช้าๆ ไม่มองเหยาฝูที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พลางเอ่ย “เจ้าเก่งเหลือเกิน ทำให้เฉินตันจูจำเป็นต้องก่อเรื่องมากมายเช่นนี้อย่างไร้สุ้มไร้เสียง”
เหยาฝูก้มหน้าร้องไห้ “องค์รัชทายาทอภัยให้หม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันไม่รู้ว่าเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งๆ ที่…”
ทั้งๆ ที่ทุกครั้งนางล้วนต้องการให้เฉินตันจูสร้างความเกลียดชัง สร้างความโกรธของเหล่าผู้คน แต่กลับไม่ได้ทำร้ายตัวของเฉินตันจูแม้แต่น้อย เรื่องนี้โทษนางไม่ได้อย่างแท้จริง ล้วนเป็นเพราะความโปรดปรานของฮ่องเต้…
องค์รัชทายาทหันมามองนาง พูดขัด “เจ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าไม่คิดว่าตนเองกระทำผิด?”
เหยาฝูเงยหน้าขึ้น น้ำตานองหน้า หยดน้ำตาหลั่งไหลลงมาอย่างมากมาย แต่ไม่ได้อ่อนแอเหมือนตอนที่เผชิญหน้ากับพระชายา “องค์รัชทายาท เฉินตันจูแย่งชิงผลงานของท่าน อีกทั้ง เฉินตันจูยังมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะรู้ความสัมพันธ์ระหว่างหลี่เหลียงกับพวกเรา นางไม่มีทางยอมแค่นี้อย่างแน่นอน องค์รัชทายาทพวกเรากับเฉินตันจูไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้เพคะ…”
องค์รัชทายาทเดินเข้ามา บีบหน้าของนางเอาไว้ “ข้าบอกว่าเจ้าผิด เพราะว่าเจ้าใช้ความฉลาดผิดที่ เหยาฝู การรับมือกับชายหนุ่มแตกต่างจากการรับมือกับหญิงสาว”
เหยาฝูผงะ สายตาแสดงออกถึงความอ่อนแอและสับสัน ราวกับเด็กเล็ก…อย่างน้อยนางยังจดจำวิธีการรับมือกับชายหนุ่มได้ตลอดเวลา
“เรื่องที่เจ้าทำเหล่านี้ สำหรับเฉินตันจูแล้ว ล้วนเป็นการถือมีดดาบทิ่มแทงเนื้อหนังของนาง”
องค์รัชทายาทพูด นิ้วของเขาบีบผิวที่บอบบางของเหยาฝูราวกับไม่ตั้งใจ “สำหรับคนส่วนมากแล้ว เนื้อหนัง รูปลักษณ์ภายนอก ชื่อเสียงสำคัญอย่างมาก แต่สำหรับเฉินตันจู ถึงแม้จะทิ่มแทงจนเลือดอาบ ดูแล้วเจ็บปวดอย่างมาก แต่ก็ทำให้ฝ่าบาทยิ่งสงสาร ยิ่งเห็นใจนางมากขึ้น”
เป็นเช่นนี้หรือ เหยาฝูคุกเข่าอยู่อย่างนั้น ราวกับเข้าใจแต่ก็ราวกับสับสน นางอดยื่นมือไปจับมือขององค์รัชทายาทไม่ได้ “องค์รัชทายาท…หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ…”
มือขององค์รัชทายาทชักกลับมา ไม่ได้ให้นางจับเอาไว้
ใบหน้าของเหยาฝูแดงก่ำ นางก้มหน้าลงเผยให้เห็นลำคอยาวขาว น่าหลงใหลอย่างมาก
องค์รัชทายาทปลดชุดต่อ ไม่มองหญิงงามที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “เจ้าไม่ต้องนำกลอุบายของเจ้ามาใช้กับข้า” เขาปลดเสื้อออก ทิ้งไว้บนพื้น เดินผ่านเหยาฝูไปอีกด้าน เปิดม่านขึ้น ไอร้อนภายในห้องกระจายออกมา มีนางกำนัลสี่คนถือเครื่องแต่งกายและรองเท้ายืนรับใช้อยู่
เหยาฝูมองเท้าคู่ใหญ่เดินผ่านไป รอจนกระทั่งเสียงน้ำดังขึ้นจึงเงยหน้าขึ้นมา มองเงาด้านหลังม่านนั้น ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ และยืดตัวขึ้น
ไม่ว่าอย่างไร การรับมือกับคนฉลาดง่ายกว่าการรับมือกับคนโง่เขลา หากยอมรับว่าตนเองเป็นคนกระทำต่อหน้าเหยาหมิ่น หญิงโง่นางนั้นคงโกรธจัด คิดว่านางเป็นคนก่อปัญหา จากนั้นคงลงโทษนาง ไม่แม้แต่จะฟังคำอธิบาย แตกต่างจากองค์รัชทายาท องค์รัชทายาทรับฟัง จากนั้นเลือกสิ่งที่ต้องการ อีกทั้งไม่ขับไล่นางเพราะเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้…หญิงงามอย่างนาง เก็บไว้ยังมีประโยชน์
เหยาฝูยกมือขึ้นลูบใบหน้าอ่อนนุ่มของตนเองเบาๆ
การเสด็จกลับมาขององค์รัชทายาททำให้ราษฎรในเมืองหลวงถกเถียงกันอยู่หลายวัน นอกจากนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด เมื่อเทียบกับองค์รัชทายาท เหล่าราษฎรตื่นเต้นในการถกเถียงเรื่องของเฉินตันจูมากกว่า
เฉินตันจูเดินทางไปหน้าประตูเมืองอีกหลายครั้ง แต่ยังคงถูกทหารกีดขวางขับไล่ เหล่าราษฎรถึงได้เชื่อว่าเฉินตันจูถูกสั่งห้ามเข้าเมืองจริงๆ !
ต่อจากนี้เฉินตันจูจะถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงหรือไม่
เมื่อคิดว่านางจะถูกฮ่องเต้ลงโทษจริงๆ แล้ว ทุกคนต่างตื่นเต้น อีกทั้งยังมีความสงสัย เพราะเหตุใด เฉินตันจูทำสิ่งใดให้ฮ่องเต้กริ้วหนักถึงเพียงนี้
ดังนั้น เรื่องที่เฉินตันจูบาดหมางกับฮ่องเต้ยิ่งแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ที่แท้เฉินตันจูบังคับให้ฝ่าบาทยกเลิกทะเบียนเหลืองและหนังสือแนะนำ ให้บัณฑิตสามัญชนมีความเท่าเทียมกับบัณฑิตชนชั้นสูง…
ฟังดูเก่งกาจอย่างมาก แต่สำหรับเหล่าราษฎรแล้ว เรื่องของบัณฑิตไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ถึงแม้จะเท่าเทียมกัน แต่ชนชั้นสูงและสามัญชนอย่างไรก็คนละชนชั้น พูดตามตรง เฉินตันจูยังคงก่อกวนฮ่องเต้และกั๋วจื่อเจี้ยนเพื่อสามัญชนผู้นั้น บางที นางยังต้องการบริวารมากขึ้น…
เพียงแค่ติดตามนาง คนผู้นั้นย่อมมีความก้าวหน้า ได้เข้าศึกษาในกั๋วจื่อเจี้ยน เท่าเทียมกับบัณฑิตชนชั้นสูง
บทสนทนาของเหล่าราษฎรยิ่งสนุกสนาน แต่สำหรับชนชั้นสูงแล้ว พวกเขาหัวเราะไม่ออกแม้แต่น้อย
“นางต้องการถอนรากถอนโคนพวกเรา!”
จวนใหญ่ของชนชั้นสูงจำนวนมาก หรือแม้แต่จวนของชนชั้นสูงที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวง ผู้อาวุโสในตระกูล หรือนายท่านที่ยังอายุน้อยต่างกำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดมุ่น ทำให้บุตรหลานในตระกูลต่างกังวลเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์การแย่งชิงของราชสำนักกับเหล่าท่านอ๋อง หรือว่าเรื่องย้ายเมืองหลวง พวกเขาล้วนไม่เคยเห็นผู้ใหญ่ในจวนเคร่งเครียดเพียงนี้ แต่ในเวลานี้กลับเคร่งเครียดเพราะหญิงสาวที่ขายนายเพื่อเกียรติยศของตนเอง…
เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ว่าเรื่องสงครามก็ดี ย้ายเมืองหลวงก็ดี สุดท้ายก็เป็นเรื่องของฮ่องเต้ หากจะพูดอย่างไม่เกรงกลัวโทษประหาร ฮ่องเต้เปลี่ยนถ่ายหมุนเวียนไป ส่วนตระกูลชนชั้นสูงของพวกเขาย่อมมีความยั่งยืนกว่าฮ่องเต้ เพราะไม่ว่าฮ่องเต้องค์ใด ย่อมต้องการการสนับสนุนจากชนชั้นสูง ส่วนชนชั้นสูงอาศัยราชวงศ์ในแต่ละยุคเติบโตขึ้นมา จนรุ่งเรืองถึงเพียงนี้
การเติบโตของตระกูลย่อมต้องอาศัยลูกหลานแต่ละรุ่นในการสืบทอดและขยายฐานะอำนาจ เมื่อมีอำนาจและฐานะ ถึงจะมีที่ดินแปลงนา มีความมั่งคั่งที่ไม่ขาดสาย จากนั้นใช้ความมั่งคั่งเหล่านี้ในการเสริมสร้างอำนาจและฐานะให้แข็งแกร่ง สืบทอดต่อไปอย่างต่อเนื่อง…
แต่เวลานี้สิ่งที่เฉินตันจูพูด คือต้องการให้บัณฑิตสามัญชนได้รับความเท่าเทียมเหมือนดั่งบัณฑิตชนชั้นสูง ย่อมเท่ากับทำให้ชนชั้นสูงสูญเสียอำนาจและฐานะที่มีอยู่ในราชสำนักไป เช่นนี้ย่อมเปรียบเสมือนบ่อน้ำที่ขาดน้ำ ต้องแห้งเหือดไปไม่ช้าก็เร็ว
แต่ก่อนเคยมีตระกูลชนชั้นสูงล่มสลายไปเพราะการสงคราม หลงเหลือผู้สืบตระกูลเพียงคนเดียว หลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นบุตรหลานของตระกูลชนชั้นสูงตระกูลหนึ่ง เขาจึงถูกรายงานต่อราชสำนักทันที ฮ่องเต้องค์ใหม่จึงรีบปลอบประโลมและพยุงเขาขึ้นมา พระราชทานที่ดินแปลงนาและตำแหน่งขุนนาง คนผู้นี้จึงสามารถสืบทอดตระกูล และฟื้นฟูตระกูลกลับมาได้…
เวลานี้เฉินตันจูบอกให้สร้างความเท่าเทียมระหว่างชนชั้นสูงและสามัญชน ใช้ความสามารถในการแต่งตั้งตำแหน่ง เช่นนั้นฮ่องเต้ย่อมไม่จำเป็นต้องให้สิทธิพิเศษแก่ชนชั้นสูงคนใด เช่นนั้นบุตรหลานของตระกูลชนชั้นสูงที่ล่มสลายย่อมต้องหายลับไปในหมู่คน
ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าการสงครามและย้ายเมืองหลวง หรือเปลี่ยนฮ่องเต้เสียอีก เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นความตายอย่างแท้จริง
ผู้อาวุโสในตระกูลอธิบายต่อเหล่าลูกหลาน
“แน่นอน พวกเราย่อมไม่ได้กังวลเพราะเฉินตันจู หญิงสาวอย่างนางยังไม่อาจตัดสินความเป็นความตายของพวกเราได้” เขาพูดอีกครั้ง สายตามองไปยังทิศทางของเมืองหลวง “พวกเรากังวลเพราะท่าทีของฝ่าบาท”
หากฮ่องเต้ปล่อยปละเฉินตันจู แสดงว่า…
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนดีใจคือ ข่าวที่ส่งออกมาจากในเมืองหลวง ฮ่องเต้ตัดสินใจขับไล่เฉินตันจูอย่างกะทันหัน