หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 875 จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์

บทที่ 875 จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์

“เป่าเล่อ สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้องแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่รู้รายละเอียด แต่ข้าก็รู้ว่าเครื่องหมายบอกตำแหน่งของอารยธรรมครามทองคำนั้น คนภายนอกไม่สามารถชิงไปได้ จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้มันมาโดยบังเอิญ และจะถูกส่งต่อได้ก็ต่อเมื่อราชวงศ์ยอมส่งมอบให้ด้วยความเต็มใจเท่านั้น สำหรับอารยธรรมครามทองคำแล้ว การช่วยราชวงศ์ทำลายสำนักใหญ่ทั้งสามเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ยอมเสียสละมากมายเพียงเพื่อผลประโยชน์หยิบมือซึ่งส่งผลต่อโอกาสในการเข้าสู่สุสานดวงดาราแน่

“ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเป็นพันธมิตรและร่วมมือกับราชวงศ์”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้และผนวกกับข้อมูลเดิมที่ชายหนุ่มรู้อยู่แล้ว หวังเป่าเล่อก็เริ่มเข้าใจเหตุผลในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เมื่อเขาคิดไปถึงเรื่องที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ซึ่งชายหนุ่มเห็นว่าอยู่ในกำมือตนแล้ว กำลังจะถูกแย่งชิงไป หวังเป่าเล่อก็อดรู้สึกโกรธไม่ได้ เขากำลังชั่งใจอย่างหนัก

“อารยธรรมครามทองคำมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักกี่คนกัน” หวังเป่าเล่อรีรออยู่ก่อนจะถามอีกครั้ง

“ในอารยธรรมครามทองคำมีสำนักใหญ่อยู่ห้าสำนักด้วยกัน สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในลำดับที่ห้า มีระดับดาวพระเคราะห์สามคน หากนับรวมกันทั้งอารยธรรมก็คงมีอยู่ราวๆ สิบแปดคนด้วยกัน!” เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ถอนใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อไป

“ตามแผน พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่เป็นระลอก แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ ส่งผลให้ประตูดารานิรันดร์ไม่อาจเปิดได้เต็มที่ ทำให้อารยธรรมครามทองคำจุติลงมาพร้อมกันทั้งหมดไม่ได้…” เมื่อพูดถึงตรงนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เหลือบตาไปมองหวังเป่าเล่อเหมือนว่ารู้คำตอบอยู่ในใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้มาจุติระลอกแรก เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การกำจัดสามสำนักใหญ่ด้วยตนเอง แต่มาเพื่อเปิดประตูดารานิรันดร์อีกครั้งที่นี่ เพื่อให้การจุติระลอกสองสะดวกยิ่งขึ้น จากนั้นพวกเขาจึงจะกำจัดสามสำนักใหญ่ด้วยกันแล้วค่อยวางแผนการเข้าสู่สุสานดวงดารา”

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงต้องถอยไปยังดารานิรันดร์หลังจากพ่ายศึกที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ แม้หลังจากได้รู้ข้อมูลหวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะต้องถูกกำจัดไป แต่ความไม่สบอารมณ์ในใจก็ผลักดันให้เขาไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มควรจะลองสู้ดูเมื่อยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก

“เยี่ยเหมิง เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ เมื่อทุกอย่างจบลง ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังโลกให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”

การถูกหวังเป่าเล่อจับตัวมาต่อหน้าศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจดีว่า ต่อให้นางกลับไปและมีอาจารย์คอยช่วยปกป้อง ก็คงเป็นการยากที่นางจะอธิบายได้ว่ารอดมาได้อย่างไร หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ หวังเป่าเล่อเมื่อเห็นดังนั้นก็พาเจ้าเยี่ยเหมิงกระโดดออกมาจากใต้พื้นผิวดาวเอกที่ร่างจริงของเขาอยู่ จากนั้นจึงพลิกกายกระโดดออกมาอีกรอบ เมื่อมาปรากฏตัวใหม่ คนทั้งคู่ก็มาอยู่ในอวกาศเรียบร้อย ชายหนุ่มพลิกตัวอีกแล้วพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้ากลับดาวเคราะห์มหาทัณฑ์

ทั้งสองกลับมาอย่างรวดเร็วเพราะความเร็วของหวังเป่าเล่อ หลังจากหวังเป่าเล่อส่งเจ้าเยี่ยเหมิงที่ฐานที่มั่นของกองทหารผ่าวิญญาณ ชายหนุ่มก็ไม่รอช้าอยู่ เขารีบไปยังประตูหลักของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทันที

สถานะและตัวตนของชายหนุ่มตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน เขาไม่ต้องรายงานการมาถึงด้วยซ้ำ แถมยังไม่ต้องซ่อนคลื่นรบกวนของดวงจิตเทพของตนด้วย หวังเป่าเล่อแพร่คลื่นรบกวนออกมาอย่างเต็มที่เมื่อมาถึง

“ท่านปรมาจารย์ ข้าน้อยหลงหนานจื่อขอคารวะ!” แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะให้การยอมรับแถมยังเรียกเขาว่าสหายร่วมสำนักเต๋า หวังเป่าเล่อก็ยังคงหลักแหลมและรอบคอบกับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าตัวเขายังไม่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะไม่แสดงความแข็งแกร่งออกมา เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นไม่ได้มีผล รังแต่จะทำให้ผู้คนดูถูก แต่ขณะนี้เมื่อความแข็งแกร่งของชายหนุ่มเป็นที่ประจักษ์ การอ่อนน้อมถ่อมตนจึงมีผลเป็นอย่างยิ่ง

ทันทีที่ดวงจิตเทพของเขาแผ่ออกไป พายุหมุนก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าเขา พายุหมุนนั้นส่องสว่างเจิดจ้า แสดงให้โลกเห็นมวลหมู่นกส่งเสียงร้องเริงร่าและดอกไม้จำนวนมากที่เบ่งบานอยู่ภายใน มองไปเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบและตำหนักหรูข้างเคียง ขณะเดียวกัน ปรมาจารย์ก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย พลางพยักหน้าและส่งยิ้มให้ชายหนุ่มผ่านพายุหมุนดังกล่าว ชายวัยกลางคนพึงพอใจเป็นอย่างมากที่หวังเป่าเล่อยังคงเรียกตนว่าปรมาจารย์ แต่ในแววตาที่จ้องมองหวังเป่าเล่อนั้น ลึกๆ มีประกายแห่งความละโมภที่คนภายนอกมองไม่เห็นสะท้อนอยู่

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ท่านได้รับข้อความเสียงของข้าแล้วใช่หรือไม่ มานี่เสีย!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผุดลุกขึ้นยืน พลางซุกซ่อนความโลภเอาไว้ในใจ

หวังเป่าเล่อก้าวยาวๆ เข้าไปในวังวนนั้น เมื่อชายหนุ่มมาถึง เขาก็มายืนอยู่ด้านนอกตำหนักหรูเคียงข้างกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้ามา ก็รีบยกมือประสานคารวะปรมาจารย์มหาทัณฑ์

“ท่านปรมาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าฝึกปราณอยู่ ขออภัยด้วยที่มาสาย”

“ไม่มีปัญหาเลย สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าเชิญท่านมาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องข้อมูลใหม่ที่ข้าเพิ่งได้รับมา สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงการรุกรานระลอกแรกของอารยธรรมครามทองคำเท่านั้น แม้ว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะล้มอยู่ในตอนนี้ แต่พวกเขาก็กำลังเตรียมการให้ราชวงศ์เปิดประตูเคลื่อนย้ายครั้งที่สองเพื่อปล่อยให้ระลอกสองมาที่นี่…พวกเราต้องโจมตีกลับให้เร็วที่สุด!”

“หืม” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มกำลังคิดจะพูดชักชวนให้ปรมาจารย์เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนในอนาคต แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะพูดขึ้นมาเสียเอง หวังเป่าเล่อจึงแสร้งทำเป็นลังเลอยู่ชั่วอึดใจ

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ การที่ท่านมีกริยาเช่นนี้ ข้าคาดเดาได้หรือไม่ว่าท่านมีแผนจะละทิ้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไป” สีหน้าของปรมาจารย์มหาทัณฑ์เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะปลดปล่อยพลังปราณออกมาจากกาย แววตาแสดงความดุร้ายในบัดดล

การกระทำทั้งหมดของปรมาจารย์ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสงสัยมากขึ้น แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าข้อมูลที่ตัวเขาได้รู้มาจากเจ้าเยี่ยเหมิงอาจเป็นความลับสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เช่นปรมาจารย์มหาทัณฑ์ย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา เขาจึงไม่แปลกใจนักที่ปรมาจารย์พูดเช่นนั้น เพียงแต่ว่า แม้มุมมองของปรมาจารย์จะเข้าแผนหวังเป่าเล่อ แต่ขั้นตอนของเขาก็ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย

ชายหนุ่มคาดหวังไว้ว่าจะต้องโต้เถียงกับปรมาจารย์ก่อนที่จะตกลงกันได้ แต่ขณะนี้ ปรมาจารย์กลับเสนอออกมาด้วยตนเอง หวังเป่าเล่อจึงเริ่มสงสัย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เก็บซ่อนอาการเอาไว้ กลับกัน เขาแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจนเพื่อหวังจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าขึงขังก่อนจะถอนหายใจออกมายืดยาว

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ข้ารู้ดีว่าท่านไม่ใช่คนตาขาวที่กลัวความตาย แต่ข้าก็รู้อีกด้วยว่าอารยธรรมครามทองคำนั้นแข็งแกร่งและเป็นกำลังรบที่น่าเกรงขามของดาราจักรลำดับที่สิบเก้า ข้าเข้าใจเช่นกันว่าแม้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะอยู่ห่างไกลจากพวกเขา แต่การจะบุกมาทำลายก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ท่านจะยอมให้บ้านของเราถูกรุกราน พี่น้องของเราถูกจับเป็นทาส และพวกเราที่เหลือต้องจากบ้านไปราวกับเป็นหมาข้างถนนอย่างนั้นหรือ นี่คืออารยธรรมของเรา! คือบ้านเรา!”

เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำหน้าไม่แน่ใจ สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทำมีเพียงการลักขโมยและปล้นสะดม ต้นกำเนิดของพวกเขามาจากโจรกลุ่มหนึ่ง และชายหนุ่มก็รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาได้ยินถ้อยคำเช่นนี้จากปากของหัวขโมย

“ถึงกระนั้น ท่านคิดว่าจะหนีพ้นอันตรายได้หรือ ต่อให้ท่านหนีไปจากที่นี่ได้ แต่ท่านจะหนีออกจากดาราจักรลำดับที่สิบเก้าได้หรือ หากทำไม่ได้ ท่านจะหนีจากผู้ปกครองแห่งดาราจักรลำดับที่สิบเก้าไปได้อย่างไรกัน ความแตกต่างเดียวก็คือท่านจะต่อสู้จนตัวตายหรือยอมคุกเข่ารอความตายเท่านั้น แทนที่จะเลือกหลบหนีและยอมแพ้ในขณะที่คุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิต ทำไมถึงไม่ลุกขึ้นสู้เล่า อาจจะยังมีโอกาสอยู่ก็เป็นได้ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ เราก็จะตายอย่างสมเกียรติในสนามรบโดยไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียดาย!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอ่ยทุกคำออกมาด้วยความตั้งใจและแน่วแน่ ในน้ำเสียงมีความเที่ยงธรรมและความรักชาติแฝงปนอยู่

“ท่านปรมาจารย์หมายความว่าอย่างไรกัน” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขากัดฟันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“หยุดการเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ครั้งที่สองและชะลอการมาถึงของการโจมตีระลอกสองเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน ก็หาโอกาส…สังหารสมาชิกราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมดเสีย เมื่อทำเช่นนั้นได้ เราก็จะได้เปรียบและสามารถหยุดกำลังเสริมของอารยธรรมครามทองคำได้!”

หลังจากที่ปรมาจารย์พูดจบ หัวใจของหวังเป่าเล่อก็กระตุกเพราะความรู้สึกประหลาดนั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้น นั่นเพราะแผนนั้นตรงกับแผนการในใจของชายหนุ่มทุกประการ

แผนของหวังเป่าเล่อคือการหาวิธีนำอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปที่อื่น หากเขาสามารถถ่วงเวลาได้นานพอที่จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์และนำมันไปผสานรวมกับอารยธรรมโลก จากนั้นก็ผสานมันเข้ากับดารานิรันดร์ของโลกและทำให้เป็นบริวารของสหพันธรัฐ แม้ว่าความคิดเช่นนี้จะเห็นแก่ตัว แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ใส่ใจอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในใจของเขามีเพียงสหพันธรัฐเท่านั้น

แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เสี่ยงมากและอาจทำให้สหพันธรัฐขัดแย้งกับอารยธรรมครามทองคำได้ง่ายๆ แต่ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ความมั่งคั่งมักได้มาจากสถานที่ที่อันตราย ชายหนุ่มเชื่อว่าแม้แต่ผู้นำต้วนมู่และปรมาจารย์มหาทัณฑ์หากได้คำนึงถึงผลได้ผลเสียแล้วก็คงต้องยอมเสี่ยงเช่นกัน

ในความเป็นจริงแล้ว หากสหพันธรัฐสามารถดูดซับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าไปแล้วขึ้นเป็นผู้นำได้ ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นบริวารและนำชีวิตของผู้ฝึกตนทั้งหมดในอารยธรรมไปอยู่ใต้อาณัติเพราะสูญเสียดารานิรันดร์ได้สำเร็จ ถ้าเป็นเช่นนั้น…มันก็จะเปรียบเสมือนการให้โอสถบำรุงขนานใหญ่กับสหพันธรัฐ ชายหนุ่มอาจช่วยยกระดับให้สหพันธรัฐได้เป็นการใหญ่ และระดับปราณของทุกๆ คนก็จะพุ่งสูงขึ้นอีกด้วย!

แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเกินไป และหวังเป่าเล่อก็ยังมีไพ่ตายที่เก็บเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่คาดฝันอีกมาก

แต่เงื่อนไขความสำเร็จของฉากดังกล่าวคือการลากเอาสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำให้ล่มสลายไปด้วย แต่ในตอนนี้ หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องลากอีกฝ่ายแต่อย่างใด เพราะเป็นพวกเขาต่างหากที่อยากจะลากชายหนุ่มลงไปด้วยกัน…

อาจจะต่างกันอยู่สักหน่อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์วางแผนจะสังหารราชวงศ์ให้หมด ส่วนแผนของข้าไม่ใช่การฆ่าแต่เป็นการจับกุม!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท