สวีลิ่งหนิงคิดว่าฮูหยินสามกังวลเกินไป เขายิ้มแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าที่บ้านจะมีแขกจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กอายุเจ็ดแปดขวบ แล้วอีกอย่างยังมีสวีซื่ออวี้อยู่ด้วย อาจจะแอบออกไปเล่นที่ไหนก็ได้”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน สวีซื่อฉินและสวีซื่อวี้ก็โผล่ออกมา “ท่านพ่อ ท่านตามหาข้าหรือขอรับ”
“เราเห็นว่าคนเยอะ เลยแอบไปอ่านหนังสือที่เรือนหน่วนเก๋อในสวนดอกไม้หลังจวนมาขอรับ” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วอธิบาย
สวีลิ่งหนิงเหลือบมองฮูหยินสามแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าบอกแล้ว!”
ฮูหยินสามเห็นว่าสวีซื่ออวี้อยู่ด้วยจึงไม่ซักถามอะไร เพียงแค่ตำหนิพวกเขาสองสามประโยคแล้วก็ปล่อยสวีซื่อฉินไป
“ท่านเห็นแล้วหรือยัง หากไม่พาฉินเกอไปด้วย เขาก็จะตัวติดกับอวี้เกอแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะไปก่อเรื่องอะไรบ้าง” ฮูหยินสามอดไม่ได้ที่จะบ่น “เช่นไรก็ต้องพาลูกๆ ไปด้วย รังเงินรังทองก็ไม่ดีเท่ารังของตัวเอง”
ได้ยินภรรยาพูดถึงสวีซื่ออวี้ คุณชายสามก็ไม่ค่อยพอใจ “เจ้าพูดอะไรกัน พวกเขาสองพี่น้องอายุไล่ๆ กัน เล่นด้วยกันได้นับเป็นเรื่องที่ดี...”
ฮูหยินสามคิดว่าตัวเองพูดผิด จึงรีบยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าหมายความว่า พวกเขาสองคนตัวติดกันเช่นนี้ จะทำให้เสียการเรียน ท่านโหวนั้นมีอำนาจ แน่นอนว่าอวี้เกอไม่จำเป็นต้องกังวล แต่เรานั้นไม่เหมือนกัน หากไม่เรียนหนังสือแล้วยังจะทำอะไรได้เจ้าคะ”
ประโยคนี้กระแทกใจคุณชายสามเข้าแล้ว เขาครุ่นคิดอยู่นานแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปบอกน้องสี่ ส่วนทางฝั่งท่านแม่ ให้เขาไปบอกเองน่าจะเหมาะสมกว่า”
ลูกคือหัวใจของฮูหยินสาม ถึงแม้ว่าจะได้ยินในสิ่งที่ตัวเองอยากได้ยิน แต่นางก็เร่งเร้าคุณชายสาม “เช่นนั้นก็ไปบอกตอนนี้เลยดีหรือไม่”
“พรุ่งนี้ค่อยบอกดีกว่า!” คุณชายสามหาวขึ้นมา “น้องสี่ไม่ได้ออกไปพบปะแขกหลายวันแล้ว คนของกรมกลาโหมสองสามคนที่เคยอยู่ใต้บังคับบัญชาเขาถือโอกาสนี้มามอมเหล้าเขา ข้าเห็นตอนที่เขาเดินออกไป เขายังเดินเซ”
สวีลิ่งอี๋ดื่มสุราไปไม่น้อย หากสังเกตเพียงสีหน้าจะไม่พบความผิดปกติอะไร แต่ดวงตาของเขานั้นเป็นประกายมากกว่าปกติ ตอนที่เขากลับมาสืออีเหนียงทำน้ำแกงแก้เมาให้เขา “…ข้าไปอยู่ที่ห้องปีกทางทิศตะวันออก เจ้าจะได้ไม่เหม็นกลิ่นสุรา” พูดจบก็ไม่รอให้สืออีเหนียงตอบกลับ เดินเซไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกทันที
สืออีเหนียงพาลี่ว์อวิ๋นและเยี่ยนหรงรับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า ปูเตียง รับใช้เขาทานน้ำแกงแก้เมา โชคดีที่สวีลิ่งอี๋เมาแล้วไม่ได้เอะอะโวยวาย เขานอนหลับไปอย่างสงบ
ตอนแรกสืออีเหนียงยังกังวล ต่อมาเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจึงบอกให้สาวใช้คอยรับใช้อยู่ข้างๆ บอกให้ลี่ว์อวิ๋นไปเรียกหู่พั่ว จู๋เซียงและคนอื่นๆ มาที่ห้องโถงใหญ่ ปรึกษาเรื่องงานที่ฮูหยินสามมอบหมายให้เมื่อสองสามวันนี้
ลี่ว์อวิ๋นตอบรับแล้วเดินออกไป แต่เยี่ยนหรงกลับเดินเข้าไปพูดเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวเห็นซิ่วหยวน สาวใช้ของเฉียวอี๋เหนียงลับๆ ล่อๆ อยู่ที่ประตูด้านข้างทางทิศตะวันออกเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าลองไปดู หากนางยังอยู่ที่เดิมก็ถามนางว่ามีเรื่องอันใด หากนางไม่ยอมพูดก็ไม่ต้องเกรงใจ ควรใช้กฎข้อไหนโต้ตอบก็ใช้กฎข้อนั้น เจ้าคือสาวใช้ระดับสองของข้า ส่วนซิ่วหยวนเป็นแค่สาวใช้ระดับสามของเฉียวอี๋เหนียง” นางเตือนเยี่ยนหรงที่พึ่งเลื่อนระดับขึ้นมา “หากนางมาดูว่าท่านโหวกลับมาแล้วหรือยังก็บอกนางตามตรงว่าท่านโหวเมามากแล้ว พักผ่อนไปแล้ว บอกให้นางมาพูดกับข้า”
เยี่ยนหรงครุ่นคิด ตอบรับแล้วขอตัวออกไป
หู่พั่ว จู๋เซียง ลี่ว์อวิ๋นและคนอื่นๆ ก็เข้ามา
ตอนนี้ลี่ว์อวิ๋นช่วยหู่พั่วดูแลเรือน รับผิดชอบดูแลบุคลากรในเรือนของสืออีเหนียง หงซิ่วและเยี่ยนหรงคอยช่วยจู๋เซียง หงซิ่วดูแลงานซักล้าง อาหารการกิน เยี่ยนหรงดูแลเสื้อผ้า เครื่องประดับและห้องเก็บของของสืออีเหนียง เมื่อไม่เห็นเยี่ยนหรง หงซิ่วจึงถามด้วยความแปลกใจ “ไปไหนแล้ว”
นางกำลังพูด เยี่ยนหรงก็เข้ามาพอดี
สืออีเหนียงพยักหน้าให้นางเบาๆ
เยี่ยนหรงก็รายงาน “ซิ่วหยวนบอกว่านางรับใช้เฉียวอี๋เหนียงพักผ่อนแล้ว แต่ได้ยินเสียงดังจากที่นี่จึงออกมาดูเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเลิกคิ้ว “แล้วเจ้าทำเช่นไร”
เยี่ยนหรงพูด “ทำตามกฎเจ้าค่ะ ประตูข้างทิศตะวันออกต้องปิดยามซวี แต่ตอนนี้ยามไฮ่แล้ว ข้าจึงหักเงินเดือนท่านป้าที่เฝ้าประตูครึ่งเดือนเป็นการลงโทษ แล้วบอกอีกว่า หากมีครั้งต่อไปจะไล่นางออกไปทันที”
“ไม่เลว ไม่เลว” สืออีเหนียงหัวเราะ เดิมทีคิดว่าเยี่ยนหรงจะใจกว้าง แต่คิดไม่ถึงว่านางก็เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง
ทุกคนถึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หงซิ่วอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่สืออีเหนียงกลับบอกให้ทุกคนนั่งลง “พรุ่งนี้ต้องไปดูเรื่องของห้องเก็บของกับฮูหยินสาม ทุกคนจำเอาไว้ เรายอมที่จะเสียเวลาแต่จะประมาทไม่ได้ ต้องรู้ว่า ระวังหัวขโมยทั้งเช้าและเย็น แต่หัวขโมยที่อยู่ในจวนของตัวเองระวังยากที่สุด กลัวว่าตอนนี้จะมีคนแอบเข้ามาขโมยผลประโยชน์ แต่เรื่องบางเรื่องพวกเจ้าก็ต้องคอยระวัง พวกเจ้าคอยดูแลของที่อยู่ในหนังสือบัญชี หากมีสิ่งใดผิดปกติก็ส่งให้คนของฮูหยินสามจัดการโดยตรง อย่าพูดอะไรมากหรือยื่นมือเข้าไปยุ่ง ต้องรู้ว่า หนังสือบัญชีของฮูหยินสาม รับมาจากมือของพี่หญิงใหญ่ อย่าให้ถึงตอนนั้นที่จับอะไรได้ขึ้นมา มันจะทำให้พวกเราดูแย่ เราแค่ตรวจหนังสือบัญชีให้ตรง ให้คนของฮูหยินสามลงนามแล้วส่งไปให้ไท่ฮูหยินดูก็พอแล้ว” จากนั้นก็ชี้ไปที่หู่พั่ว “เรื่องนี้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบ” แล้วกำชับสาวใช้คนอื่นๆ “มีอะไรก็บอกกล่าวกับหู่พั่วก่อน อย่ารีบเอะอะโวยวาย”
ทุกคนตอบรับ “เจ้าค่ะ” ด้วยความเคารพ นางพูดบอกอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ยกชาขึ้นมาจิบ
ช่วงบ่ายของวันต่อมา เยี่ยนหรงรีบมาหานาง “ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายใหญ่จวนจงฉินปั๋วสกุลกานมาเจ้าค่ะ ฮูหยินสามเรียกป้ากานและชิวหลิงกลับไปแล้ว เกรงว่าวันนี้คงจะตรวจหนังสือบัญชีไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ช่วงนี้แขกของครอบครัวคุณชายสามเยอะเป็นพิเศษ
สืออีเหนียงพยักหน้าแล้วถามนาง “มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” เยี่ยนหรงพูด “มีหนังสือบัญชีทั้งหมดสามสิบหกเล่ม ตอนนี้เราตรวจถึงเล่มที่สิบสอง ตรงกันทุกเล่มเจ้าค่ะ”
“ฮูหยินสามว่าเช่นไร บอกว่าประเดี๋ยวค่อยตรวจต่อ หรือว่าค่อยตรวจพรุ่งนี้?”
“ไม่ได้บอกอะไรก็เรียกคนกลับไปแล้วเจ้าค่ะ!” เยี่ยนหรงท้อใจ “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าคงต้องล่าช้าไปอีกสองสามวัน”
“ล่าช้าก็ล่าช้าเถิด!” สืออีเหนียงยิ้ม “คุณชายสามต้องไปรับตำแหน่งตามกำหนด ถึงแม้ว่าเราจะรอได้ แต่ฮูหยินสามต่างหากที่รอไม่ได้” จากนั้นก็กำชับนางให้ระวัง รอบคอบ แล้วก็กลับเข้าไปในห้อง ช่วงนี้เจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังเรียนเย็บปักถักร้อยกับนาง
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามา นางก็นำดอกกล้วยไม้หยกที่ตัวเองพึ่งจะปักไปได้ครึ่งเดียวมาให้สืออีเหนียงดู “ท่านแม่ ข้าทำถูกหรือไม่เจ้าคะ”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ละเอียดอ่อนมาก ทำสิ่งใดก็มีความตั้งใจ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
สืออีเหนียงหยิบมาดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าก้าวหน้าเร็วกว่าข้าเสียอีก”
นี่คือความจริง
ตอนนั้นนางไม่สบายใจ การปักเย็บคือการทำให้จิตใจสงบ ต่อมาสงบลงเยอะแล้ว ก็ปักเยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงค่อยสัมผัสได้ถึงความสุขที่ได้จากการเย็บปักถักร้อย
เจินเจี่ยเอ๋อร์พูด “ท่านแม่ล้อข้าอีกแล้ว”
เด็กที่รู้ความอย่างเจินเจี่ยเอ๋อร์ต้องเอ่ยชื่นชมให้มากๆ แต่หากชื่นชมแล้วก็จะชื่นชมอย่างมั่วๆ ไม่ได้
สืออีเหนียงชี้ไปที่ดอกกล้วยไม้หยกข้างหน้า “เจ้าลองเทียบดูสิ สวยกว่ามากเลยใช่หรือไม่”
เจินเจี่ยเอ๋อร์ตรวจสอบอย่างละเอียดก็เห็นว่ารอยปักละเอียดกว่ามาก
สายตาของนางเป็นประกาย เม้มริมฝีปากแล้วหัวเราะ
สืออีเหนียงก็หัวเราะเหมือนกัน
พวกนางสองคนเย็บปักถักร้อยไปสักพัก เมื่อเห็นว่าสายแล้วจึงไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
จุนเกอกำลังจับสวีซื่อเจี้ยท่อง ‘คัมภีร์สามอักษร’ เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามา เขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาแล้วร้องเรียก “ท่านแม่ ท่านแม่ขอรับ”
สืออีเหนียงก้มลงลูบหัวเขาเบาๆ “เดินระวังๆ หน่อย เช่นนี้จะล้มเอาได้ ไม่น่ามองเลย”
สวีซื่อเจี้ยยิ้มแล้วพยักหน้า
จุนเกอเดินมาคำนับสืออีเหนียง
พวกเขาเดินเข้าไปข้างในห้อง
ป้าสือกำลังพูดเรื่องบุตรสาวคนโตของสวีลิ่งควน “…ดวงตาราวกับองุ่นสีดำ คุณชายห้าอุ้มไม่ยอมวางเลยเจ้าค่ะ อยากจะอุ้มทั้งวันทั้งคืน” เหลือบไปมองสวีซื่อเจี้ยที่อยู่ข้างๆ สืออีเหนียง รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็หายไป จากนั้นก็เดินเข้ามาคำนับและทักทายสืออีเหนียง
ป้าตู้ยกเก้าอี้เข้ามาให้สืออีเหนียง “ไท่ฮูหยินคิดถึงหลานสาวตัวน้อย จึงเรียกป้าสือมาซักถามเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงถามถึงสถานการณ์ของเด็กกับป้าตู้ ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็ยิ้มแย้ม
แต่รอจนถึงยามโหย่วแล้ว ฮูหยินสาม สวีซื่อฉิน สวีซื่อเจี่ยนและสวีซื่ออวี้ก็ยังไม่มา ไม่เพียงแค่นั้น ยังไม่มีสาวใช้และบ่าวรับใช้มารายงาน
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “เกรงว่าคงจะมีแขก คงปลีกตัวออกมาไม่ได้เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินพูดอย่างใจเย็น “เช่นนั้นก็ไม่ต้องรอแล้ว ทานข้าวกันเถิด”
สืออีเหนียงประคองไท่ฮูหยิน เด็กสองสามคนก็เดินตามไปยังห้องปีกทางทิศตะวันออก
ทันทีที่ทุกคนนั่งลง ชิวหลิง สาวใช้ของฮูหยินสามก็เข้ามา บอกว่าฮูหยินสามมีแขก วุ่นวายเป็นอย่างมาก นางและเด็กๆ สามคนจะไม่มาแล้ว
ไท่ฮูหยินเลิกคิ้ว
สืออีเหนียงเห็นสีหน้าที่หม่นหมองของชิวหลิงก็แอบแปลกใจ แต่อยู่ต่อหน้าไท่ฮูหยินนางไม่กล้าถาม รับใช้ไท่ฮูหยินทานข้าวเย็น พูดคุยเป็นเพื่อนไท่ฮูหยินอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาเจินเจี่ยเอ๋อร์และสวีซื่อเจี้ยขอตัวลา
ใครจะรู้ว่าพวกเขาพึ่งจะออกมาจากประตูลานของไท่ฮูหยิน ก็มีคนคนหนึ่งวิ่งเข้ามา “ฮูหยินสี่เจ้าคะ ฮูหยินสามเชิญท่านไปดื่มชาที่เรือนเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเหลือบมอง นางคือชิวหลิงที่มารายงานเมื่อครู่
นึกถึงเรื่องที่หยุดตรวจหนังสือบัญชีกลางคันยามบ่าย คุณนายใหญ่จวนจงฉินปั๋วสกุลกาน สวีซื่อฉินพี่น้องสามคนที่ไม่มาทานข้าวเย็นที่เรือนของไท่ฮูหยิน…แล้วก็มองดูชิวหลิงที่รออยู่นอกประตูอีกครั้ง สัญชาตญาณของนางบ่งบอกว่าเรื่องราวไม่ธรรมดาแน่นอน แต่จะคิดอย่างไรก็เชื่อมโยงเรื่องพวกนี้เข้าด้วยกันไม่ได้
นางยิ้มให้ชิวหลิงอย่างนิ่งสงบ “ข้ากลับไปจัดการเด็กๆ เสร็จแล้วจะออกไป”
ชิวหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางฝืนยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ย่อเข่าคำนับแล้วเดินออกไป
สืออีเหนียงรีบเรียกลี่ว์อวิ๋น “เจ้าไปดูว่าท่านโหวและคุณชายสามกำลังทำอะไร คุณชายน้อยสองอยู่ที่ใด และคุณนายใหญ่จวนจงฉินปั๋วสกุลกานกลับไปเมื่อไร”
ลี่ว์อวิ๋นตอบรับแล้วเดินออกไป
หลังจากที่สืออีเหนียงจัดการเด็กสองคนเรียบร้อยแล้ว ลี่ว์อวิ๋นก็กลับมารายงาน “หม่าจั่วเหวิน ใต้เท้าหม่าของคณะราชทูตมาเจ้าค่ะ ท่านโหวและคุณชายสามกำลังดื่มสุรากับใต้เท้าหม่าที่โถงบุปผาของลานนอก คุณชายน้อยสองไม่ได้อยู่ที่จวน เหวินจู๋สาวใช้ของเขาบอกว่า ชิ่นเซียงพาเขาไปที่เรือนของคุณชายน้อยใหญ่ตั้งแต่เช้าแล้วเจ้าค่ะ บ่าวไปถามที่เรือนของคุณชายน้อยใหญ่แล้ว สาวใช้ในเรือนบอกว่า คุณชายน้อยใหญ่และคุณชายน้อยสองไปเล่นที่เรือนของฮูหยินสาม ส่วนคุณนายใหญ่จวนจงฉินปั๋วสกุลกานพึ่งกลับไปได้ไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ได้ยินท่านป้าที่อยู่ที่ประตูฉุยฮวาบอกว่า คุณนายใหญ่สกุลกานท่าทางดูขุ่นเคือง ส่วนป้ากานที่ออกมาส่งแขกก็พยายามส่งยิ้มให้นาง”
สืออีเหนียงยังคงคิดไม่ออก นางพาหู่พั่วไปที่เรือนของฮูหยินสาม
มีโคมไฟสีแดงอยู่ที่หน้าประตูลานของฮูหยินสาม บรรดาสาวใช้ต่างพากันยิ้มหน้าบาน บรรยากาศครึกครื้นน่ายินดี มองไม่เห็นความผิดปกติอะไร
ชิวหลิงกำลังรออยู่บนขั้นบันได เดินเข้ามาคำนับ จากนั้นก็พาสืออีเหนียงไปที่เรือนหลักของฮูหยินสาม ระหว่างทางบรรดาสาวใช้และท่านป้าก็ล้วนแต่คำนับนางด้วยความเคารพ แต่ว่ายิ่งเดินเข้าไปที่เรือนหลักของฮูหยินสาม คนก็ยิ่งน้อยลง บรรยากาศพลันหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อชิวหลิงเปิดม่านห้องปีกทางทิศตะวันตกของห้องฮูหยินสาม สืออีเหนียงก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “อวี้เกอ”