หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 873 น้ำเย็นหล่อวิญญาณนี้อร่อยเหลือเชื่อ!

บทที่ 873 น้ำเย็นหล่อวิญญาณนี้อร่อยเหลือเชื่อ!

เมื่อได้ยินสองคำนั้น แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าตนเองมีความเข้าใจเรื่องตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่พอสมควรก็ยังตะลึงไปชั่วขณะ นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ยินชื่อจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย แต่ดาราจักรลำดับที่สิบเก้านั้น…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าระหว่างการต่อสู้ที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่ตะโกนชื่อนี้ออกมาครั้งหนึ่ง ตอนนี้เมื่อเขามาได้ยินจากเจ้าเยี่ยเหมิงอีกครั้ง ความอยากรู้อยากเห็นของหวังเป่าเล่อก็พุ่งสูงขึ้น ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกมา

“ข้าก็เพิ่งจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากมาถึงอารยธรรมครามทองคำและเข้ามาอยู่ในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ส่วนของจักรวาลที่พวกเราอยู่ตอนนี้มีชื่อว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น พวกเราเคยได้ยินชื่อนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณก่อนหน้านี้

“จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ จักรพิภพอมตะศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย และจักรพิภพสำนักเสริม สามยอดจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์กว้างไกลจนไร้ขอบเขต ตัวอย่างเช่น จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้ายประกอบไปด้วยจักรพิภพสามพันแห่งอยู่ภายใน และแต่ละจักรพิภพก็มีอารยธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่…ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้ตระกูลไม่รู้สิ้น…

“ที่ที่โลกมนุษย์ของเราอยู่ รวมไปถึงจักรวาลโดยรอบที่กว้างออกไปไกลโพ้น อยู่ในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย ภายในดาราจักรลำดับสิบเก้าในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย อารยธรรมที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ…อารยธรรมครามทองคำ!”

“พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย แค่เพราะมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์สามคนน่ะหรือ” หวังเป่าเล่อตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทั้งหมด และเหมือนว่าชายหนุ่มจะเปิดใจขึ้นบ้าง แต่เขาก็อดพึมพำไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มก็เคยพบผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์มาก่อน พวกเขาแข็งแกร่งก็จริง แต่เมื่อได้ยินชื่อศิษย์พี่เฉินชิงของเขา ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็สุภาพขึ้นมาทันที

สีหน้าของหวังเป่าเล่อจริงจังขึ้นมา ความแข็งแกร่งของอารยธรรมครามทองคำทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่า การต่อสู้ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์คงจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว

“แปลว่าอารยธรรมครามทองคำมีแผนจะโจมตีอีกระลอก…”

“อารยธรรมครามทองคำร่วมมือกับราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์และหมายตาว่าจะยึดที่นี่ สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงระลอกแรกเท่านั้น พวกเขาจะส่งระลอกสองและสามมาอีก อันที่จริงแล้ว หากจำเป็น ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อาจจะออกจากการถือสันโดษและจุติลงมาที่นี่ หากพวกเขาไม่สามารถรับสถานการณ์การต่อสู้ได้ เป่าเล่อ…เจ้าต้องออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!” เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดรัวเร็ว

หลังจากได้ยินเจ้าเยี่ยเหมิงพูดและคลายความสงสัยของตนเองลงแล้ว หวังเป่าเล่อก็หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

“ข้าหมายตาอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เอาไว้แล้ว…เดิมทีข้าตัดสินใจจะเข้าควบคุมที่นี่และใช้วิชาที่ศิษย์พี่สอนมาดึงมันกลับไปยังโลกมนุษย์ จากนั้นข้าก็จะให้ดารานิรันดร์ของทั้งสองผสานรวมกันเพื่อยกระดับพวกเราขึ้นไป…” หวังเป่าเล่อมีสีหน้ายุ่งเหยิงขณะมองเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างครุ่นคิด

“เยี่ยเหมิง อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นช่างเล็กจ้อยนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมอารยธรรมครามทองคำจึงตัดสินใจร่วมมือกับราชวงศ์ของที่นี่”

“เจ้าไม่รู้หรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงตกตะลึง แต่นางก็คิดได้ว่าปริมาณข้อมูลที่พวกเขาได้รับมาคงไม่เท่ากัน หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงกล่าวต่อไป

“ข้าไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม แต่คำตอบที่ข้าได้มาก็คือ…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีเครื่องหมายอยู่อันหนึ่ง…เครื่องหมายนี้มอบสิทธิ์ในการเข้าไปสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งชื่อว่าสุสานดวงดาราได้!”

“สุสานดวงดาราอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของชายหนุ่มหดเล็กลง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ชายหนุ่มได้ยินชื่อนี้ ก่อนหน้านี้ ผีแก่แห่งดวงเนตรสวรรค์ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นเพื่อหวังจะรักษาชีวิตตนเอง ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่า เหตุผลที่เซี่ยไห่หยางขายข้อมูลจากสามแหล่งคงเกี่ยวข้องกับเรื่องสุสานดวงดารานี้เป็นแน่

ทว่าชายหนุ่มไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสุสานแห่งดวงดาวเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคนถามเรื่องนี้ได้ หลังจากที่ได้ยินเจ้าเยี่ยเหมิงเอ่ยถึงคำคำนี้ หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

เมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม เจ้าเยี่ยเหมิงก็ลดความเร็วลง พยายามนึกอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเล่าทุกสิ่งที่นางรู้ให้อีกฝ่ายฟัง

“ตอนที่ข้าอยู่ที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าเคยได้ยินว่า สุสานแห่งดวงดาราเป็นหนึ่งในห้ายอดมิติเวทในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้ว่ามันจะอยู่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย ตำแหน่งที่แน่นอนของมันก็เป็นความลับสุดยอด แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่อาจหามันพบ มีเพียงข้อมูลจากผู้ที่เดินทางกลับมาจากที่นั่นเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้น…”

“สิ่งที่พวกเขาเล่ามาก็คือ…สุสานแห่งดวงดารานั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง ในนั้นมีดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย ดาวเคราะห์เหล่านั้นไม่ได้ตาย กลับกันพวกมันอยู่ในสถานะหลับลึก และอารยธรรมครามทองคำก็เล็งเห็นว่าสถานนี้เหมาะสมยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ที่จะผสานตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ และใช้ประโยชน์จากมันเพื่อบรรลุเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์อย่างแท้จริง!” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องหน้าหวังเป่าเล่อขณะพูดเสียงเบา ขณะพูดไปนั้น ก็มีประกายส่องสว่างในดวงตาทั้งสอง

“เป่าเล่อ ด้วยระดับปราณของเจ้าในตอนนี้…หากเจ้าเข้าไปที่นั่นได้ เจ้าก็จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ได้แน่นอน!

“เพราะอย่างไรเสีย ผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ต้องผสานรวมกับดาวเคราะห์เพื่อจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์อยู่แล้ว แถมยังมีเงื่อนไขมากมายหลายประการ หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญคือดาวเคราะห์จะต้องไม่ต่อต้านและต้องมีชีวิตอยู่ ดาวเคราะห์ดวงนั้นต้องมีจิตใจเป็นของตนเอง เพราะอย่างนั้น ในจารึกของอารยธรรมครามทองคำ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ที่กำลังจะบรรลุขั้น ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีหรือนานกว่านั้นเพื่อหลอมรวมและทำตามเงื่อนไขเหล่านั้น แต่ความเสี่ยงก็สูงมากเช่นกัน หากมีการรบกวนแม้เพียงเล็กน้อยระหว่างการหลอมรวม ทั้งร่างกายและวิญญาณของผู้ฝึกตนก็จะถูกทำลายสิ้น!”

“ในสุสานแห่งดวงดารานั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย ดาวเคราะห์ใดๆ ก็ตามภายในนั้นพร้อมจะถูกผสานรวมกับกายของผู้ฝึกตน และไม่มีทางล้มเหลวอีกด้วย!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ประกายประหลาดก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของหญิงสาว แม้ว่าระดับปราณของนางจะยังห่างจากระดับดาวพระเคราะห์มากนัก นางก็อดใจไม่ไหวที่จะฝันไปถึงสุสานแห่งดวงดาราในตำนานนี้

“แต่ทั้งหมดนั้น…ไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดผู้คนส่วนใหญ่หรอก สิ่งที่ทำให้ผู้คนกระหายอยากอย่างบ้าคลั่ง…คือภายในสุสานแห่งดวงดารานั้นมีดาวเคราะห์ที่ระดับสูงกว่า เหมือนเป็นดาวเคราะห์พิเศษ!” หลังจากที่พูดสองคำสุดท้ายออกมา เจ้าเยี่ยเหมิงก็หายใจเร็วถี่ขึ้น เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเองก็ตื่นเต้นเมื่อได้รับข้อมูลนี้มาก่อนหน้านี้เช่นกัน

“ดาวเคราะห์พิเศษอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อชะงัก ชายหนุ่มรู้ดีว่าการจะบรรลุจากขั้นจิตวิญญาณอมตะได้นั้น จำเป็นต้องผสานรวมกับดาวเคราะห์ แต่ก็เพียงเท่านั้น เรื่องประเภทของดาวเคราะห์นั้น นิมิตมืดไม่มีข้อมูลแต่อย่างใด แถมเฉินชิงก็ยังไม่มีเวลาเล่าให้เขาฟังด้วย แม้ภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เอง ก็ยังมีข้อมูลเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องนี้ เพราะชายหนุ่มเองก็เพิ่งได้เป็นเสมือนขุนพลในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี้เท่านั้น

ฉะนั้นหลังจากที่ฟังเจ้าเยี่ยเหมิงพูด สิ่งแรกที่ชายหนุ่มคิดถึงก็คือวิญญาณจุติดวงดาราของตน และจากจุดนั้น เขาก็ได้คาดเดาและมีความเข้าใจเลาๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าดาวเคราะห์พิเศษเหล่านี้

“ใช่แล้ว ดาวเคราะห์พิเศษ!” แสงในดวงตาเจ้าเยี่ยเหมิงส่องสว่างขึ้นไปอีก ด้วยเหตุที่หญิงสาวอยากไปที่นั่นมาก นางจึงยิ่งคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตสำหรับหวังเป่าเล่อก็เป็นได้!

แม้ว่าการฝ่าฟันแย่งชิงสถานที่แห่งนี้จากอารยธรรมครามทองคำจะคล้ายการชิงอาหารจากปากพยัคฆ์ แต่หากหวังเป่าเล่อฉกฉวยโอกาสนี้มาได้…อนาคตของเขาก็จะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ไม่รู้จบ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ยิ่งเร่งร้อน นางละล่ำละลักออกมา

“เป่าเล่อ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเข้าใจสิ่งที่วัดความสำเร็จในอนาคตของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์หลังจากที่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์หรือไม่ แต่ตามข้อมูลที่ข้าได้มาจากอารยธรรมครามทองคำ ข้าเข้าใจข้อนี้ดี…”

“ระดับของดาวเคราะห์ที่พวกเขาผสานรวมด้วย กำหนดพลังของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และความก้าวหน้าในอนาคตของพวกเขา!” คำพูดของเจ้าเยี่ยเหมิงทั้งแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว เมื่อนางจ้องมองหน้าหวังเป่าเล่อ ความคาดหวังก็ฉายชัดอยู่ในแววตา

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเองก็ส่องประกายเช่นกัน

“ในอารยธรรมครามทองคำ ดาวเคราะห์ที่สามารถผสานรวมกับผู้ฝึกตนได้แบ่งเป็นสี่ระดับ ระดับแรกเรียกว่าดาวเคราะห์ทั่วไป หาได้ดาษดื่นตามชื่อ ตัวอย่างเช่น ดาวอังคารก่อนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณจะมาถึงก็เป็นเพียงดาวเคราะห์ธรรมดาที่ตั้งชื่อตามเทพเจ้าโรมัน

“สำหรับโลกมนุษย์นั้น…ข้าจัดลำดับมันไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่าต่อให้โลกมนุษย์อยู่เหนือกว่าดาวเคราะห์ทั่วไป มันก็คงเป็นได้อย่างดีที่สุดแค่ดาวเคราะห์ระดับสอง หรือก็คือดาวเคราะห์วิญญาณ!”

“ระดับของดาวเคราะห์วิญญาณดูได้จากเส้นปราณวิญญาณและปริมาณปราณวิญญาณภายใน ยิ่งมีปราณวิญญาณเข้มข้นเพียงใด ระดับของดาวเคราะห์วิญญาณก็สูงขึ้นเท่ากัน…” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงก็หยุดพัก หวังเป่าเล่อรีบหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณจากกระเป๋าคลังเก็บยื่นให้นาง แต่ชายหนุ่มก็นึกได้แทบจะในทันทีว่าน้ำนั้นหลอมขึ้นมาจากสารัตถะของเขา จึงชะงักอยู่ชั่วอึดใจ แต่ก็ช้าเกินกว่าจะเอากลับคืน เจ้าเยี่ยเหมิงผู้ที่พูดมาจนคอแห้งได้จิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณนั้นเข้าไปเรียบร้อย ก่อนจะพูดต่อไป

“ผู้ฝึกตนสามารถหลอมดาวเคราะห์สองประเภทนี้และใช้เพื่อบรรลุขั้นปราณสู่ระดับดาวพระเคราะห์ได้ แต่หากผสานรวมดาวเคราะห์ทั่วไปเข้าไปในกาย ระดับปราณก็จะหยุดอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ไปตลอดชีวิต การจะบรรลุขั้นต่อไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!”

“ดังนั้นหากไม่ได้อับจนจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากผสานรวมกับดาวเคราะห์ทั่วไป คนส่วนมากหมายปองดาวเคราะห์วิญญาณ แม้ว่าการผสานรวมกับดาวเคราะห์วิญญาณอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด และให้พลังยุทธ์เพียงธรรมดา แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่จะบรรลุขั้นต่อจากระดับดาวพระเคราะห์ในอนาคต ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์พวกนี้ถือเป็นส่วนใหญ่ มีอยู่ราวร้อยละเก้าสิบจากทั้งหมด” เจ้าเยี่ยเหมิงจิบน้ำอีกคำ

หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะอั้นการกระแอมกระไอเอาไว้และแสร้งทำเป็นไม่เห็น ชายหนุ่มสนใจเรื่องระดับดาวเคราะห์ที่นางกำลังพูดถึงเป็นอย่างมาก

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท