ถึงแม้เฉินตันจูไม่อาจเข้าเมืองได้ แต่นางไม่ได้ตัดขาดจากข่าวสาร หญิงชราขายชาส่งข่าวล่าสุดในแต่ละวันมาให้
เฉินตันจูนั่งอยู่คนเดียวในอารามแต่ก็ดุจดั่งอยู่ในเมืองที่พลุกพล่าน ฟังการสนทนาและเรื่องขบขันที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จากบทสนทนาที่คุยเล่นในตอนแรกกลายเป็นการตำหนิที่รุนแรง นางหัวเราะอย่างดีใจ…
“คุณหนู” อาเถียนขมวดคิ้ว “เหตุใดท่านยังหัวเราะได้อีกเจ้าคะ”
เหตุผลที่นางหัวเราะได้ย่อมเป็นเพราะฮ่องเต้ต้องการทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ ฝ่าบาททรงมีพระทัยที่จะทดสอบอย่างที่คิด อีกทั้งเหล่าขุนนางก็สังเกตเห็นแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มต่อต้าน…
แต่ไม่นานก็มีข่าวใหม่ส่งมา ฮ่องเต้กำลังจะเนรเทศนาง
อาเถียนแทบเป็นลมเมื่อได้ยินข่าวนี้ แต่เฉินตันจูยังดี สีหน้าของนางผิดหวังเล็กน้อย พึมพำด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หรือว่ายังไม่ถึงเวลา?”
ฝ่าบาททรงยื่นพระหัตถ์เพื่อทดสอบแล้วชักกลับคืนไป? ไม่มั่นคงเหมือนเมื่ออดีตชาติแม้แต่น้อย เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไปหรือ? เมื่ออดีตชาติ ฝ่าบาททรงผลักดันการใช้กลยุทธ์ในการสรรหาบัณฑิตในอีกสี่ห้าปีข้างหน้า
หรือน้ำหนักของนางยังไม่พอ? ในอดีตชาติมีชีวิตของจางเหยา มีตำราการจัดการน้ำอันน่าทึ่งครึ่งเล่ม อีกทั้งยังมีการทดสอบด้วยขุนนางของแคว้น…
ในชาตินี้จางเหยายังมีชีวิตอยู่ ตำราการจัดการน้ำยังไม่ได้ถูกเขียนขึ้นมา อีกทั้งการทำการทดสอบก็เพิ่งดำเนินการ
ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้พระองค์มีปณิธานอันแน่วแน่
“คุณหนู…” อาเถียนจับมือของเฉินตันจูร้องไห้ “จะทำอย่างไรกับการเนรเทศนี้เจ้าคะ”
เฉินตันจูเพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ได้ เนรเทศหรือ ต้องออกจากเมืองหลวงไปยังชายแดนที่ใดสักที่อันห่างไกล…
มีคนกระโดดขึ้นกำแพงมา ได้ยินคำพูดของนายบ่าวทั้งสอง ก่อนจะเห็นท่าทีของหญิงสาวที่ยืนอยู่บริเวณทางเดิน เขาส่งเสียงหัวเราะออกมา “ในที่สุดข้าก็ได้เห็นสีหน้าหวาดกลัวของท่าน!”
เฉินตันจูเงยหน้ามองโจวเสวียน ขมวดคิ้ว “เหตุใดท่านยังมาได้”
ฮ่องเต้ห้ามนางเข้าประตูเมืองและประตูพระราชวัง อีกทั้งห้ามคนเข้าใกล้นาง อาทิองค์หญิงจินเหยา องค์ชายสาม…
โจวเสวียนนั่งอยู่บนกำแพงด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมมาได้ โอกาสที่จะได้เห็นสุนัขตกน้ำชั้นดีเช่นนี้ ผู้ใดจะห้ามข้าได้”
เฉินตันจูพยักหน้า จริงด้วย มีเพียงคนที่ไม่เป็นมิตรต่อนาง อีกทั้งยังเหิมเกริมไม่เกรงกลัวสิ่งใดอย่างโจวเสวียน จึงจะสามารถมาหานางได้
“ท่านมีข่าวใดมาบอกข้า” นางกวักมือต่อโจวเสวียน “รีบลงมาบอก”
นางพูดพลางหันไปสั่งอาเถียน “ชาร้อน ของหวาน”
หญิงสาวผู้นี้! โจวเสวียนนั่งอยู่บนกำแพงด้วยความโกรธและขบขัน “คุณหนูตันจู ชากับขนมอร่อยจะซื้อข้าได้หรือ ท่านต้องการใช้ข้าก็มาประจบข้า สายไปหรือไม่”
เฉินตันจูพูดอย่างจริงจัง “ตราบใดที่ท่านโหวโจวเห็นความจริงใจของข้า เวลาใดก็ไม่สายเกินไป”
โจวเสวียนมองตาที่เป็นประกายของหญิงสาว พลางพ่นลมหายใจออกมา “ท่านยังกล้าพูดออกมาอีก”
เพียงแค่พูด จะมีสิ่งใดพูดออกมาไม่ได้ อย่างไรก็ควักหัวใจออกมาไม่ได้อยู่ดี เฉินตันจูยิ้ม กวักมือ
“ท่านโหวโจวหนาวหรือไม่ ข้าเสริมเบาะรองนั่งให้ท่านดีกว่า อีกทั้งยังมีเตาอุ่นมืออุ่นเท้า ท่านรีบลงมานั่งเถิด”
โจวเสวียนนั่งแกว่งขาอยู่บนกำแพง “ไม่ต้องเอาใจข้า คนที่ท่านเอาใจอยู่เป็นประจำกำลังคุกเข่าอยู่ด้านนอกพระตำหนักของฝ่าบาท”
องค์ชายสามหรือ เฉินตันจูทั้งตกตะลึงทั้งกังวล “เขากำลังจะทำสิ่งใด”
โจวเสวียนกล่าว “เขาขอให้ฝ่าบาทเรียกคืนพระราชโองการ มิฉะนั้นจะยอมถูกเนรเทศไปพร้อมกับท่าน” พูดพลางส่งเสียงไม่พอใจ “ไม่คิดเลยว่าคุณหนูตันจูจะทำให้องค์ชายสามหลงใหลเพียงนี้”
เฉินตันจูไม่ฟังเรื่องเหลวไหลที่เขาพูด นางทั้งตกตะลึงทั้งซาบซึ้งกับการกระทำขององค์ชายสาม เมื่ออดีตชาติองค์ชายสามก็ขอร้องฮ่องเต้เพื่อหญิงสาวเมืองฉีเช่นนี้ใช่หรือไม่ นำชีวิตของตนเองมาบีบบังคับฮ่องเต้…
เมื่ออดีตชาติ อย่างน้อยหญิงสาวเมืองฉีได้ตัดเนื้อเพื่อรักษาพิษที่หลงเหลือในตัวของเขา แต่ตัวของนางไม่ได้ทำสิ่งใด นางเพียงแค่บอกว่าจะรักษาเขา แต่ยังไม่ได้รักษาให้หาย แม้แต่ยาที่แท้จริงก็ยังไม่เคยทำ องค์ชายสามยังทำเพื่อนางเช่นนี้
เฉินตันจูกำมือแน่น บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร มีเพียงคำพูดขององค์ชายสามในวัดถิงอวิ๋นวันนั้น ‘เช่นนี้เจ้าคงชอบ’
ชอบหรือ การถูกผู้อื่นปฏิบัติเช่นนี้ ผู้ใดไม่ชอบ แต่ความชอบนี้ทำให้นางทั้งโทษตัวเองทั้งเศร้าโศก นางมองไปยังทิศทางของพระราชวัง แทบอยากจะรีบพุ่งตัวเข้าไป ร่างกายขององค์ชายสามเป็นอย่างไร อากาศหนาวเช่นนี้ เขาจะคุกเข่าเป็นเวลานานได้อย่างไร
โจวเสวียนมองหญิงสาวที่ไม่ซ่อนเร้นความเขินอาย ความดีใจ และความเศร้าโศกของตนเองแม้แต่น้อย ทำให้คนเห็นรู้สึกหมั่นไส้ จากนั้นสายตาของนางไม่มองเขาอีกแม้แต่น้อย เขาจึงถามขึ้นด้วยความโกรธ “เฉินตันจู ชาร้อนและของหวานของข้าเล่า?”
เฉินตันจูส่งเสียงตอบรับ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อไม่ใช่ท่านที่คุกเข่าขอร้องให้ข้าต่อหน้าฝ่าบาท ท่านก็ไม่ต้องกินชาร้อนหรือของหวานอันใดแล้ว”
โจวเสวียนโกรธจัด คว้าเศษดินจากบนกำแพงเขวี้ยงเข้ามา
…
ฮ่องเต้ยืนอยู่นอกพระตำหนัก เขาโยนถ้วยน้ำชาอย่างแรง ถ้วยกระเบื้องสีขาวแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเกล็ดหิมะข้างตัวขององค์ชายสามที่คุกเข่าอยู่
“ลูกอกตัญญู” ฮ่องเต้ตะโกนชี้มาที่องค์ชายสาม “เจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ”
องค์ชายสามกล่าวว่าเขามีความผิด แต่ใบหน้าซีดเผือดนั้นแน่วแน่ หน้าอกของเขาขึ้นลงตามการหอบหายใจ ทำให้ใบหน้าซีดเผือดของเขาแดงขึ้นมาชั่วครู่ แต่เสียงกระแอมไอถูกสกัดไว้โดยริมฝีปากบางที่ปิดแน่น บังคับไม่ให้ไอออกมา
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ยิ่งหงุดหงิด ตำหนิว่าลูกอกตัญญูอีกหลายครั้ง เรียกขานองครักษ์หลวงมาคุมตัวเขาลงไป
องค์ชายสามพูดเสียงเบา “เสด็จพ่อไม่อยากเห็นกระหม่อมคุกเข่าต่อหน้าหรือ ไม่ต้องให้คนขับไล่กระหม่อม กระหม่อมจะไปเองพ่ะย่ะค่ะ แต่ไม่ว่าที่ใด กระหม่อมจะยังคงคุกเข่าต่อไป”
ฮ่องเต้อยากจะโยนบางสิ่งอีกครั้ง แต่ในมือไม่มีสิ่งใดให้โยนได้แล้ว จึงคว้าไม้ปัดฝุ่นบนมือของขันที
จิ้นจงเขวี้ยงลงพื้น “ดี เจ้าคุกเข่าอยู่ตรงนี้ต่อเถิด!” เขาชี้ไปรอบด้าน “คุกเข่าให้ตายอยู่ตรงนี้ ห้ามมิให้ผู้ใดสนใจเขา” ก่อนจะมองไปยังองค์ชายสามอย่างเย็นชา “ข้าจะถือว่าสูญเสียลูกชายคนนี้ไปตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนแล้ว”
หลังจากพูดเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป เหล่าขันทียืนอยู่ข้างนอกเงียบๆ ไม่กล้าติดตาม มีเพียงขันทีจิ้นจงเท่านั้นที่ตามเข้าไป
ฮ่องเต้เดินไขว้มือไว้ด้านหลังด้วยความโกรธ เขาเดินอ้อมบัลลังก์มังกรไปด้านหลัง ด้านหลังเป็นกำแพงที่ประดับด้วยตู้ไม้ขนาดสูง ฮ่องเต้ราวกับมองไม่เห็นกำลังจะเดินชนเข้า ขันทีจิ้นจงรีบกดลงบริเวณหนึ่งของตู้ไม้ ตู้ไม้ขนาดใหญ่แยกออกจากกัน ฮ่องเต้ก้าวเท้าเข้าไป ขันทีจิ้นจงไม่ได้ติดตาม เพียงแต่ทำให้ตู้ไม้ประกบกันเหมือนก่อนหน้านี้ ตนเองยืนรออย่างสงบอยู่ด้านข้าง
ด้านหลังตู้ไม้เป็นห้องลับ มีการตกแต่งอย่างงดงาม ตามคำบอกเล่าของขุนนางอู๋ที่หลงเหลืออยู่ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แสวงหาความสุขของท่านอ๋องอู๋และหญิงงาม แต่เวลานี้ สถานที่แห่งนี้ไม่มีหญิงงาม มีเพียงขุนนางวัยกลางคนสี่คนนั่งอยู่ รอบตัวเต็มไปด้วยตำรามากมาย
เมื่อเห็นฮ่องเต้เข้ามา คนทั้งหลายรีบคำนับ
ฮ่องเต้นั่งลงอย่างเหนื่อยล้า โบกมือให้พวกเขาไม่ต้องมากพิธีเกินไป เอ่ยถาม “เป็นอย่างไร เรื่องเป็นไปไม่ได้จริงหรือ?”
ขุนนางหลายคนถอนหายใจเสียงเบา
คนหนึ่งกล่าว “พวกกระหม่อมเข้าใจเจตนาของฝ่าบาท แต่มันอันตรายเกินไปจริงๆ”
อีกคนพยักหน้า “อำนาจของเหล่าท่านอ๋อง กำลังทวงคืนตามแผนการของโจวต้าฟูก่อนหน้านี้ ถึงแม้มีความวุ่นวาย ขาดแคลนกำลังคน แต่ความคืบหน้าก็เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะมีการสนับสนุนของชนชั้นสูงในท้องถิ่นเป็นสำคัญ หากเวลานี้ผลักดันเรื่องการสรรหาบัณฑิตนี้ กระหม่อมเป็นกังวลอย่างยิ่งว่า…”
เมื่อพูดถึงโจวต้าฟู ดวงตาที่เหนื่อยล้าของฮ่องเต้เศร้าโศกเล็กน้อย
“เมืองของท่านอ๋องทั้งหลายถูกทวงคืนแล้ว ความปรารถนาของโจวชิงก็สำเร็จไปกว่าครึ่งแล้ว หากเวลานี้เกิดเรื่องอื่นขึ้น ข้าคงทำให้ความปรารถนาของเขาต้องล้มเหลว” ฮ่องเต้กล่าว
ขุนนางคนก่อนหน้านี้ถือฎีกากองหนึ่งกล่าว “อีกทั้งไม่ได้มีแค่เรื่องการทวงคืนเมืองของท่านอ๋องทั้งหลาย ทางซีเหลียงรู้ว่าฝ่าบาททรงใช้กำลังทหารต่อสู้กับเหล่าท่านอ๋อง ทางนั้นจึงเริ่มมีการเคลื่อนไหว หากเวลานี้ก่อให้เกิดความสั่นคลอนของชนชั้นสูง เกรงว่ายากเกินจะรับมือกับศัตรู…”
ฮ่องเต้รับฎีกามาด้วยคิ้วขมวด “ท่านอ๋องแห่งซีเหลียงไม่ยอมตายใจเสียจริง ข้าต้องจัดการเขาไม่ช้าก็เร็ว”
ขุนนางคนหนึ่งพยักหน้า “ฝ่าบาท แม่ทัพหน้ากากเหล็กออกจากค่ายเดินทางกลับเมืองหลวงมาแล้ว หลังจากเขากลับมา เราต้องหารือเรื่องซีเหลียง”
เมื่อพูดถึงแม่ทัพหน้ากากเหล็ก สีหน้าของฮ่องเต้ผ่อนคลายลง ก่อนจะกำชับกับขุนนางคนสนิท “ไม่ง่ายนักที่เขาจะยอมกลับมา รอเขากลับมาพักผ่อนสักระยะหนึ่ง ค่อยหารือเรื่องซีเหลียง มิฉะนั้น นิสัยของเขาคงไม่ยอมอยู่ในเมืองหลวง”
ขุนนางทั้งหลายเข้าใจนิสัยของแม่ทัพหน้ากากเหล็ก จึงตอบรับด้วยรอยยิ้ม
ฮ่องเต้ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ “แม้แต่หญิงสาวที่เหลวไหลอย่างเฉินตันจูยังสามารถคิดถึงเรื่องนี้ได้ ข้าเองย่อมยืมมือของนางมาผลักดันเรื่องนี้ ดูเหมือนข้าจะใจร้อนเกินไป”
ขุนนางทั้งหลายปลอบใจฮ่องเต้ “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อต้าเซี่ยอย่างมาก รอหารืออีกครั้ง เมื่อเวลาเหมาะสม ย่อมต้องผลักดันพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า ดูจากปฏิกิริยาขององค์รัชทายาทและเหล่าชนชั้นสูง อีกทั้งสถานการณ์ในเวลานี้ เขาคงทำได้เพียงล้มเลิกไปก่อน
“เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเฉินตันจู ให้นางเป็นผู้ระงับความโกรธของชนชั้นสูงเถิด” เขาพูด