ห๊ะ!
ผู้ชมต่างพากันแตกตื่นทันทีที่นางพูดเช่นนั้นออกมา!
การประลองแบบหนึ่งต่อสิบนั้นเข้าใจได้ไม่ยากนัก มันหมายถึงการสู้กับคนสิบคนภายในรอบเดียว ผู้ท้าชิงสามารถเลือกที่จะร่วมมือกันต่อสู้ได้ ในกรณีนี้ หากพวกเขาชนะการประลอง ก็จะสามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ทันที
แต่เป็นเพราะเงื่อนไขในการแข่งขันที่โหดเอาการ ดังนั้นนอกจากองค์ชายสามผู้เป็นอัจฉริยะที่ได้ประลองแบบสิบต่อหนึ่งและสามารถทำลายสถิติไปได้เมื่อสิบปีที่แล้ว การประลองรูปแบบนี้ก็ไม่เคยมีใครพูดถึงอีกเลย
แต่ในเวลาเช่นนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเสนอให้ใช้รูปแบบการประลอง ’หนึ่งต่อสิบ’ จริงๆ น่ะหรือ!? นางไม่รักชีวิตแล้วหรือไร ช่างอวดดีและโง่เขลายิ่งนัก!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ยกยิ้มแล้วหันไปขยิบตาให้เฮ่อเหลียนเหมย เฮ่อเหลียนเหมยพยักหน้า แล้วเดินขึ้นไปบนเวที ตามมาด้วยคุณชายจากตระกูลขุนนางสองคน และคุณหนูจากตระกูลขุนนางอีกเจ็ดคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาหมายจะเอาชีวิตของเฮ่อเหลียนเวยเวย!
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเวยเวยไร้การเปลี่ยนแปลง แต่รอยยิ้มที่อยู่บนมุมปากของนางกลับดูชั่วร้ายขึ้นเล็กน้อย
“แม่นาง เจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่หรือ” หยวนหมิงปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยยกริมฝีปากบางของตน ”นี่เป็นแค่การประลอง เจ้าหมายความอย่างไรที่ว่าข้าวางแผนอะไรอยู่”
หยวนหมิงเลิกคิ้วขึ้น แน่นอนว่าเขาไม่เชื่อนาง
และในตอนนั้นนั่นเอง
คนทั้งสิบก็เริ่มใช้พลังปราณทั้งหมดในร่างของตน ดวงตาของพวกเขาจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย พร้อมกับพุ่งเข้าใส่นาง ภาพนี้ทำให้ขันทีซุนถึงกับเหงื่อแตกพลั่กแทนนาง เฮ่อเหลียนเวยเวยมักจะใช้การต่อสู้แบบประชิดตัวอยู่เสมอ การต่อสู้ระยะประชิดนั้นจะสามารถใช้กระบวนท่าที่ดีที่สุดได้ก็ต่อเมื่อเป็นการประลองแบบตัวต่อตัว แต่ถ้าเผชิญหน้าแบบหนึ่งต่อสิบ การต่อสู้ระยะประชิดมีแต่จะทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตายเร็วขึ้นเท่านั้น
ทุกคนกลั้นหายใจ ในดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่สะท้อนอยู่ในตอนที่มองการต่อสู้บนเวที
แต่สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือการที่หมัดของคนทั้งสิบ รวมถึงของเฮ่อเหลียนเหมยนั้นอัดได้เพียงอากาศ!
เฮ่อเหลียนเหมยจ้องที่มือของตัวเองด้วยความตกใจ เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว แล้วถีบนางจนกระเด็นตกเวทีไปเสียแล้ว ทันทีที่เห็นภาพนี้ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก็พยายามรวบรวมพลังปราณทั้งหมดภายในร่างของตน แต่พวกเขากลับพบว่าไม่อาจทำได้!
เกิดอะไรขึ้นกันแน่
คนที่เหลือมองหน้ากัน เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รอให้พวกเขาได้แลกเปลี่ยนบทสนทนากัน เพราะนางย่นระยะเข้าไปอยู่ท่ามกลางพวกเขาราวกับกระบี่ที่ถูกชักออกจากฝัก แล้วคว้าแขนของหนึ่งในนั้นด้วยเรี่ยวแรงอันมหาศาล…
กร็อบ!
ในเวลาเดียวกันกับเสียงกระดูกแตก เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หมุนตัวกลับทันที เส้นผมสีดำของนางสะบัดพลิ้ว แล้วนางก็ยกขาข้างหนึ่งขึ้น ภายในชั่วพริบตา นางก็ถีบชายที่อยู่ถัดจากนางลอยออกไปหลายจั้ง!
ตูม!ตูม!ตูม!
แค่ภายในเวลาสั้นๆ ทุกคนที่มาท้าชิงก็ลงไปนอนกระจัดกระจายกันอยู่ทั่วเวที พวกเขากุมท้องด้วยความเจ็บปวด นอกจากรู้สึกว่าร่างกายของตนไร้เรี่ยวแรงแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเลยด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังสูญเสียพลังปราณไปเรื่อยๆ
นี่เป็นฤทธิ์ของผงสลายพัง ซึ่งสามารถทำลายพลังปราณในร่างของพวกเขาได้โดยที่เจ้าของร่างไม่รู้สึกตัว แต่ใช่ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะไม่สังเกตเห็นเรื่องนี้
หยวนหมิงปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกัน ความเข้าใจฉายชัดอยู่ในดวงตาของเขา ”เข้าใจล่ะ แม่นาง เจ้ารู้ว่าพวกเขาถูกวางยา เจ้าก็เลยปล่อยให้พวกเขาโจมตีเข้ามาหาเจ้าพร้อมกันหรือ”
“พวกเขาอุตส่าห์พยายามร่วมมือกันสอนบทเรียนให้ข้าเสียขนาดนี้ แน่นอนว่าข้าย่อมต้องตอบแทนน้ำใจของพวกเขาอยู่แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มเย็นชา เหมือนกับปีศาจที่ลืมตาขึ้นมาจากนรก
หยวนหมิงเองก็หัวเราะเช่นกัน ”ข้าประเมินดูแล้ว คาดว่าภายในเวลาครึ่งก้านธูป พวกเขาจะต้องทนทุกข์จากฤทธิ์ของพิษนั้นอย่างเต็มที่แน่นอน หึๆ คงน่ามองทีเดียว”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนตัวตรง ผู้ตัดสินจับมือข้างซ้ายของนางยกขึ้นเป็นการแสดงให้เห็นว่านางเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง
ผู้ชมต่างพากันแตกตื่น!
พวกเขาทำตาโตมองเฮ่อเหลียนเวยเวยที่อยู่บนเวที
หนึ่งต่อสิบหรือ
นางเอาชนะได้จริงๆ!
คนทั้งแผ่นดินกล่าวกันว่าบุตรสาวคนโตของตระกูลเฮ่อเหลียนนั้นทั้งหน้าตาอัปลักษณ์และเป็นคนไร้ค่า นอกจากเดินตามมู่หรงซื่อจื่อแล้ว นางก็ทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพายสักอย่าง ยังไม่ต้องพูดถึงความอัปลักษณ์ แม้แต่พฤติกรรมของนางก็น่ารังเกียจเสียจนไม่มีใครทนนางได้
แต่วันนี้ทุกคนกลับได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าแท้จริงแล้วผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ นางทั้งเด็ดเดี่ยว และมิได้ต่ำต้อย ซ้ำยังดูดีกว่าคนทั่วไปมากทีเดียว!
แต่เรื่องที่น่าเป็นห่วงก็คือการที่จุดอ่อนของนางได้ถูกเปิดเผยออกมาเสียแล้ว กระทั่งถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เคยแสดงออกมาให้เห็นเลยว่านางมีพลังปราณ!
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว จุดอ่อนนี้ถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก โดยเฉพาะเมื่อคู่ต่อสู้นั้นเป็นถึงยอดฝีมือด้านพลังปราณ!
เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์สังเกตเห็นจุดอ่อนข้อนี้ได้อย่างชัดเจน นางก้าวขึ้นไปบนเวทีด้วยรอยยิ้มบางๆ ดูประหม่าและอ่อนแอ ภาพนี้กระตุ้นให้บรรดาคุณชายทั้งหลายปรารถนารที่จะปกป้องนางขึ้นมาในใจ ดังนั้น ทุกคนจึงเห็นเพียงแค่ว่านางบังเอิญเดินขึ้นมาบนเวทีเท่านั้น และไม่ได้สังเกตเห็นแผนการร้ายที่ซ่อนอยู่ภายใต้การกระทำนั้นแม้แต่น้อย
“พี่ใหญ่” เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ถอนหายใจแล้วมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยราวกับว่านางทนไม่ไหวอีกต่อไป ”ข้าไม่ได้อยากจะฉวยโอกาสเอาเปรียบหรอกนะเจ้าคะ แต่ด้วยรูปแบบของการประลอง ข้าจึงจำเป็นต้องขึ้นมาในเวลานี้ ถ้าตอนนี้ท่านต้องการขอยอมแพ้ ก็ยังไม่สายเกินไปนะเจ้าคะ ท่านสามารถไปคุยกับผู้ตัดสิน แล้วขอให้พวกเขาอนุญาตให้ท่านขอยอมแพ้ได้”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเยาะเย้ยขึ้นเสียงดัง ”ถ้าเจ้าไม่ได้อยากฉวยโอกาสจริงๆ เช่นนั้นทำไมเจ้าถึงไม่แม้แต่จะให้เวลาข้าได้ดื่มน้ำสักหยดก่อนที่จะขึ้นมาบนเวทีล่ะ”
สีหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์เปลี่ยนไปเพราะคำพูดของเฮ่อเหลียนเวยเวย แม้แต่รอยยิ้มของนางก็แข็งค้างไป
สายตาเคลือบแคลงสงสัยจากคนที่อยู่ล่างเวทีทำให้นางหายใจเข้าลึกๆ
ตึง!
เสียงกลองดังขึ้น!
ทันใดนั้นใบหน้าของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็มีรอยยิ้มกลับคืนมา นางพึมพำให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น ”ครั้งนี้ข้าจะฆ่าเจ้าให้ได้!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินผ่านนางไป โดยไม่แม้แต่จะมองนางเลยด้วยซ้ำ
นังคนชั้นต่ำนี่กล้าดีอย่างไรถึงได้เมินนาง!
ทันทีที่เสียงกลองสิ้นสุดลง เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็กำมือข้างซ้ายของตนเอาไว้แน่น นางหรี่ตาลง จากนั้นทั่วทั้งร่างของนางก็มีแสงสีทองเรืองรอง พลังปราณที่สัมผัสได้ในอากาศนั้นรุนแรงราวกับคลื่นมหาสมุทร!
“นั่น นั่นมัน…”
ผู้คนที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกัน ปากและตาของพวกเขาค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นขณะที่จ้องมองเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ น้ำเสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ”ธาตุทองระดับเก้า!”
“ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าพลังปราณของเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์จะขึ้นไปถึงระดับนั้นแล้ว!”
ทั่วทั้งจักรวรรดิ มีคนเพียงโหลเดียวคนเท่านั้นที่สามารถทะลวงปราณขึ้นไปถึงธาตุทองได้ โดยเฉพาะคนที่สามารถทะลวงปราณไปจนถึงธาตุทองระดับห้าได้นั้นก็ยิ่งหายากอย่างมาก แต่เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์กลับฝึกฝนจนไปถึงระดับที่เก้าได้แล้ว! อีกเพียงระดับเดียว นางก็จะไปถึงระดับสูงสุดของธาตุทอง!
“นางต้องเป็นอัจฉริยะในตำนานอย่างแน่นอน เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์คู่ควรกับการเป็นพระชายาในอนาคตจริงๆ!”
เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมหมายความว่าโอกาสที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ของตนได้นั้นช่างน้อยนิด หากนางไร้ซึ่งพลังปราณ ก็เป็นไปได้มากที่นางจะถูกเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์บดขยี้จนตาย
เด็กสาวสองคนยืนเผชิญหน้ากันอย่างเย็นชาอยู่บนเวที ไม่มีใครรู้ว่าในวินาทีถัดไปนั้น ใครจะเป็นผู้ลงมือฉีกกระชากอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ กันแน่!
ทันใดนั้น เฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ก็ชักดาบออกมา ก่อให้เกิดคลื่นพลังหลายต่อหลายชั้น
“หมอกเอ๋ย จงกลืนกินทุกแสงสว่าง!”