เขานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าต่าง แต่แล้วก็รับรู้ถึงสายตาที่มองมาจึงหันหน้าไป พอสบตากัน เด็กหนุ่มก็ตกใจราวกับถูกไฟลน และก้มหน้าลง ท่าทีเหมือนกับสัตว์ตัวเล็กๆ ที่เจอศัตรูตามธรรมชาติ และซ่อนตัวเองในโพรง
ชื่ออะไรนะ ต้องมีชื่ออย่างนั้นแน่ๆ…
[อ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอ]
เขายิ้มให้แทนคำตอบ และโชว์ชื่อของหนังสือที่ตัวเองอ่านอยู่ให้ดู
[อ่านแต่หนังสือยากๆ ตลอดเลยนะ นายนี่พิเศษมากเลย ญาติของฉันก็เป็นหัวหน้าทีมฟุตบอล[1] เหมือนกัน แต่ฉันไม่เคยเห็นเขาอ่านหนังสือเลย]
เขามองอีกฝ่ายที่พึมพำเรื่องที่ตนไม่สนใจก่อนจะถามกลับไปว่า “งั้นเหรอ” การพบปะกับผู้คนนั้นน่าเบื่อเสมอ
[รู้หรือเปล่าว่าวันนี้มีปาร์ตี้ที่บ้านของอเล็กซ์]
[รู้สิ]
[ตัดสินใจหรือยังว่าจะไปกับใคร]
ผู้หญิงที่รู้อยู่แล้วว่าเขาคบอยู่กับใครจับแขนเขาไว้อย่างหน้าไม่อาย และแอบเอาหน้าอกมาชน
[โทษที วันนี้ฉันมีนัดแล้วน่ะ]
[ฉันก็มีคนที่จะไปด้วยเหมือนกัน]
เสียงที่ตะคอกใส่อย่างมึนตึงทำให้เขาหัวเราะ
แม่งเอ๊ย จะมีหรือไม่มีมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ
[ถ้าไม่มีนัดอยู่ก่อนแล้ว ฉันก็คงจะชวนเธอไปด้วย เสียดายจัง]
คำพูดที่ไม่ได้รู้สึกจริงๆ นั้นทำให้ใบหน้าของเธอแดงขึ้นมาทันที
[ถ้านายโอเค ฉัน…]
คำพูดที่เขาไม่ได้สนใจดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะพูดจาเอะอะโวยวายอะไร เขาก็ไม่ได้สนใจ เพราะถ้าเขากอดอกและฉีกยิ้มเหมือนกับสนใจก็จบแล้ว
อ่า เมนูของมื้อเย็นวันนี้คืออะไรนะ
[…นายคิดว่าไงล่ะ]
[ฉันจะลองคิดดู]
เขายิ้มอีกครั้ง แม้เขาจะเกลียดการยิ้ม แต่ก็เป็นพวกที่ชอบยิ้มบ่อยๆ เพราะประโยชน์ที่ได้จากมันนั้นดีที่สุด
[ได้ ลองคิดแล้วติดต่อมานะ]
เขาพยักหน้า และพับมุมหนังสือที่อ่านก่อนจะปิดหนังสือ และเด็กผู้ชายที่มองมาทางเขาอย่างเหม่อลอยเมื่อสักครู่นี้ก็เข้ามาในสายตา
อ้อ หรือว่าจะเป็นอย่างนั้น
ถ้าเป็นเธอคนนั้นก็น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่สวยที่สุดในห้องนี้ แต่คนแบบนั้นก็มีความสนใจในตัวผู้หญิงเหมือนกันเหรอ ดูเหมือนว่าไอ้นั่นจะยังตั้งได้ไม่เต็มที่เลยนะ พอจินตนาการถึงคนตัวเล็กๆ นั่นขึ้นคร่อมบนตัวของผู้หญิงและร้องครวญคราง เขาก็หลุดหัวเราะออกมา ความต้องการอย่างรุนแรงที่พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้เขาเอ่ยเรียกหญิงสาวที่กำลังจะหันหลังกลับไว้
[ฉันเปลี่ยนใจแล้ว]
[อะไรเหรอ]
[ไปปาร์ตี้วันนี้กับฉันเถอะ]
ใบหน้าของเด็กชายที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะเขียนหนังสือหม่นลงด้วยความผิดหวัง เขารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยมากๆ
***
ปาร์ตี้น่าเบื่ออย่างที่คิด ถ้าไม่รวมกับการที่แฟนสาวที่โผล่มาทีหลังทะเลาะตบตีกับคู่เดทในคราวนี้ของเขาอย่างชุลมุน
ชอบคนถึงขนาดที่ทะเลาะกันเลยเหรอ เป็นพฤติกรรมบ้าคลั่งที่เปล่าประโยชน์แค่ไหนนะ
เขายิ้มมุมปากก่อนจะเดินไป
เขาเลี้ยวตรงหัวมุม และชนกับใครบางคนที่วิ่งเข้ามา แล้วหนังสือก็หล่นลงบนพื้น อีกฝ่ายพูดว่าขอโทษเหมือนกับพึมพำ และเริ่มเก็บหนังสือ
แม้ใจจะอยากใช้เท้าเหยียบไว้ และถามว่า “เดินไปไหนมาไหนโดยมีตาไว้แค่ประดับเฉยๆ เหรอ” แต่เขาก็ช่วยเก็บหนังสือด้วย
‘ขอบคุณคะ…’
ดวงตาที่กลมโตของอีกฝ่ายแข็งทื่อ
แม้ดวงตาที่โตราวกับหวาดกลัวจะเป็นอย่างนั้น แต่โดยรวมแล้วก็น่าประทับใจในหลายๆ อย่าง เพราะรอยกระที่อยู่บนผิวขาวๆ
‘บาดเจ็บหรือเปล่าครับ’
แม้เขาจะยิ้มพร้อมกับเอ่ยถาม แต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา
‘ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหมครับ’
ถ้าบาดเจ็บก็จะยุ่งยากขึ้น เพราะแม่จะมีปฏิกิริยาที่ใกล้เคียงกับประสาทอ่อนเพลียกับการที่เขาทำให้คนอื่นบาดเจ็บ
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรและพยักหน้า
เขาสนุกกับท่าทีโง่ๆ ที่หัวเล็กๆ นั่นขยับ
‘หนังสือเล่มนี้สนุกไหมครับ’
เขาถือหนังสือไว้ในมือพลางเอ่ยถาม เพราะคิดว่าถ้าเขาถามแบบนั้น อีกฝ่ายต้องพยักหน้าอีกแน่
แต่เด็กชายกลับไม่แม้แต่จะส่าย หรือพยักหน้า เขาแค่ยืนนิ่งๆ เหมือนแข็งอยู่กับที่
ดวงตากลมโตนั้นมองตน เขารู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับสัตว์ตัวเล็กๆ เขาเกลียดสัตว์ตัวเล็กๆ ตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะจะเกิดเรื่องให้เขาต้องรับผิดชอบหากปรับแรงผิดไปเล็กน้อย
‘ถ้าอ่านแล้วสนุก ผมขอยืมหน่อยนะครับ’
เขายื่นหนังสือให้และเดินจากมา
อ๋อ ปีเตอร์
พอเดินมาได้ไม่กี่ก้าว เขาก็นึกชื่อของเด็กหนุ่มออก
ชื่อเหมือนกับกระต่ายที่อยู่ในนิทานที่มีชื่อเสียง
เป็นชื่อที่เหมาะจริงๆ
เขายิ้มมุมปากก่อนจะก้าวเดินอีกครั้ง และลบชื่อของเด็กหนุ่มออกจากความทรงจำทันที เพราะไม่น่าจะมีเรื่องให้เกี่ยวข้องกับคนแบบนั้นอีกแล้ว
มันเป็นช่วงบ่ายที่แสงแดดอุ่นเป็นพิเศษ
***
พอลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น ใครบางคนก็ตบหลังเขาเบาๆ
“นอนต่อเถอะครับ คุณยังไม่ได้นอนเลยนะครับ”
“สนุกเหรอครับ”
“ครับ?”
“แต่ผมไม่สนุกครับ…”
คำพูดที่เหมือนกับพึมพำคนเดียวหายไปพร้อมกับสติที่กลับมาครั้ง เขาได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ หลังคำถามที่ว่า “ละเมอเหรอครับ” เป็นเสียงที่เหมือนกับคลื่นกระเพื่อม แค่ได้ยินอย่างเดียวก็รู้สึกดีแล้ว
ใครกันนะ
ชื่ออะไรนะ เหมือนจะจำได้ แต่ก็จำไม่ได้ และความง่วงก็ถาโถมเข้ามา
ต้องมีชื่ออย่างนั้นแน่ๆ…
“…!”
วินาทีที่ลืมตาขึ้นมา ความจริงกับความฝันที่เลือนรางก็แยกกันอย่างชัดเจน ความมืดที่มืดสนิทได้โรยตัวลงมานอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนเอ่ยเรียกอินซอบ ที่ข้างๆ บนเตียงว่างเปล่า และความเงียบที่ว่างเปล่าก็ถูกส่งกลับมาแทนคำตอบ
เขาก้มมองมือทันที แม้จะแน่ใจแล้วว่ามือสะอาดดี แต่ความกังวลใจก็ไม่หายไป เขารวบผ้าห่มและมองดูด้านล่างเตียง
เขาไม่เห็นเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้เมื่อวานเลย
ในตอนแรกเขากลัวว่าทุกอย่างนี้สามารถเป็นความจริงได้มากกว่าความจริงที่ว่าความทรงจำที่เหลืออยู่ในหัวของเขาทำให้ทุกอย่างเป็นความฝันเสียอีก
เขาเดินออกจากห้องไปโดยที่ไม่คิดจะใส่เสื้อผ้า และสำรวจห้องน้ำ แต่ก็อยู่ในสภาพที่ว่างเปล่าเหมือนกัน
“คุณอินซอบ”
อีอูยอนเอ่ยเรียกอินซอบ แต่ก็ยังไม่มีเสียงตอบกลับมาเหมือนเดิม พอแน่ใจว่าไม่ได้อยู่ที่ชั้นสองแล้ว เขาก็เดินลงไปที่ชั้นหนึ่ง และสำรวจทั้งหมด แต่ก็เหมือนกัน เขาไม่เห็นอินซอบที่ไหนเลย
“…”
เขามองไม่เห็นหนทาง
ไปไหน นี่เราทำอะไรผิดอีกแล้วเหรอ ต้องทำยังไงดี…เขาไม่รู้แล้วว่าจะต้องทำยังไงต่อไป
ความคิดที่เหมือนกับว่าตัดตรงนั้นมาต่อตรงนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และความเจ็บปวดที่รุนแรงที่เขาลืมไปแล้วก็กำลังทิ่มแทงบริเวณขมับ เขาไม่สามารถเลียนแบบการกระทำหรือความรู้สึกของใครได้อีกแล้ว และต้องแสดงสิ่งที่ตัวเองมีมาตั้งแต่แรกออกมา
เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขอทานที่จิตใจร้อนรุ่ม เพราะอยากจะได้สมบัติในสภาพที่มีเงินอยู่แค่ไม่กี่สตางค์
อีอูยอนพ่นลมหายใจในสภาพที่กดหน้าผากเอาไว้
ต้องหาให้เจอให้ได้
เขากลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง และหยิบเสื้อผ้าที่ใส่ได้พอดีมาใส่อย่างลวกๆ เขาหยิบกุญแจรถที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา ในขณะที่กำลังจะลงไปที่ชั้นหนึ่ง อีอูยอนก็หยุดฝีเท้าเอาไว้
เขารู้สึกถึงเสียงรบกวนที่เบามากๆ ที่ได้ยินมาจากด้านบน ชั้นสามเป็นระเบียง กรรมการผู้จัดการคิมบอกว่าจะตกแต่งให้เป็นสวนบนชั้นดาดฟ้า และเอาต้นไม้ต่างๆ มาวางไว้ และเป็นที่ที่เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งตั้งแต่แรก เพราะไม่สามารถรับมือวันวัชพืชที่แน่นขนัดได้ และด้านหนึ่งของระเบียงก็มีห้องซักรีดและห้องเก็บของ
เขาขึ้นบันไดไป เสียงรบกวนที่ได้ยินเบาๆ ชัดเจนขึ้นทีละนิด แต่ความรู้ว้าวุ่นใจที่กระชากหัวใจของเขาลงมาก็ยังไม่ลดน้อยลง เขามองฝ่ามือของตัวเองไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ในระหว่างที่เดินขึ้นบันไดแค่ไม่กี่ขั้นขึ้นไป จากนั้นก็หยุดยืนอยู่หน้าประตูระเบียง
ตอนที่กำลังจะเปิดประตู ความคิดที่ว่าทุกอย่างเป็นความฝัน และเขาอาจจะต้องตามหาอินซอบอีกครั้งตั้งแต่แรกก็ได้ทำให้สติที่เขาควบคุมเอาไว้อย่างยากลำบากค่อยๆ เลือนรางออกไป
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเกลียดตัวเองที่ไม่ใช่คนปกติ หากเป็นปกติ ก็น่าจะไม่รู้สึกถึงความรู้สึกสูญเสียที่น่าเศร้าแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนเดินอยู่ในความมืดมิดในสภาพที่โดนปิดตาเอาไว้
เขาค่อยๆ ยื่นมือออกไปและหมุนลูกบิดประตู
กลิ่นน้ำลอยผ่านช่องประตูที่ถูกเปิดออกทีละนิดออกมา ผ่านไปสักครู่หนึ่งเขาถึงได้รู้ว่าเป็นกลิ่นของหมอกที่ปกคลุมทะเลสาบอยู่
อินซอบที่ใช้ผ้าห่มห่อตัวเอาไว้นั่งอยู่บนม้านั่งหน้าห้องซักรีด และมองริมทะเลสาบอย่างเหม่อลอย เพราะไม่รู้ว่าเขาขึ้นมา
หมอกหนาที่เกิดจากความชื้นบานสะพรั่งไปทั่วทิศทางเหมือนดอกไม้สีขาว ดอกไม้ที่กักเก็บความชื้นเอาไว้ทำให้ความมืดมิดในตอนค่ำนั้นสว่างขึ้นเล็กน้อย อินซอบค่อยๆ มองหมอกที่พัดไปตามลม
เขาไม่เคยมองวิวและคิดว่าสวยเลยสักครั้ง ถึงขนาดที่อินซอบอยากจะให้เขามองสิ่งนั้นแล้วคิดว่าสวย
แต่ตอนนี้
“อ๊ะ ตื่นแล้วเหรอครับ”
ตอนนั้นเองอินซอบถึงเห็นอีอูยอน และหันหน้ามายิ้มให้ รอยยิ้มที่บานอยู่บนใบหน้าขาวๆ สลักอยู่ในดวงตาของเขาอย่างประณีต
สวย
เขารู้สึกว่าโลกที่มีอินซอบ และวิวที่เขาย่ำเท้าเข้าไปยืนอยู่นั้นสวย
“พอดีเสื้อเปียกก็เลยกำลังซักอยู่น่ะครับ ผมออกมาคนเดียวเพราะอยากให้คุณนอนต่อ”
อินซอบขยับผ้าห่มขึ้นมาก่อนจะพูดต่อ
พออีอูยอนยืนมองโดยไม่พูดอะไร รอยยิ้มบนหน้าของอินซอบก็หุบลง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนใช่ไหมครับ”
สายตาที่เจือไปด้วยความเป็นห่วงจับเขาเอาไว้ เขาหลงใหลในความธรรมดาและความอ่อนโยนนั้นอย่างไม่มีเหตุผล
แม้คุณจะทำให้ผมอ่อนแอ และกลายเป็นคนโง่อีกสักกี่ครั้งผมก็ยังรักคุณ เขาชอบมากจนไม่สามารถทนได้
“…ไม่เป็นไรครับ”
อีอูยอนเงยหน้าขึ้น
พอเขาเปิดประตูระเบียงออกกว้าง ลมที่เก็บความชื้นเอาไว้ก็โอบกอดตัวเขา
ความมืดมิดได้หายไปแล้ว
อีอูยอนถอนมือออกก่อนจะเดินเข้าไป เขาค่อยๆ เดินเข้าไปในวิวที่มีอินซอบอยู่ทีละก้าว
และนี่เป็นวันแรกในวันธรรมดาที่เหลืออยู่อีกมากมาย
[1] ฟุตบอลในที่นี้หมายถึงอเมริกันฟุตบอล